ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 67 วางหมาก
บทที่ 67 วางหมาก
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ณ ภายในคฤหาสน์หรูที่อยู่ใจกลางของวิลล่าหิมะมังกร หลินอิ่งยืนอยู่นอกระเบียงชั้นสามจ้องมองคลื่นแม่น้ำชิงหยูนที่อยู่ไกลโพ้น ซึ่งอีกฝั่งของแม่น้ำเป็นใจกลางเมืองชิงหยูนที่เจริญรุ่งเรือง
เป็นทิวทัศน์ที่ไม่ธรรมดา สามารถมองเมืองชิงหยูนจากที่สูงในวงกว้าง
หลินอิ่งรู้สึกพอใจมากกับคฤหาสน์หลังนี้
คฤหาสน์ที่ซื้อหลังนี้มีพื้นที่หนึ่งแสนกว่าตาราง ที่ประกอบไปด้วยสวนหลังบ้านขนาดใหญ่ สระว่ายน้ำ โรงจอดรถ ภายในคฤหาสน์มีห้องรับแขกขนาดใหญ่ และมีระเบียงทางเดินทอดยาวประมาณสิบกว่าห้อง แถมยังมีบันไดหมุนด้วย ซึ่งดูแล้วคลาสสิกมาก
การประดับตกแต่งก็เป็นสไตล์โบราณ และมีเฟอร์นิเจอร์เป็นชุดสีเหลืองอ่อนเหมือนสาลี่ แถมเป็นยี่ห้อที่ทันสมัยที่ดีที่สุดในโลกด้วย
เขาซื้อด้วยจำนวนเงินสองร้อยแปดสิบล้าน ซึ่งนี่ถือเป็นคฤหาสน์ที่หรูสุดในเมืองชิงหยูน
ก็อกก็อก
ทันใดนั้นเจียงฉีก็เคาะประตูขึ้น แล้วเดินเข้ามาจากประตูข้างหลังมาที่เบื้องหน้าหลินอิ่ง
เจียงฉีก้มโค้งและพูดขึ้นว่า : “ประธานหลินครับ ขั้นตอนการซื้อของคฤหาสน์หลังนี้ได้จัดการเรียบร้อยแล้ว วิลล่าหิมะมังกรมีกฏระเบียบเข้มงวด มีมาตรการการรักษาความปลอดภัยระดับสูงที่สุดของมณฑลตุงไห่ด้วย อีกอย่างข้อมูลฐานะของคุณจะเป็นความลับครับ”
ขณะที่พูด เจียงฉีก็วางเอกสารปึ๊กใหญ่วางลงด้านข้างโต๊ะไม้แดง
หลินอิ่งนั่งลงบนเก้าอี้ และพูดขึ้นว่า : “จัดการได้ดีมาก มานั่งดื่มชากันเถอะ”
“ขอบคุณประธานหลินมากครับ” เจียงฉียื่นมือหยิบถ้วยชาทั้งสองมือด้วยท่าทางเกรงใจขึ้นมา แต่เขาไม่กล้านั่งลง
หลินอิ่งเหลือบมองแวบหนึ่ง และซักถามขึ้นว่า : “ผมต้องการให้คุณจัดการสำนักงานใหญ่บริษัทโอเซี่ยนอสังหาริมทรัพย์คนเดียว แล้วจัดการตระกูลซูนให้พังพินาศ คุณต้องการเงินทุนเท่าไหร่หรอ?”
