ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 96 ปากเก่ง
บทที่ 96 ปากเก่ง
เจียงฉีกัดฟันแน่น ไม่ได้พูดอะไรออกมา สีหน้าเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง
“ทำไม? แกยังต้องลังเลอยู่อีก? หรือว่าแม้กระทั่งความเป็นความตายของแม่แท้ๆของแกก็ไม่สนใจแล้ว?” ลู่กวงซักถาม “ฉันเริ่มสงสัยขึ้นมาหน่อยแล้ว คือใครกันแน่ที่ให้เงินแกมากมายขนาดนี้ กล้าไปกลืนถุงเงินของตระกูลซูน ยังเฝ้าสินทรัพย์เอาไว้ให้เขาอย่างเต็มที่อีก?”
“แกจงรักภักดีขนาดนี้เลยหรอ? แม้แต่ชีวิตของแม่แกก็ไม่เอาแล้ว? จะช่วยคนที่อยู่เบื้องหลังคนนี้ปกป้องทรัพย์สินก้อนนี้สุดชีวิต” ลู่กวงเอ่ยด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
เจียงฉีหัวเราะขึ้นอย่างประชดประชัน เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ “หรือว่าฉันเซ็นสัญญาแล้ว พวกแกก็จะปล่อย
ฉันกับแม่ฉันไป? เหอะๆ อย่าเห็นคนอื่นเป็นไอ้โง่ไปซะหมด!”
ก็ด้วยพฤติกรรมแบบนี้ของตระกูลซูน ต่างก็ทำเรื่องราวให้ไม่เหลือช่องว่างจนมาถึงจุดนี้แล้ว เขาทำงานหนักด้วยความยากลำบากเพื่อตระกูลซูนมาหลายปีขนาดนี้ สิ่งที่ได้กลับมากลับเป็นเขาควายคู่หนึ่ง
ตอนนี้ยิ่งนำแม่ของลูกเขยมาจับเป็นตัวประกันแล้ว ตระกูลซูนยังมีความเป็นไปได้ที่จะปล่อยตนเองอีกหรอ?
เพี้ยะ!
ลู่กวงโบกฝ่ามือลงบนใบหน้าของเจียงฉี เอ่ยขึ้นอย่างโหดเหี้ยม “กระทืบมัน!”
ชายหนุ่มร่างกายกำยำสูงใหญ่สิบกว่าคนนั้น เข้ามาก็สามหมัดสองเท้า สั่งสอนเจียงฉีอย่างรุนแรงไปหนึ่งยก กระทืบจนใบหน้าเขียวช้ำไปหมด
เจียงฉีจ้องลู่กวงอย่างเยือกเย็น กัดฟันแน่น ไม่ให้ตนเองส่งเสียงที่เจ็บปวดออกมา
“ดี!ประธานเจียง เจียงฉี แกนี่มันดื้อรั้นจริงๆ” ลู่กวงเอ่ยด้วยเสียงที่เยือกเย็น สีหน้าเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมขึ้นมาจนถึงขีดสุด “แม้กระทั่งจับแม่ของแกเป็นตัวประกันก็ยังข่มขู่แกไม่ได้? ฉันน่ะแปลกใจขึ้นมาจริงๆแล้ว ว่าตอนนี้แกกำลังทำงานให้กับใคร? กล้าเป็นปรปักษ์กับตระกูลซูน ยังสามารถทำให้แกถวายตัวรับใช้อย่างสุดชีวิตแบบนี้ได้อีก?”
ลู่กวงรู้สึกสงสัยขึ้นมาจริงๆ เจียงฉีคือคนฉลาดที่รู้จักกาลเทศะคนหนึ่ง สามารถเก็บซ่อนความอดทนต่อการได้รับความอัปยศอดสูที่บ้านตระกูลซูนได้นานขนาดนี้ สุดท้ายอยู่ๆระเบิดออกหยิบเงินถุงใหญ่ของตระกูลซูนไป ตอนนี้ยังยืนกรานไม่ยอมปริปากขนาดนี้อีก?
