ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 70 มาหาเรื่องถึงที่
บทที่ 70 มาหาเรื่องถึงที่
“จดหมายจากทนายหรอ” หลินอิ่งยื่นมือหยิบเอกสารใบนั้นขึ้นมาดู
นี่เป็นจดหมายจากทนายของทนายบริษัทหวางซื่อกรุ๊ป มีเนื้อหาว่า หลินอิ่งตั้งใจทำลายเครื่องเคลือบลานครามโบราณที่มีราคาหกสิบล้านของหวางจื่อเหวิน ซึ่งผลิตตั้งแต่ยุคสมัยหมิงโบราณ จึงเรียนต่อหลินอิ่งว่า ต้องจ่ายเงินค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินหกสิบล้าน ค่าชื่อเสียงเสียหายเป็นจำนวนสิบล้าน และค่าดำเนินการเป็นจำนวนเงินอีกสิบล้านด้วย…..
เมื่อรวบรวมค่าเสียหายทั้งหมดแล้วเป็นจำนวนเงินหนึ่งพันล้าน!
ในเอกสารกองนี้ไม่เพียงมีจดหมายจากทนาย ยังมีใบสมาคมเก็บสะสมเครื่องกระเบื้องเคลือบของเมืองชิงหยูน รวมถึงใบยืนยันสินค้าเป็นของจริง โดยได้รับการยืนยันจากนักเชี่ยวชาญวิเคราะห์ของโบราณที่มีชื่อเสียงอีกด้วย…..
หลินอิ่งรู้สึกอยากหัวเราะ ขณะเดียวกันก็ส่ายหน้าเล็กน้อย…..
หวางจื่อเหวินยังกล้ากลับตาลปัตรความจริงอีกหรอ ของโบราณปลอมที่ซื้อมาในราคาสามสิบล้านกลับต้องการเรียกร้องค่าเสียหายกับตัวเองสองเท่าเป็นจำนวนเงินหกสิบล้านเลยหรอ? แถมยังเรียกร้องค่าชื่อเสียงเสียหายด้วย?
เขามีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนด้วยหรอ?
“ไอ้ขยะไร้ประโยชน์อย่างนายจะไปเข้าใจอะไรหรอ? จดหมายทนายฉบับนี้ถูกกระจายไปทั่วทุกที่ตั้งแต่เช้าแล้ว” จางหงจูนพูดต่อว่า “เมื่อวานนายตั้งใจทำลายทรัพย์สินส่วนตัวของคุณชายหวางที่หมิงเป่าซวน ซึ่งการกระทำแบบนี้ถือเป็นการทำลายชื่อเสียงของคุณชายหวางแห่งตระกูลหวาง และสร้างความอับอายต่อคนตระกูลจางของเราด้วย!”
“ไม่เพียงสร้างความน่าอับอาย แต่เขายังเป็นตัวซวยของตระกูลด้วย!” จางหงซวนพูดอย่างไม่ใยดีขึ้น “ตอนนี้คุณชายหวางแห่งตระกูลหวางเตรียมเรียกเหล่านักข่าวมางานต้อนรับแล้ว เขาต้องการประกาศทุกช่องทาง ซึ่งนี่เป็นการสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงบริษัทของเราอย่างมาก”
หลินอิ่งพูดขึ้นว่า : “อย่าเพิ่งพูดถึงความจริงของเรื่องนี้เลย ใครต่างก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของผม เกี่ยวอะไรกับพวกคุณด้วยหรอ?”
“บังอาจมาก เกี่ยวอะไรกับพวกฉันอย่างนั้นหรอ?” จางหงจูนหัวเราะด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ไอ้ลูกเขยขยะไร้ประโยชน์ของตระกูลจางอย่างหลินอิ่งจะกล้ากำเริบสืบสานต่อหน้าผู้ใหญ่ของตระกูลจางอย่างเขา!”
หรือว่าเขาต้องปฏิบัติตัวอย่างนอบน้อม และพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างนั้นหรอ?
“เห้อเห้อ คิดไม่ถึงว่าคนอย่างหลินอิ่งยังสามารถเข้าทำงานเป็นผู้ช่วยระดับสูง ขนาดถูกจดหมายจากทนายฟ้องร้องยังไม่รู้สึกรู้สาอีก”
“ฉันเห็นจดหมายจากทนายฉบับนั้นแล้ว ทางนั้นต้องการเรียกร้องค่าเสียหายหนึ่งพันล้านเลย ด้วยความสามารถของคุณชายหวางแห่งตระกูลหวางสามารถเอาชนะเขาในศาลได้อยู่แล้ว!”
