ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 673 นายลองลอดเข้าไปดูสิ
สายตาที่หลุยหรุ่ยมองจางฉีโม่ นั้นดูร้ายๆ มีความคิดที่ไม่ดีอะไรบางอย่าง
เขาก็เป็นคนเจ้าสำราญคนนึง แต่ในอำเภอเจียงเยว่แบบนี้ ก็ไม่เคยพบเจอสาวสวยที่มีสไตล์แบบนี้มาก่อน
แล้วก็ สาวสวยแบบนี้ กลับไปเป็นแฟนของเจ้าคนบ้านนอกต่างถิ่น? แถมยังเป็นไอ้คนไร้ประโยชน์ที่ถูกซ้อมจนเดี้ยง?
เห็นได้ชัดว่าเป็นดอกไม้งามที่ปักอยู่ในกองขี้วัว
“นายเป็นใคร? พูดอะไร? กรุณาระวังคำพูดกับการกระทำของตัวเองด้วย” จางฉีโม่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา สีหน้าเปลี่ยนเป็นแย่มากๆ
หลุยหรุ่ยคนนี้ สายตาที่มองมา เห็นได้ชัดว่าไปทางหื่นกามมากๆ
“คุณผู้หญิง พูดจาเกรงใจหน่อยนะ ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ เป็นคุณชายหลุยแห่งอำเภอเจียงเยว่เชียวนะ เธอฟังเรื่องฐานะของคุณชายหลุยให้ชัดเจนก่อน แล้วค่อยพูดก็ไม่สาย”
ผู้ดูแลข้างกายหลุยหรุ่ยคนนึงพูดอย่างเย่อหยิ่ง
หลินอิ่งยิ้มอย่างเย็นชา และพูดอย่างนิ่งๆ : “กู่ชางไห่ เตือนความจำพวกเขาหน่อย”
พูดจบ เขาก็จูงมือจางฉีโม่เดินไปทางห้องรังสรรค์
“ใครให้พวกแกไปกัน? แม่มึง คุณชายหลุยถามพวกแกไม่ได้ยินใช่มั้ย?”
ผู้ติดตามหลุยหรุ่ยคนนึงพุ่งเข้ามา ด้วยท่าทีเกรี้ยวกราดหวังจะลงมือกับหลินอิ่ง
ผลั๊วะ!
พวกชายร่างหนาที่จะลงมือกับหลินอิ่ง กู่ชางไห่ก้าวขึ้นหน้า สองหมัดชกออกไปข้างหน้า
สองหมัดนี้ต่อยจนเกิดเสียงหนัก ชายร่างหนาแข็งแรงสองคน พริบตาเดียวก็ถูกชกจนอ่อนปวกเปียกลงไปกองกับพื้น กระดูกในร่างกายนั้นราวกับถูกชกจนหักหมด จนสั่นไปทั่วร่าง และกระอักเลือดออกมา
“แก!ไอ้เดี้ยงเอ๊ย ฉันไว้หน้าแกแล้วหรือไง? ยังจะกล้าเรียกคนของนายลงไม้ลงมือ?” สายตาของหลุยหรุ่ยโหดเหี้ยม และพูดอย่างโมโห “แล้วก็แกไอ้แก่ คิดจริงๆ เหรอว่ามีฝีมือนิดหน่อย แล้วฉันจะสู้แกไม่ได้แล้วน่ะ?”
“ไป ไปเรียกคนมา!” หลุยหรุ่ยโกรธจัด และสั่งคนติดตามข้างกาย
โครม!
ขณะที่หลุยหรุ่ยกำลังโวยวาย กู่ชางไห่ก็คว้าเก้าอี้ขึ้นมา และเขวี้ยงข้ามหัวเขาไปอย่างบ้าคลั่ง กระแทกโดนหัวคนที่อยู่ตรงนั้น จนล้มไปกับพื้นและร้องโอดครวญ
“เห้ย!แก แกยังกล้าทำร้ายฉันเหรอ?”
หลุยหรุ่ยทั้งตกใจทั้งโกรธพลางจ้องไปทางหลินอิ่งกับกู่ชางไห่ และยื่นมือขึ้นไปลูบหน้าผากตัวเอง ลูบโดนเลือดจนเต็มมือ
เก้าอี้ม้านั่งของกู่ชางไห่กระแทกเข้าไป หลุยหรุ่ยถูกกระแทกจนหน้าบวมช้ำ ศีรษะกระแทกจนเกิดรู เลือดไหลนอง
“วันนี้ฉันจะกำจัดแกทิ้งซะ!แม่งเอ๊ย รนหาที่ตาย!”