“ฉันให้เวลาแกคิดไตร่ตรองเพียงหนึ่งนาที เซ็นสัญญาให้กูเร็วๆ!”
ลู่กวงล้วงเอาปืนกระบอกหนึ่งออกมา ปากกระบอกที่เย็นยะเยือกต่อไปบนขมับของเจียงฉีโดยตรง
จากนั้น เขาก็ใช้โทรศัพท์มือถือโทรออก สายโทรศัพท์ฝั่งนั้นสะท้อนเสียงร้องไห้ร้องขอให้ช่วยชีวิตของแม่เจียงฉีดังออกมา
“ตอนนี้แกมาตัดสินใจเถอะ ว่าอยากให้แม่ของแกไปก่อน หรือว่าแกไปก่อน?” ลู่กวงข่มขู่ “ก็แค่เซ็นชื่อเท่านั้นยากขนาดนี้เลยหรอ? อีกทั้งไม่ใช่เงินของแกเองสักหน่อย เซ็นชื่อเสร็จ แกยังสามารถรับเอาเงินรางวัลก้อนหนึ่ง ออกไปจากเมืองชิงหยูนใช้ชีวิตดีๆกับแม่ของแก”
“ฉันไม่มีทางเซ็นชื่อ!” เจียงฉีเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่เยือกเย็น เหงื่อตกพร้อมด้วยปากกระบอกปืนที่จ่อ
ความหวังเดียวที่อยู่ในใจของเจียงฉีตอนนี้ ก็คือประธานหลิน หลินอิ่ง นอกจากนี้แล้ว เขาก็ไม่มีทางเชื่อใครอีก
หากเซ็นสัญญาไป งั้นก็เท่ากับเป็นการบีบพลังชีวิตสุดท้ายให้ตายด้วยตัวเอง!
เขาเข้าใจจุดนี้เป็นอย่างดี นอกจากหลินอิ่งแล้ว ที่เมืองชิงหยูนไม่มีใครสามารถช่วยชีวิตเขาได้แล้ว
เผชิญหน้ากับตระกูลซูน เขาไม่มีกำลังที่จะต่อต้านเลยแม้แต่น้อย และก็ไม่มีใครจะยอมช่วยเขาไปตีเสมอกับตระกูลซูนเช่นดียวกัน
“แขวนมันขึ้นไป!” ลู่กวงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่เยือกเย็น
หนุ่มร่างใหญ่สิบกว่าคนพุ่งเข้าไปมัดตัวเจียงฉี ไม่นาน เขาทั้งตัวก็ห้อยหัวลงกับพื้น
แขวนไว้ที่ด้านนอกหน้าต่างกระจก ห้อยโหนอยู่กลางอากาศที่บนตึกสูงสามสิบกว่าชั้น
เลือดทั่วทั้งตัวภายในร่างกายของเจียงฉีไหลย้อนกลับ ภายในดวงตาเต็มไปด้วยไฟแห่งการแก้แค้น ด้านหน้าก็คือความสูงที่ว่างเปล่าสามสิบกว่าชั้น เหงื่อของเขาไหลนองเต็มทั่วทั้งใบหน้า
ติ๊ดๆๆ
ในเวลานี้เอง โทรศัพท์มือถือของเจียงฉีที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานก็ดังขึ้น
ลู่กวงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมามองดูแวบหนึ่ง สีหน้ายั่วเย้าขึ้นมา
“หลิงอิ่ง? เจียงฉี เพื่อนของแกโทรศัพท์เข้ามา?” ลู่กวงเอ่ยถามขึ้นอย่างสนใจเป็นอย่างยิ่ง คาบซิการ์แท่งหนึ่งขึ้นมา “ทำไมฟังชื่อนี้คุ้นหูขนาดนี้?”
