ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 717 คุณตาหลินซวนหวา
หลินอิ่งยิ้มจาง ไม่พูดมาก
“คุณชายหลินอิ่ง ผมพูดได้อย่างเดียว ผู้อาวุโสสองกับผู้อาวุโสใหญ่ต่างอยู่ในเขาลังยา ผู้อาวุโสสองชอบการสู้รบตบมือ แต่ถ้าเทียบกันแล้วผู้อาวุโสใหญ่ที่สุขุมน่ากลัวกว่ามาก” ฉินเหิงเยว่กล่าว
“ครั้งนี้ผู้อาวุโสใหญ่กับคุณชายใหญ่ได้ชัยกลับมาจากจี้โจว เห็นว่าทำกำไรให้ตระกูลหลินมหาศาล กำลังเป็นใหญ่ในตระกูล คุณชายหลินอิ่งอย่าได้มีเรื่องกับเขาง่ายๆ เป็นอันขาด”
หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย กล่าว “ขอบคุณผู้อาวุโสฉินที่ชี้แนะ”
ผู้อาวุโสฉินก็พยักหน้าเช่นกัน ตั้งสติอยู่กับการขับรถ
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง รถได้เข้าไปอยู่ในส่วนลึกของเขาชางซานแล้ว ระหว่างทางมีต้นไม้เขียวขจีอยู่แน่นขนัด
ท้ายที่สุดก็จอดอยู่ที่ตีนเขาเขียวสูงตระหง่าน
พวกเขาทั้งสามลงจากรถ
ที่แห่งนี้เมื่อทอดสายตาออกไปไกล ด้านบนเป็นยอดเขาสูงชัน ลักษณะเขานี้มีต้นไม้ใหญ่เขียวสูงชะลูดอยู่ และเส้นทางเขาก็ถูกม่านหมอกปกคลุมจนขมุกขมัว
ภูมิศาสตร์กว้างใหญ่ มีบรรยากาศน่ารื่นรมย์
“เขาลังยา…” หลินอิ่งพูดพึมพำ สายตาจับจดอยู่ที่ไกล
สัมผัสแรกที่เขารู้สึกถึง ก็คือความหลุดพ้น
ราวกับไม่ได้อยู่ในแดนมนุษย์ ไม่มีแสงสีเสียง ราวกับโลกในอุดมคติ
“คุณชายหลิน จากตรงนี้ไปต้องเดินเท้าแล้ว โปรดตามผมมา” ผู้อาวุโสฉินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
หลินอิ่งมองจางฉีโม่ที่อยู่ด้านข้าง เธอกำลังมองแวดล้อมรอบๆ อยู่
“ไปกันเถอะ ฉีโม่”
ครั้นแล้วพวกเขาก็เดินเท้าขึ้นเขา เข้าไปอยู่ท่ามกลางหมอกหนา
เส้นทางเขาคดเคี้ยวเลี้ยวลด เลี้ยวเข้าป่าลึกยังต้องผ่านผาเหวอีกหลายลูก ยังมีสะพานโซ่ที่น่าหวาดเสียวอีก
จางฉีโม่กลัวถึงขนาดไม่กล้าข้ามสะพาน หลินอิ่งจึงอุ้มเธอเดินข้ามไป
ไม่รู้ว่าเดินมาไกลเท่าไหร่ แต่ใช้เวลาไปประมาณครึ่งชั่วยาม
ตลอดทางที่เดินมาล้วนปกคลุมไปด้วยหมอกหนา ไม่รู้ว่าเดินถึงตำแหน่งไหน แม้แต่สัญญาณโทรศัพท์มือถือที่พกมาด้วยก็ขาดหาย
พูดได้เลยว่าหากไม่ใช่เพราะหลินอิ่งกับฉินเหิงเยว่มีฝีมือพอตัว คนปกติถึงรู้เส้นทางก็คงเข้ามาไม่ได้
หลินอิ่งรู้ดีว่าตระกูลลึกลับโดยมากแล้วจะตัดขาดกับโลกภายนอก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลหลินแห่งเขาลังยาที่อยู่ในอันดับหนึ่ง
เขาลังยา เป็นดินแดนที่ตัดขาดกับโลกภายนอกโดยสมบูรณ์
“ถึงแล้วครับคุณชายหลินอิ่ง คุณนายหลิน”
ฉินเหิงเยว่เปิดปากพูด
เวลานี้ ทั้งสามได้ถึงวังหยกขาวที่จัดเรียงเป็นหลังๆ โอ่อ่ากว้างขวาง ภายในยังมีอาคารโบราณงดงามเป็นหลังๆ ตั้งอยู่ ดูแล้วน่าจะมีอายุพอควร
นี่อย่างกับเดินเข้าพระราชวังโบราณแน่ะ น่าตื่นตะลึงมาก
แถมรอบทิศยังถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกสีขาว ทั้งสามราวกับกำลังอยู่ในทะเลแห่งสายหมอก มองเห็นเขาเขียวธารใสลางๆ ยินเสียงน้ำอยู่เนืองๆ
และเบื้องหน้าคฤหาสน์ทั้งหลายก็มีแผ่นป้ายตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่
ตระกูลหลินแห่งลังยา!
