ซูเปอร์หมอเข็ม/หมอเข็มยอดฝีมือ(NC25+) - ตอนที่ 67 เทียบอักษร
ตอนที่ 67 เทียบอักษร
“ได้สิ แล้วคุณต้องการของวันไหนล่ะครับ?” หลินหยางถาม
“ถ้าหากนายรับประกันความไวในการทำงานแล้วล่ะก็เร็วสุดก็หนึ่งอาทิตย์ ช้าสุดก็หนึ่งเดือนในล็อตต่อไป แต่ตอนนี้ฉันกังวลใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของนายมากกว่า” เซี่ยหลินหลินพูด
“ผมจะรอคุณขายล็อตแรกให้หมดก่อนแล้วกัน จากนั้นคุณค่อยโทรหาผม ผมจะเตรียมให้ภายในหนึ่งอาทิตย์”
“นายจะเตรียมให้ได้ประมาณเท่าไหร่กัน?” เซี่ยหลินหลินถามด้วยแววตาเป็นประกาย
หลินหยางคิดคำนวณอยู่ในใจด้วยความรวดเร็ว หากคิดให้ลั่วหยิ่งเก็บต้นหญ้ากรดน้ำอย่างจริงจังล่ะก็อย่างน้อยก็น่าจะเตรียมได้ประมาณหนึ่งพันขวด แต่ถ้าเซี่ยหลินหลินจะเอาจำนวนเยอะขนาดนั้นก็คงเป็นไปไม่ได้ถึงแม้ว่าจะมีเงินก็ตามแต่ เขาลังเลอยู่สักครู่จึงพูดขึ้น “สำหรับสามร้อยขวดแล้วสบายมากครับ สามารถทำออกขายทอดตลาดได้ทันที”
เซี่ยหลินหลินพลันตาเป็นประกายแล้วถามหลินหยางขึ้นด้วยความดีใจ “นายพูดจริงรึเปล่า? หากฉันขายยาพวกนี้ออกไปหมดแล้วนายก็จะส่งให้ฉันอีกสามร้อยขวดอย่างนั้นหรือ?”
“ครับ หากถึงเวลานั้นแล้วต้องการมากน้อยเท่าไหร่ก็สามารถติดต่อผมมาได้อีกทีครับ” หลินหยางยิ้มพูด
“ดีมากเลย อ้อ ใช่แล้ว…ที่ฉันเรียกนายออกมาไม่ใช่แค่เรื่องโคลนพิศุทธ์หรอก แต่อยากถามนายว่านายพอจะมีตัวยาหรืออะไรที่มีประสิทธิภาพคล้ายกันอยู่ในมือนายบ้างอีกหรือเปล่า?” เซี่ยหลินหลินมองหลินหยางแล้วถามขึ้น
“ขณะนี้ยังไม่มีครับ แต่ขอแค่บอกประเภทมาว่าอยากได้แบบไหนผมก็สามารถเตรียมให้ได้ครับ” หลินหยางพูด
“อ้อ…แล้วยาที่นายให้หานซิ่นไปนั่นน่ะ…มันมีประโยชน์อย่างไรกันแน่?” เซี่ยหลินหลินถามพลางกระพริบตาปริบๆ
หลินหยางเองก็ขัดๆ เขินๆ อยู่พักหนึ่งก่อนอธิบายขึ้น “ตัวยานั้นเป็นยาเม็ดบำรุงเสริมสมรรถภาพน่ะครับ หากท่านชายได้กินแล้วเรื่องบนเตียงหายห่วงได้เลย แต่หากไม่ควบคุมอยู่ในปริมาณที่พอเหมาล่ะก็ประสิทธิภาพก็อาจลดลงได้มากเช่นกัน ยาประเภทนี้จะช่วยบำรุงกำลังของท่านชายให้ดียิ่งขึ้นครับ”
เซี่ยหลินหลินได้ยินก็ตาลุกวาวทันที หากนำไปขายผู้ชายชนชั้นสูงล่ะก็ คนพวกนั้นส่วนใหญ่ก็สำส่อนไปทั่วอยู่แล้ว วันๆ เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องพวกนี้ พวกเขาจึงอาศัยยาเพื่อที่จะสามารถเสพสุขได้เรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วร่างกายต้องเสื่อมอย่างแน่นอน และถ้าหากนำเอายาของหลินหยางที่พูดนี้ออกขายล่ะก็ต้องได้รับความนิยมในหมู่ชนชั้นสูงเป็นแน่