“ฉันคิดว่า หลินอิ่งคงแย่แล้วแน่เลย อย่าว่าแต่เงินหนึ่งพันล้านเลย แค่สิบล้านไม่รู้จะสามารถหามาได้หรือเปล่า ดีไม่ดีคงถูกไล่ออกจากบริษัทตอนนี้”
“อย่าว่าแต่ถูกไล่ออกจากบริษัทเลย ไม่ได้ยินมาหรอ? เมื่อคืนเขาถูกไล่ออกจากบ้านด้วย ไม่นานคงนอนริมถนนแล้วล่ะ”
เหล่าพนักงานระดับสูงของบริษัทที่อยู่ฝ่ายของจางหงซวนต่างพากันหัวเราะเยาะ
“คุณลุง คุณลุงสอง นี่เกิดอะไรขึ้นหรอค่ะ?”
ในเวลานี้ข้างนอกมีเสียงเอะอะเสียงดังมาก จนทำให้จางฉีโม่ได้รับการรบกวน เธอเดินออกมาจากห้องทำงานอย่างรวดเร็ว พร้อมกับจ้องมองหลินอิ่งด้วยสีหน้ากังวล
“ฉีโม่ เธอมาได้เวลาพอดีเลย ฉันกำลังคิดอยากเรียกเธอมาด้วย” จางหงจูนพูดด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น “เธอดูสิ ไอ้ขยะหลินอิ่งก่อเรื่องอะไรมาบ้าง คุณชายหวางแห่งตระกูลหวางจะฟ้องร้องเขาเรียกค่าเสียหายหนึ่งพันล้าน ตอนนี้ทั้งบริษัทของเราต่างรู้สึกอับอายกับการกระทำของเขาหมดแล้ว”
จางฉีโม่เดินมาเบื้องหน้าหลินอิ่งด้วยสีหน้าสงสัย แล้วหยิบจดหมายทนายและใบยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญขึ้นมาดู จากนั้นสีหน้าก็ขาวซีดขึ้น แล้วเปลี่ยนเป็นสีหน้าขุ่นเคืองขึ้น
“คุณลุงใหญ่ คุณลุงสามค่ะ นี่เป็นการใส่ร้ายป้ายสีที่แทบไม่มีหลักฐานเลยนะค่ะ ตอนที่เกิดเรื่องที่หมิงเป่าติง ฉันก็อยู่ในเหตุการณ์เหมือนกัน” จางฉีโม่พูดด้วยท่าทางไม่ยินยอม “เรื่องโกหกแบบนี้พวกคุณก็เชื่อหรอค่ะ? ทั้งที่มันเป็นของปลอมตั้งแต่แรก”
“โธ่ ฉีโม่ ทำไมเธอยังถึงช่วยพูดแทนไอ้ขยะนั้นด้วย?” จางหงซวนถอนหายใจและพูดต่อว่า “หลักฐานทั้งหมดอยู่ที่นี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นใบเก็บสะสมของโบราณ ใบยืนยันเป็นสินค้าจริงจากผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน หรือว่าคำพูดเพียงคนเดียวของหลินอิ่งจะมีอำนาจและน่าเชื่อถือกว่าเอกสารเหล่านี้หรอ?”
“อีกอย่างหลินอิ่งคนยากจนอย่างเขาจะมีปัญญาขึ้นศาลสูคดีหรอ?” จางหงซวนเผยสีหน้าดูถูกขึ้น และพูดว่า “ถึงยังไงคุณชายหวางแห่งตระกูลหวางก็ชนะอยู่แล้ว และเขาก็ต้องจ่ายเงินค่าเสียดายด้วย หากจ่ายไม่ได้ พฤติกรรมทำลายทรัพย์สินของคนอื่น และตั้งใจทำลายรถยนต์ของคนอื่นด้วยอาจจะต้องตัดสินลงโทษ แต่การทำลายของโบราณราคาหกสิบล้านคงต้องเข้าคุกตลอดชีวิตแน่!”