“เพื่อนของแกคนนี้ คงจะไม่ใช่หลินอิ่งลูกเขยขยะผู้โด่งดังคนนั้นของตระกูลจางล่ะมั้ง?” ลู่กวงอยู่ๆคิดอะไรขึ้นมาได้ หัวเราะเยาะออกมา สีหน้าไม่แยแส
“ทางที่ดีที่สุดแกเอาโทรศัพท์มาให้ฉันรับ ความโมโหของหลินอิ่ง ไม่ใช่สิ่งที่แกจะสามารถรับไหว” เจียงฉีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
“ฮ่าๆ!อั้ยยะ แกกำลังขู่ฉันหรอ? เป็นเพื่อนของแกจริงๆสินะ กาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์จริงด้วย ขยะกับขยะถึงได้มาคบกัน” ลู่กวงหัวเราะเสียงดังขึ้นมา “เจียงฉีน่ะนะ แม้ว่าตระกูลซูนจะไม่ได้ชื่นชอบแกเท่าไร แต่จะยังไงแกก็ยังคงเป็นถึงผู้จัดการใหญ่หรือเปล่าวะ? คิดไม่ถึงว่าจะคบค้าสมาคมเป็นเพื่อนกับไอ้ขยะที่โด่งดังแบบนี้ ช่างน่าสนใจจริงๆเลยว่ะ!”
ในขณะที่พูด ลู่กวงก็รับสายโทรศัพท์มือถือของเจียงฉีอย่างเย้าแหย่
ในเมื่อเจียงฉีไม่ยอมให้ความร่วมมือ งั้นก็ถือโอกาสนี้ เอาไอ้ขยะหลินอิ่งนี่มาฆ่าเวลาสักหน่อย
“เจียงฉี แกอยู่ชั้นที่เท่าไร?” สายโทรศัพท์ฝั่งนั้น ดังสะท้อนเสียงที่เยือกเย็นของชายหนุ่ม
“แกคือไอ้ขยะหลินอิ่งบ้านตระกูลจาง? หาเจียงฉีมีธุระอะไร?” ลู่กวงเอ่ยขึ้นอย่างหยอกเย้า
“แกเป็นใคร?” หลินอิ่งเอ่ยถาม
“ฉันคือพ่อของแก” ลู่กวงเอ่ยขึ้นด้วยความสนุก ผยองถึงขีดสุด
“แกอยู่ที่ไหน?” เสียงของหลินอิ่งยังคงนิ่งสงบเป็นอย่างยิ่ง
“ฉันอยู่บนเตียงของแม่แก” ลู่กวงเอ่ยพร้อมเสียงหัวเราะอย่างยั่วเย้า เอ็ดตะโรขึ้นมาอย่างไม่มีอารยธรรมเลยแม้แต่น้อย “ด่าแกว่าไอ้ขยะเลยไม่ยอมใช่ไหมล่ะ? จะมากัดฉันหรอ?”
“แกไอ้ขยะไม่พูดอะไรแล้ว? โกรธหรอ? บอกแกให้ ฉันพ่อของแกชื่อว่าลู่กวง แกไม่ยอมก็มาหาฉันที่เขตเหนือของเมืองได้ตลอดเวลา ก็แค่กลัวว่าแกจะไม่มีความกล้านั้น ใช่แล้ว ฉันเน้นอีกสักรอบ ฉันกำลังเอาแม่ของแกอยู่ ได้ยินหรือเปล่า? หากแกกล้าด่าตอบฉันสักประโยค ฉันก็จะไปจัดการแกที่บ้านตระกูลจาง!”