แต่ยาประเภทนี้ถ้าให้ผู้หญิงเป็นคนออกหน้าล่ะก็เกรงว่ามันคงจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่นี่สิ
หลังจากรอเซี่ยหลินหลินไตร่ตรองอยู่สักพักหลินหยางก็พูดขึ้น “อีกอย่างผมยังมียาอยู่อีกประเภท เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการขจัดสีน่ะครับ”
“ขจัดสี? มีประโยชน์อย่างไรหรือ?” เซี่ยหลินหลินเริ่มสนอกสนใจ
“คุณผู้หญิงที่ผ่านเรื่องบนเตียงมามากมายมักจะประสบปัญหาในส่วนของจุดนั้นๆ มีปัญหาดำคล้ำ แต่หากใช้ตัวยานี้ล่ะก็สามารถผลัดสีเปลี่ยนสีกลับกลายเป็นสีชมพูระเรื่อได้ นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีประสิทธิภาพเสริมแต่อย่างใดครับ” หลินหยางหยุดใคร่ครวญพักหนึ่งก่อนพูดขึ้นต่อ “หากส่วนที่ว่ามานั้นสามารถเปลี่ยนกลับเป็นสีชมพูได้ดั่งเดิมแล้วล่ะก็…ผมว่าเหล่าคุณหญิงคุณนายต้องชื่นชอบเป็นอย่างมากแน่นอน”
เซี่ยหลินหลินตาเป็นประกายอีกครั้ง ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยผ่านมือชายใดมาก่อน แต่เรื่องที่ได้ยินมาต่างๆ นาๆ เกี่ยวกับส่วนนั้นดำคล้ำก็สามารถเข้าใจได้ง่ายๆ สำหรับคุณหญิงคุณนายชนชั้นสูงแล้วถึงแม้จะถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีแต่สีตรงส่วนนั้นไม่สามารถดูแลรักษาได้มาก หากเธอเอาตัวยานี้ออกขายจะต้องได้รับความนิยมอย่างล้นหลามอย่างแน่นอน
“ตัวยานี้ผมจะขอตั้งชื่อมันว่า ‘ครีมวัยแรกแย้ม’ หากโคลนพิศุทธ์กับครีมวัยแรกแย้มนี้ออกขายได้ดี ยาสองประเภทนี้ก็จะเรียกได้ว่าเป็นยาช่วยบรรเทา จากนั้นเธอก็นำยาบำรุงออกขายอีกรอบแบบนี้ต้องขายดีแน่นอน” หลินหยางแนะแนวทาง
เดิมทีเซี่ยหลินหลินก็เป็นอัจฉริยะในโลกธุรกิจอยู่แล้ว หากเธอนำยาสองประเภทนี้ปล่อยขาย จะต้องขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอย่างแน่นอนด้วยประสิทธิผลของตัวยาเองด้วยอยู่แล้ว ผู้หญิงกับผู้ชายนั้นถูกดึงดูดเข้าด้วยกันด้วยแรงบางอย่างหากมียาที่ยอดเยี่ยมแบบนี้จะต้องเป็นที่นิยมในหมู่ผู้หญิงแน่นอน พอเรื่องพวกนี้ถูกเล่าต่อจนไปเข้าหูหมู่ผู้ชาย ถึงตอนนั้นตนเองค่อยปล่อยยาบำรุงกำลังออกมาแน่นอนว่าพวกผู้ชายจะต้องให้การยอมรับอย่างแน่นอน