หลุยหรุ่ยแหกปากด่า พลางลุกขึ้นยืนอย่างแรง โมโหจนตัวสั่นไปทั่วร่าง
นี่มันเป็นความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวงเลย อยู่ที่อำเภอเจียงเยว่เขาเคยได้รับความอัปยศแบบนี้เมื่อไหร่กัน กลับถูกคนทำร้ายจนหัวแตกแบบนี้?
หลุยหรุ่ยอยากจะพูดอะไรสักอย่าง กู่ชางไห่ก็พุ่งเข้าไป และถีบเข้าไปอีกสองทีจนทำเอาเขาลงไปกลิ้งกับพื้น เป็นภาพที่น่าอับอายสุดๆ
“ขืนพูดมากอีก ฉันจะนายอัดให้เดี้ยง!”
กู่ชางไห่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา แสดงให้เห็นจิตสังหารที่เยือกเย็น
หลุยหรุ่ยตกใจกลัวตัวสั่น สายตาเป็นไปด้วยความชั่วร้าย เขาจ้องกู่ชางไห่ตาเขม็ง ไม่พอใจสุดๆ แต่เขาก็กลัวฝีมือของชายแก่ผู้นี้
หลุยหรุ่ยจ้องแผ่นหลังของหลินอิ่งกับจางฉีโม่เดินเข้าไปในห้องรังสรรค์ เขายิ่งคิดก็ยิ่งโมโห จึงหึอย่างเย็นชา และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออก
“กล้าดีนี่ ยังจะกล้าอยู่ที่นี่กินข้าวต่อ พวกนายคอยดูเถอะ!” หลุยหรุ่ยพูดสบถเล็กน้อย และก็หันหลัง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาติดต่อบางคน
สีหน้าของกู่ชางไห่เข้ม และมองไปทางพนักงานต้อนรับหญิงที่ตกตะลึง และพูดอย่างเคร่งขรึม: “เรื่องห้องอาหารคุยกันเรียบร้อย เธอจัดการเสิร์ฟอาหารได้เลย อย่าขัดขวางการรับประทานอาหารของประธานหลินกับภรรยา”
“คะ?” พนักงานต้อนรับหญิงทำหน้าช็อก และชะงักอยู่ครู่ และก็มีปฏิกิริยาอย่างรุนแรง พลางมองไปทางกู่ชางไห่ด้วยความกลัว
เธอยังไม่ได้สติกลับมาหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ในใจสถานะยังคงรู้สึกช็อกถึงขีดสุด
สถานการณ์ไหนเนี่ย? เป็นถึงคุณชายหลุยแห่งอำเภอเจียงเยว่ กลับถูกคนธรรมดาอัดซะจนเหมือนหมา?
แล้วก็ คนที่ลงมือ ยังกล้าอยู่กินข้าวที่โรงแรมเครสเซนต์ต่ออีก? นี่มันต้องมีความกล้าขนาดไหนเนี่ย? ไม่กลัวอิทธิพลของคุณชายหลุยแห่งอำเภอเจียงเยว่ ไม่กลัวโดนเอาคืนเหรอ?
“ทำไม? พวกเธอเปิดโรงแรม แม้แต่อาหารยังเสิร์ฟไม่ได้เหรอ?” กู่ชางไห่หึเสียงเย็นชา
“เอ่อ!ค่ะๆ วางใจได้ค่ะท่าน ฉันจะได้เตรียมเสิร์ฟเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” พนักงานต้อนรับหญิงพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ท่าทีเทียบกับเมื่อกี้คนละเรื่องเลย
อีกฝ่ายเป็นคนที่แม้แต่คุณชายหลุยบอกว่าจะอัดก็อัด
เธอเป็นแค่พนักงานต้อนรับตัวเล็กๆ จะกล้าไปขัดใจได้ที่ไหน
ต่อมา กู่ชางไห่ก็มายืนเฝ้าหน้าห้องอาหารด้วยความเคารพ ไม่ได้สนใจการมีอยู่ของพวกคุณชายหลุยเลยแม้แต่น้อย
ไม่นาน พนักงานก็ยกถาดอาหารมา และเดินเข้าไปในห้องรังสรรค์อย่างติดๆ
ด้านในห้องรังสรรค์ หลินอิ่งกับจางฉีโม่นั่งอยู่ด้วยกัน
บนโต๊ะอาหารหยก ได้วางจานชามลายครามงดงามเรียงกันอยู่หลายใบ น้ำซุปอร่อยๆ ล้วนมีความวิจิตรงดงาม ครบเครื่องทั้งสีสัน กลิ่นหอม และดูแพง