หลินอิ่งเคยไตร่ตรองปัญหานี้มาก่อนแล้ว สำนักงานใหญ่บริษัทโอเซี่ยนอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดสาขาเหนือของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ หากเปรียบเทียบในเมืองชิงหยูนแล้ว ถือเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่เลย
สำหรับตระกูลซูน และกลุ่มนายทุนแล้ว นับว่าเป็นตระกูลที่มีเงินมหาศาล หากเจียงฉีสามารถขึ้นบริหารอย่างราบรื่น ตระกูลซูนคงแย่มากแน่
เขาได้ตัดสินใจแล้วว่า จะให้เจียงฉีจัดการตระกูลซูน
เจียงฉีเปลี่ยนสีหน้าตกใจช็อก พร้อมเผยสายตาตื่นเต้นที่ยากจะกลบเกลื่อน ขณะเดียวกันมือที่ถือถ้วยชาก็สั่นเทาเล็กน้อย
สิ่งที่ประธานหลินพูดเซอร์ไพรส์มากจนเจียงฉีตื่นเต้นมาก เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ประธานหลินมีความกล้าที่ห้าวหาญถึงขนาดนี้ หากต้องการกำจัดตระกูลซูนก็ต้องวางหมากอย่างรอบคอบ ไม่มีช่องโหว่ ถึงจะสามารถทำสำเร็จ
หลังจากครุ่นคิดสักพักใหญ่ เจียงฉีพูดขึ้นว่า : “กิจการทุกอย่างของสำนักงานใหญ่บริษัทโอเซี่ยนอสังหาริมทรัพย์ผมเป็นคนจัดการ และหุ้นส่วนทั้งใหญ่และเล็กที่ลงทุนเข้ามา ผมก็เป็นคนพัฒนาให้เติบโตด้วย ซึ่งล้วนเป็นเพื่อนหมดเลย ตระกูลซูนทำเพียงแต่นั่งรับเงินเท่านั้น ซูนเหิงที่เป็นคนรับผิดชอบอสังหาริมทรัพย์นี้ได้มอบหมายให้ลูกหลานคนหนึ่งที่เป็นไอ้ติดเหล้ารับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการควบคุมผม อันที่จริงผมสามารถกำจัดตระกูลซูนได้อย่างง่ายดาย แต่….”
“บอกมา คุณต้องการเงินทุนเท่าไหร่” หลินอิ่งพูดขึ้น
เจียงฉีครุ่นคิดอยู่สักพักใหญ่ และพูดขึ้นว่า : “ขอเพียงเงินทุนสักร้อยกว่าล้านก็เพียงพอแล้วครับ! ผมมีความมั่นใจที่จะสามารถจัดการตระกูลซูนอย่างสิ้นซาก และสามารถกำจัดอำนาจที่ตระกูลซูนมีต่อสำนักงานใหญ่บริษัทโอเซี่ยนอสังหาริมทรัพย์!”
“ผมให้สองร้อยล้าน” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบง่ายขึ้น แล้วโยนบัตรธนาคารใบหนึ่งลงบนโต๊ะ “รหัสของบัตรธนาคารใบนี้นายรู้”
นี่เป็นบัตรธนาคารที่ซื้อบ้านที่ชุมชนสุ่ยหยวนครั้งนั้น
เจียงฉีกำหมัดอย่างแน่น แล้วยื่นมือหยิบบัตรธนาคาร และก้มโค้งเคารพพูดว่า : “ประธานหลิน ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวังครับ!”
“ไปลุยอย่างกล้าหาญเถอะ ไม่ต้องเกรงกลัวแผนชั่วลับหลังของตระกูลซูน” หลินอิ่งพูดขึ้น
เจียงฉีเผยสายตาเป็นประกาย สำหรับเขาแล้ว ขอเพียงประธานหลินสามารถเป็นภูเขาคอยหนุนหลังเขา เขาก็มีความมั่นใจในความสามารถของตัวเองที่จะสามารถโค่นล้มสำนักงานใหญ่บริษัทโอเซี่ยนอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างง่ายดาย และสามารถโจมตีตระกูลซูนทางธุรกิจด้วย!
“ประธานหลินครับ ผมขอรับประกันว่า ภายในหนึ่งสัปดาห์ ผมจะโค่นล้มสำนักงานใหญ่บริษัทโอเซี่ยนอสังหาริมทรัพย์ให้ได้! ในอนาคตผมจะปูทางสู่ธุรกิจสาขาเหนือให้กับคุณด้วย” เจียงฉีพูดด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น
หลินอิ่งยิ้มและพูดว่า : “เพียงแค่สำนักงานใหญ่บริษัทโอเซี่ยนอสังหาริมทรัพย์เล็กๆอย่างเดียวคงไม่พอหรอก คุณรู้สถานการณ์ดำเนินการของธุรกิจตระกูลซูนมากกว่าคนข้างนอกมาก ดังนั้นผมจะสนับสนุนให้คุณขึ้นตำแหน่ง”
“ประธานหลิน….ขอบคุณสำหรับโอกาสนะครับ!” เจียงฉีเผยสีหน้าตกใจที่แฝงความดีใจขึ้น เขาจะไม่เข้าใจความหมายของหลินอิ่งได้ยังไงกัน ความหมายของประธานหลินคือ ไม่ได้ต้องการต่อกรกับซูนเหิงอย่างธรรมดา แต่จะกลืนกินตระกูลซูนให้ราบคาบ
ซึ่งหมายถึงต้องการกำจัดตระกูลซูนอย่างสิ้นซาก! ความกล้าที่บ้าบิ่นแบบนี้คงหาคนที่สองในเมืองชิงหยูนไม่ได้แล้ว!