ตัวอักษรที่เขียนอยู่บนนั้นยิ่งใหญ่อลังการมาก!
ด้านล่างแผ่นป้ายมีชายหนุ่มในชุดคอจีนกำลังยืนเข้าแถวต้อนรับด้วยท่าทางเคร่งขรึม
หลินอิ่งพาจางฉีโม่เดินเข้าไป
จางโม่อึกอัก มองดูรอบๆ ราวกับประหลาดใจมาก อยากถามอะไรกับหลินอิ่ง
อย่างไรเธอก็เป็นแค่คนธรรมดา ไม่เคยสัมผัสตระกูลลึกลับ เมื่อมาถึงเขาลังยาแล้วก็ต้องประหลาดใจและสะท้อนใจเป็นธรรมดา
กลุ่มชายหนุ่มในชุดเสื้อคอจีนไม่พูดไม่จา เพียงแต่เดินนำทางไปอย่างเคร่งขรึม
เมื่อทุกคนมาถึงหน้าอาคารที่มีกลิ่นอายโบราณแล้ว
“คุณชายหลินอิ่ง พี่ซวนหวาคุณตาของคุณกำลังรอคุณอยู่ในนั้น คุณไปทักทายกันก่อน เอาไว้แม่เฒ่าเรียกพบแล้วผมค่อยมาพาคุณไปที่ห้องโถงใหญ่ตระกูลหลิน” ฉินเหิงเยว่พูดอย่างจริงจัง
“พี่ซวนหวา หลินอิ่งหลานพี่มาแล้ว!”
ฉินเหิงเยว่ตะโกนเข้าไปข้างใน จากนั้นก็ส่งสัญญาณมือกับหลินอิ่ง
หลินอิ่งผงกศีรษะเล็กน้อย พาจางฉีโม่เดินเข้าไปในลานสไตล์โบราณ
ภายในลานมีโต๊ะหินวางอยู่ตัวหนึ่ง และมีชายชราที่สวมชุดฝึกกังฟูสีขาวกำลังนั่งดื่มชาอยู่
วินาทีที่หลินอิ่งกับจางฉีโม่เดินเข้ามา สีหน้าชายชราผู้นั้นก็เปลี่ยนไป จ้องหลินอิ่งสำรวจมองอยู่นาน
“เธอคือ…อิ่งเอ๋อ?” เสียงชายชราสั่นเครือเล็กน้อย พูดด้วยความตื่นเต้น
หลินอิ่งมองอีกฝ่ายสายตาหนึ่ง เปลี่ยนสีหน้าด้วยเหมือนกัน ถามไปด้วยความสงสัย “คุณตาซวนหวา?”