“ไม่ค่ะ ทำแบบนี้มันไม่สกปรกเกินไปหรอค่ะ?” จางฉีโม่เผยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ วิธีการของหวางจื่อเหวินคนนี้ช่างเลวทรามจริงๆ
“สกปรกหรอ? ไม่เห็นจะเสกปรกตรงไหนเลย นี่เป็นเรื่องที่จริงจังมาก” จางหงจูนพูดด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น “ฉีโม่ ในฐานะลุง ฉันขอเตือนให้เธออยู่ไกลจากไอ้ขยะคนนี้ ไม่เช่นนั้นสักวันเธอจะถูกเขาทำร้าย”
“ฉีโม่ ลุงสามขอสั่งสอนเธอเรื่องนี้หน่อย เธออาจจะมีประสบการณ์ทางสังคมน้อย แต่ทำไมเธอไม่ลองคิดดูหน่อยล่ะ บุคคลที่มีอิทธิพลอย่างคุณชายหวางแห่งตระกูลหวาง หากต้องการกลั่นแกล้งหลินอิ่งจริง เขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้ เพราะเขามีวิธีการมากมาย” จางหงซวนพูดขึ้นในฐานะผู้ใหญ่ “หลินอิ่งคนนี้คิดว่าตัวเองเป็นคนฉลาด เลยไปประลองระดับการวิเคราะห์ของโบราณ แต่เจ้าโง่คนนี้กลับไม่เข้าใจบางอย่าง มีความสามารถวิเคราะห์ของโบราณใช้ทำอะไรได้? คนเขามีเงินมีอำนาจ สามารถทำผิดให้เป็นถูกได้ อย่างเช่นเหมือนตอนนี้ ใครกล้าบอกบ้างว่า การวิเคราะห์ของหลินอิ่งก่อนหน้านี้ถูกต้องบ้าง?”
พูดจบ จางหงซวนก็หัวเราะขึ้นมา และพูดว่า : “ฉีโม่ สำหรับผู้ชายตอนนี้แล้ว อำนาจและฐานะถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก หากเปรียบเทียบไอ้ขยะหลินอิ่งกับคุณชายหวางแห่งตระกูลหวางแล้ว ฮ่าฮ่า ห่างไกลลิบลิ่วเลย เธอต้องไตร่ตรองคำแนะนำของป้าสองให้ดีๆ”
“ฮ่า พวกคุณคิดว่ามีเงินมีอำนาจแล้วจะสามารถฝ่าฝืนกฎหมายได้หรอ?” หลินอิ่งหัวเราะและส่ายหน้าขึ้น
“ใช่! ฉันจะบอกกับนายให้ชัดเจนเลยว่า ฉันมีเงิน ฉันจะทำอะไรก็ได้ แม้แต่ฝ่าฝืนกฎหมายก็ตาม ส่วนคนธรรมดาอย่างพวกแกเข้าใจกฎหมายอะไรด้วยหรอ?’
ทันใดนั้นน้ำเสียงกำเริบสืบสานก็ดังขึ้นมาจากข้างหน้าประตู
หวางจื่อเหวินสวมชุดคลุมใหญ่ พร้อมกับพาสุนัขรับใช้อย่างพวกฉินเฟยมาด้วย จากนั้นพวกเขาก็เดินเข้ามาในบริษัทจางซื่อกรุ๊ปด้วยท่าทางโอ้อวดขึ้น
คุณชายหวางมาแล้ว เชิญนั่ง ดื่มชาก่อนครับ” จางหงซวนพูดประจบสอพลอขึ้น พร้อมกับยื่นชาร้อนให้หวางจื่อเหวินด้วย
จางหงจูนพยักหน้าเล็กน้อยต่อหวางจื่อเหวินเล็กน้อย
“ไอ้ขยะ ครั้งก่อนเสแสร้งแกล้งทำว่าของปลอม ฉันให้นักเชี่ยวชาญวิเคราะห์แล้ว พวกเขาต่างบอกว่าเป็นของจริง” หวางจื่อเหวินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น แล้วเหลือบมองจางฉีโม่ “ฉีโม่ คุณดูให้ดี หลินอิ่งคนนี้ไม่เพียงไม่มีความสามารถ แถมเป็นคนเลวทรามต่ำช้าด้วย”
“คณะกรรมการทั้งสองคนครับ การที่บริษัทเก็บคนประเภทนี้ถือเป็นภัยพิบัติมากเลยนะครับ เพราะอาจจะได้รับผลกระทบด้านลบต่อบริษัท ผมแนะนำว่า ตอนนี้พวกคุณสามารถไล่หลินอิ่งคนนี้ออกได้แล้ว” หวางจื่อเหวินพูดด้วยท่าทางสะใจขึ้น
“คุณชายรองพูดถูก ผมเห็นด้วยเป็นอย่างมาก บริษัทของเราไม่ควรเก็บตัวซวยแบบนี้” จางหงจูนพยักหน้าเล็กน้อย
“ฉันเองก็ยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งครับ หลินอิ่ง นายฟังให้ดี ตอนนี้ฉันขอประกาศต่อนายในฐานะคณะกรรมการว่า นายถูกไล่ออก รีบไสหัวออกไปจากบริษัทเดียวนี้” จางหงจูนเผยสีหน้าดูถูกขึ้น และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไม่ต้องถามฉันว่าทำไม เหตุผลง่ายดายมาก นายถูกฟ้องร้อง และอาจจะถูกกฎหมาลงโทษ ทางบริษัทของเราไม่ต้องการเก็บนักโทษไว้ในบริษัท”