ถึงแม้ไม่ค่อยรู้เบื้องหลังของหลินอิ่งว่าเป็นยังไง แต่เจียงฉีเชื่อใจประธานหลินชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า เพราะแค่ตระกูลซูนที่มีอิทธิพลกลับไม่ใช่คู่ต่อกรของเขาเลย!
เจียงฉีถอนหายใจออก และรู้สึกมีกำลังใจหึกเหิมขึ้น ความเคียดแค้นที่สะสมมาหลายปีต่อตระกูลซูนได้ถึงเวลาแก้แค้นแล้ว…..
นี่เป็นสิ่งที่เมื่อก่อนเขาไม่กล้าจินตนาการเลย คิดไม่ถึงเขาจะมีโอกาสต่อกรกับตระกูลซูนที่มีอิทธิพล!
ตระกูลซูนเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองชิงหยูน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลที่มีอิทธิพล
ซูน หวาง โจ สามตระกูลนี้แทนที่จะบอกว่าเป็นตระกูลใหญ่ของเมืองชิงหยูน บอกว่าเป็นสามตระกูลใหญ่ของมณฑลตุงไห่ดีกว่า
สามตระกูลล้วนเป็นตระกูลครอบครัวขุนนางมาก่อน เลยมีเส้นสายกว้างขวาง ทั้งยังมีทรัพย์สินและอิทธิพลกระจายทั่วมณฑลตุงไห่ ไม่เพียงมีอำนาจในเมืองชิงหยูน แต่ในมณฑลตุงไห่ก็ไม่ละเว้น
นี่เป็นสามตระกูลใหญ่ที่แตกต่างจากตระกูลจางและตระกูลฉินตระกูลระดับสองในเมืองชิงหยูน ตระกูลระดับสองมีอิทธิพลครอบคลุมเฉพาะบางพื้นที่ในเมืองชิงหยูน แต่เมื่ออยู่ที่อื่นแทบจะไม่มีอิทธิพล
อีกอย่างเป็นที่รู้กันว่า นับตั้งแต่ราชวงศ์หมิง ผ่านมาร้อยกว่าปีไม่รู้ว่าเมืองชิงหยูนมีตระกูลสูญหายไปมากเท่าไหร่แล้ว แต่มีเพียงสามตระกูลที่ยังมั่นคง สามตระกูลมีประวัติของตระกูลที่โดดเด่น และมีความสัมพันธ์สลับซับซ้อนกัน อีกอย่างมีทรัพย์สินมหาศาลด้วย
ด้วยเหตุนี้นี่เลยเป็นสาเหตุสำคัญที่ถูกขนานนามว่าเป็นตระกูลใหญ่ที่แท้จริง แต่ไม่ใช่ตระกูลที่จู่ๆร่ำรวยขึ้นมา ซึ่งไม่สามารถเทียบได้เลย
“ประธานหลินครับ ครั้งหน้าผมจะเอาสิ่งที่ผมรู้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจที่เป็นความลับและเอกสารสถานการณ์ของบริษัทมาให้คุณครับ” เจียงฉีพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น “อีกอย่างผมเคยทำความรู้จักกับบุคคลผู้มีอิทธิพลของตระกูลซูน เลยพอมีความเข้าใจอยู่ด้วย”
หลินอิ่งจิบชาหนึ่งคำ และพยักหน้าเล็กน้อย : “คุณกลับไปจัดการเถอะ หากมีเรื่องอะไรค่อยมารายงานผม”
“ครับ!” เจียงฉีพยักหน้าเล็กน้อย และพยายามปรับสติให้สงบนิ่งลงอยู่สักพักใหญ่ จากนั้นก็ออกจากคฤหาสน์ไป
หลังจากที่เจียงฉีจากไป หลินอิ่งก็สูบบุหรี่ม้วนหนึ่ง และหันหน้ามองใจกลางเมืองชิงหยูนที่เจริญรุ่งเรื่อง จากนั้นก็เผยสายตาแหลมคมขึ้น
เขาได้เพาะปลูกเมล็ดอย่างเจียงฉีแล้ว ตอนนี้ก็มารอดูการเติบโตของเขาว่า จะสามารถก้าวหน้าไปถึงขั้นไหน..