หลังจากที่ปากเก่งไปยกหนึ่ง สีหน้าของลู่กวงก็เต็มไปด้วยความได้ใจ เดิมทีก็ถูกเจียงฉีไอ้หัวแข็งนี่ทำจนเซ็งอยู่ตรงนี้ เรื่องที่ตระกูลซูนกำชับมาก็ยังทำไม่สำเร็จ
ไอ้ขยะหลินอิ่งนี่ยังโทรศัพท์เข้ามาพอดีอีก โอ๊ย สนุก ที่ระบายอารมณ์ส่งมาถึงที่ ด่าระบายอารมณ์ไปก่อนสักยกค่อยว่ากัน
ฮ่าๆ หลินอิ่งก็คงจะเป็นไอ้ขี้ขลาดจริงๆ ด่ามันแบบนี้ ยังไม่กล้าโต้กลับ
“ประธานหลิน ผมอยู่ที่ออฟฟิศท่านประธานคณะกรรมการชั้นสามสิบสาม!” เจียงฉีตะโกนเสียงดังออกไป
เสียงติ๊ดดังขึ้น สายโทรศัพท์ฝั่งนั้นวางลงแล้ว
“ประธานหลิน?” ลู่กวงหัวเราะอย่างประชดประชันขึ้นมา “เจียงฉีนี่แกกำลังขู่ฉันอยู่หรอ? ยังจะประธานหลินผมอยู่ที่ชั้นสามสิบสาม? ทำไม แกยังคิดจะเชิญหลินอิ่งไอ้ขยะนี่มาช่วยแกหรอ? มันกล้ามาไหม? ตลกฉิบหายเลย”
ลู่กวงสีหน้าไม่แยแส พูดอย่างบ้าคลั่งถึงขีดสุด ทั้งยังจุดบุหรี่ขึ้นมาอีกตัว
เพิ่งจะจุดบุหรี่ติดดูดไปสองคำ อยู่ๆลู่กวงก็พบว่า ลูกน้องสิบกว่าคนที่อยู่ตรงข้ามตนเอง บนใบหน้าต่างก็ปรากฏอาการช็อกออกมา
คิ้วของลู่กวงขมวดขึ้นเล็กน้อย เอ่ยขึ้นอย่างสงสัย พวกแกกำลังดูอะไร? สีหน้าเป็นอะไรไป?”
“พี่กวง ด้านหลังของพี่มีคนมา” ชายร่างใหญ่คนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างตื่นกลัว
“มีคนมาแล้ว?” ลู่กวงสีหน้าสงสัย หันศีรษะมองไปทางด้านหน้าประตู
ปึ้ง!
ลู่กวงเพิ่งจะหันศีรษะไป เห็นเพียงแค่ลายดอกของรองเท้าพุ่งเข้ามา จากนั้นพลังโจมตีขนาดมหึมาก็กระแทกลงบนใบหน้า เขากระอักเลือดออกมาในทันที พลิกตีลังกาสามร้อยหกสิบองศาจากบนเก้าอี้ ล้มลงบนพื้นอย่างรุนแรง
“มึงแม่งเป็นใคร? กล้าถีบกู?”
ใบหน้าของลู่กวงเต็มไปด้วยความโกรธ เงยหน้าขึ้นมองในทันที เห็นเพียงแค่ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวคนหนึ่ง ดูเหมือนปกติไม่มีอะไรพิเศษ
“จัดการมัน…” ลู่กวงโบกมือใหญ่ขึ้น กำลังจะสั่งบอดี้การ์ดพุ่งเข้าไปจัดการ กลับพบขึ้นมาอย่างกะทันหัน ว่าบนแขนของเสื้อเชิ้ตสีขาวของชายหนุ่ม ย้อมเต็มไปด้วยรอยเลือดสีแดงสด ดูแล้วคนทั้งคนเต็มไปด้วยจิตสังหาร!
ลู่กวงสีหน้าหวาดกลัว ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก รู้สึกได้ถึงความเยือกเย็นไปทั่วทั้งตัว
เขาคิดขึ้นมาได้แล้ว ทั้งอาคารไห่หยางต่างก็ถูกล็อคเอาไว้แล้วนี่นา ทางเข้าลิฟต์เพียงหนึ่งเดียวมีมือปืนยี่สิบกว่าคนดูประตูเอาไว้อยู่ ชายเสื้อเชิ้ตสีขาวนี่ขึ้นมาได้ยังไงกัน? นี่ก็ช่างแค่คิดอย่างละเอียดก็น่ากลัวถึงขีดสุดแล้วล่ะมั้ง?
ปึ้ง
หลินอิ่งพุ่งเท้าขึ้นมาถีบลู่กวงกระเด็นไปอีกครั้งหนึ่ง พื้นรองเท้ากดทับไปบนใบหน้าของลู่กวงอย่างรุนแรง บีบอัดจนเขากระอักเลือดติดต่อกันไม่หยุดอีกครั้ง
มุมริมฝีปากของหลินอิ่งปรากฏความอำมหิตขึ้น
“แกชอบปากเก่ง?