นับตั้งแต่อาหารเสิร์ฟ เห็นได้เลยว่าฝีมือของเชฟในโรงแรมเครสเซนต์นั้นเก่งกาจ ไม่น่าแปลกใจเลยที่จะได้รับการเคารพในอำเภอเจียงเยว่
แต่ว่า หลินอิ่งกับจางฉีโม่ก็ได้เห็นภาพแบบนี้จนเคยชินแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไรมาก
“คุณเพิ่งหายจากอาการป่วยหนัก กินหัวปลา เข้าไปเสริมหน่อยนะคะ” จางฉีโม่พูดอย่างอ่อนโยน หัวปลาถูกคีบวางลงในชามของหลินอิ่ง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความห่วงใย
หลินอิ่งยิ้มแย้ม และลองชิม รสชาติสดใหม่ เนื้อตรงส่วนนี้ เป็นส่วนที่นุ่มและเด้งที่สุด
“หลินอิ่ง พวกคนด้านนอกเมื่อกี้ คงจะไม่มีเรื่องอะไรใช่มั้ย เหมือนกับว่ายังจะมาหาเรื่องคุณ” จางฉีโม่เอ่ยปากพูด สีหน้ากังวลเล็กน้อย
“ก็แค่พวกอันธพาลเที่ยวหาเรื่องน่ะ พวกเรากินกันเถอะ ไม่ต้องไปสนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนั้น” หลินอิ่งพูดอย่างนิ่งๆ
“อื้ม” จางฉีโม่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ทั้งสองคน ก็ค่อยๆ ลิ้มรสชาติอาหารเลิศรส ต่างคนต่างพูดคุยเรื่องหยุมหยิม บรรยากาศเป็นใจสุดๆ
และด้านนอกห้องรังสรรค์ ด้านในห้องอาหาร
ในขณะนี้ นั้นวุ่นวายจนไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้
หลุยหรุ่ยโทรศัพท์ เรียกคนมาสิบกว่าคน บุกเข้าไปในห้องอาหารอย่างอุกอาจ
ส่วนกู่ชางไห่ก็ยืนขวางหน้าประตูห้องรังสรรค์ไว้อยู่คนเดียว และโยนพวกที่พุ่งเข้ามา คิดจะมาหาเรื่องกลับไปยังดีที่ห้องรังสรรค์นั้นเก็บเสียงได้ดี ความเคลื่อนไหวด้านนอก ไม่ได้รบกวนการทานอาหารของหลินอิ่งกับจางฉีโม่เลย
“แม่งเอ๊ย มีความสามารถจริงๆ ให้บอดี้การ์ดยืนเฝ้าหน้าห้อง เอะอะเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ตัวเองยังกลับกล้านั่งกินข้าวอยู่ข้างในสบายใจเฉิบ เสแสร้งดีจริงๆ นะ!”
ชายวัยกลางคนที่คล้ายคลึงหลุยหรุ่ย ยืนเท้าเอวอยู่กลางร้านอาหาร และมองกู่ชางไห่ด้วยสายตาเย็นชา
ข้างกายเขา ยังมีผู้ติดตามอีกเป็นโหลๆ ชายหนุ่มในชุดสูทที่ดูเหมือนอันธพาล
“ลุงสอง เรื่องวันนี้ยอมไม่ได้นะครับ หลังจากนี้ผมไม่มีหน้าอยู่ต่อในอำเภอเจียงเยว่แล้ว” หลุยหรุ่ยพูดเสียงเข้ม สีหน้าไม่พอใจ
ลุงสองของหลุยหรุ่ยสีหน้าเคร่งขรึม พลางจ้องกู่ชางไห่เขม็ง ความโกรธก็มีมากเหมือนกัน
ไม่รู้ศักดิ์สิทธิ์มาจากไหน ถึงกลับมาทำร้ายหลานของตน แถมยังกล้านั่งกินข้าวสบายใจเฉิบที่โรงแรมเครสเซนต์ต่ออีก ช่างกล้าดีซะจริง
“จัดการไอ้หมอนั่น บุกเข้าไป แล้วลากคอคนที่กินข้าวด้านในออกมา!” ลุงสองของหลุยหรุ่ยออกคำสั่งอย่างเย็นชา
“เล่นมันให้ตา!ผลลัพธ์ทั้งหมด ฉันรับผิดชอบเอง!”
จากคำพูดของชายวัยกลางคนที่กิตติศัพท์สูงส่งคนนี้พูด ชายร่างหนาในห้องอาหารทั้งหมดก็ยกท่อนเหล็กขึ้น และค่อยๆ ล้อมเข้าไป คิดจะทุบทำลายสถานที่นี้
“พวกนายใครกล้าลอดเข้าไปดูสิ!”
ในขณะนั้น ด้านหน้าประตูห้องอาหารก็มีเสียงเย็นชาดังขึ้น