“ใช่ ใช่!” หลินซวนหวาพยักหน้าอมยิ้ม
หลินอิ่งมองหลินซวนหวา หน้าตาตาคล้ายแม่ของเขาบางส่วน โดยเฉพาะดวงตาที่มีเมตตา
บุคลิกหลินซวนหวาเรียบง่าย ผิวเหลืองเล็กน้อย มือทั้งสองมีตาปลา ราวกับเกษตรกรธรรมดาคนหนึ่ง
“นี่ก็คือจางฉีโม่ ภรรยาของอิ่งเอ๋อเหรอ?” หลินซวนหวามองจางฉีโมทีหนึ่งแล้วเอ่ยถาม
“คารวะคุณตาค่ะ” จางฉีโม่พูดอย่างมีมารยาท
“ดี ดี มาก็ดีแล้ว” หลินซวนหวาดีใจพยักหน้า
“นั่งสิ พวกเธอนั่งลงก่อน”
หลินอิ่งกับจางฉีโม่นั่งอยู่ที่โต๊ะหิน ล้อมรอบหลินซวนหวา
จากนั้นหลินซวนหวาก็ล้วงกำไลหยกขาวแกะสลักรูปหงส์ออกมาจากอก ส่งยื่นให้กับมือจางฉีโม่แล้วเอ่ย “ตาไม่มีของดีอะไรให้ รับสิ่งนี้ไว้นะ นี่เป็นกำไลที่ยายเธอใส่มาตอนแต่งงาน ถือเป็นธรรมเนียมของบ้านเราก็ได้”
จางฉีโม่รับกำไลมาอย่างตั้งใจแล้วกล่าว “ขอบคุณค่ะคุณตา”
“ดี ดีมาก” ใบหน้าหลินซวนหวาเปี่ยมไปด้วยความดีใจ “เกิดมาชาตินี้ได้เจออิ่งเอ๋อกับหลานสะใภ้ แค่นี้ตาก็ไม่หวังอะไรแล้ว”
หลินอิ่งเข้าใจในความรู้สึกของตาหลินซวนหวา เพราะแม่ของเขาที่เป็นลูกสาวถูกขับออกจากตระกูลตั้งแต่ยังสาว ทั้งตายังถูกตระกูลหลินลงโทษหนัก กักบริเวณให้อยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในชางโจว ทิ้งความเป็นยอดฝีมือในแวดวงลึกลับและฐานะในตระกูลหลินยังไม่พอ แต่ยังต้องทนลำบากตามลำพังอีก
หลินอิ่งจ้องกำไลหยกขาวที่แกะสลักเป็นรูปหงส์ในมือฉีโม่ จู่ๆ ก็คิดอะไรขึ้นมาได้ สายตาขยับทันที
“คุณตาครับ นี่มัน…?!” หลินอิ่งถามด้วยความฉงนใจ
หลินซวนหวาหัวเราะ “อิ่งเอ๋อ ตาได้ยินเรื่องของเธอมาบ้าง คิดว่าหลายปีมานี้เธอคงได้มีโอกาสสร้างชื่อมาบ้าง เธอดูออกแล้วละสิ? นี่เป็นกำไลหยกของหลิงเซียว ยายเธอแต่งมาจากหลินเซียวมาตระกูลหลิน ก่อนเธอจากไปได้ทิ้งเอาไว้”
“นี่เป็นความปรารถนาของเธอ บอกว่าถ้ามีโอกาสได้เจอลูกชายของซูชิงก็ให้มอบให้เขา นี่เป็นของที่เธอตั้งใจมอบให้ว่าที่หลานสะใภ้”
“แต่นี่…” หลินอิ่งจะพูดแต่ก็หยุดอีก เดิมเขาไม่อยากให้ฉีโม่รับกำไลวงนี้มา แต่จะปฏิเสธความปรารถนาของผู้ใหญ่ก็ไม่ได้
นี่หาใช่กำไลหยกธรรมดาไม่! แต่เป็นกำไลหยกที่แสดงถึงฐานะและตำแหน่งของ ‘หลิงเซียว’
หลิงเซียวหรือที่เรียกว่าตำหนักหลิงเซียว เป็นกองกำลังใหญ่ยักษ์ในแวดวงลึกลับ ตอนที่ขึ้นสู่ยุคทองยังแทบเทียบเคียงแก๊งมังกร
หนึ่งแก๊งสองตำหนัก สี่สำนักหกตระกูล
ที่พูดถึงอยู่นี้ก็คือกองกำลังสิบอันดับในแวดวงลึกลับประเทศหลุง เห็นได้ว่าตำหนักหลิงเซียวขึ้นอยู่ตำแหน่งสำคัญได้เลย
เมื่อฉีโม่รับกำไลหยกนี้แล้วก็ต้องเกี่ยวข้องกับหลิงเซียว
เพราะแต่ไรมาแวดวงลึกลับก็มีเหตุและผล ให้ความสำคัญกับการสืบทอด
“อิ่งเอ๋อ เธอไม่ต้องคิดมากไป ตอนนี้เธอถูกแม่เฒ่าตั้งขึ้นเป็นผู้สืบทอดแล้ว นี่เป็นช่วงสำคัญ ตาไม่มีรากฐานในตระกูลหลิน หลิงเซียวเป็นบ้านเดิมของยายเธอ ยังพอมีความสัมพันธ์อยู่บ้าง
“ถ้าเธอไม่ต้องการความช่วยเหลือจากหลิงเซียว ฉีโม่พกติดตัวไว้พวกอันธพาลก็ไม่กล้าเข้าใกล้ เธอจะได้วางใจ”
หลินซวนหวาพูดพลางหัวเราะ ราวกับมองความคิดของหลินอิ่งออก