เซี่ยหลินหลินมองหลินหยางอย่างเลื่อมใสพลางพูดขึ้น “นายเองก็มีพรสวรรค์ในด้านนี้ไม่น้อยเหมือนกันนะ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ผมเป็นเพียงแค่หมอจนๆ คนหนึ่งเท่านั้นแหละครับ” หลินหยางหัวเราะหึหึ
“หากนายเป็นแค่หมอจนๆ อย่างนั้นหมอในโลกนี้คงไม่มีใครรวยแล้ว! แล้ว…ครีมวัยแรกแย้มที่เจ้าพูดถึงยังพอมีอยู่หรือเปล่าตอนนี้? มันใช้อย่างไรและมีประสิทธิผลอย่างไรกันแน่?” เซี่ยหลินหลินเริ่มเกิดให้ความสนใจครีมวัยแรกแย้มขึ้นมาอย่างพุ่งพรวด
“ผมยังไม่ได้เตรียมไว้เยอะมาก ตอนนี้มีเพียงแค่ตัวทดลองเท่านั้น วิธีใช้ก็ง่ายมาก ให้ทาลงไปส่วนนั้นก่อนนอน พอเช้าวันถัดมาก็ล้างออก ใช้ไปทีละครั้งก็จะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง หากใช้ไปจนครบอาทิตย์ก็จะเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ”
เซี่ยหลินหลินก้มหน้าพลางคิดแล้วหน้าแดงแต่ก็พูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ฉันไม่กลับล่ะกัน ฉันจะขอให้ป้าอี๋ช่วยทดสอบประสิทธิผลของโคลนพิศุทธ์ดูหน่อย หากได้ผลล่ะก็รอฉันขายโคลนพิศุทธ์พวกนี้เสร็จก็จะรีบปล่อยครีมวัยแรกแย้มนี้เป็นสินค้าต่อไปเลย”
“ได้สิครับ” หลินหยางตอบรับ
หลังจากที่ทั้งสองคนทำข้อตกลงเสร็จก็พากันเดินกลับเข้าไปในบ้าน เมื่อกลับถึงห้องก็เห็นทุกๆ คนกำลังคุยกันอย่างสนุกคอทีเดียว
“พวกท่านคุยอะไรกันทำไมดูครื้นเครงกันจังเลย” เซี่ยหลินหลินยิ้มถาม
“ไม่มีอะไรหรอกแค่เรื่องชีวิตประจำวันทั่วไป” ผู้เฒ่าหานพูดขึ้น
“นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว ผมจะออกไปซื้อกับข้าวสักหน่อย พวกท่านอยู่ทานอาหารเที่ยงก่อนนะครับ แล้วจากนั้นผมค่อยฝังเข็มให้คุณฉีครับ” หลินหยางยิ้ม
“ไม่ต้องถึงขั้นรบกวนเธอหรอกหมอหลิน…เสี่ยวจาง ขับรถไปซื้อมาให้ที” ฉีหวนออกคำสั่งคนขับรถที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ครับ” จางเต๋อไม่ได้ออกความเห็นใดๆ เขาตอบรับก่อนจะหยิบกุญแจรถแล้วก็เดินออกไปทันที
“เสี่ยวหยาง เจ้าพูดว่าเจ้ายังขาดทักษะในการรักษาอยู่ แล้วทำไมเจ้าไม่ลองออกไปโลกภายนอกดูหน่อยล่ะ” หานเทียนอวิ๋นพูดขึ้น “แค่อาศัยทักษะทางการแพทย์ของเจ้าข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เป็นแน่”
“อยู่ในหมู่บ้านนี้ผมว่าก็ดีแล้วนะครับ”
“นายไม่มีอะไรต้องทำในหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ใช่หรือไง?” ฉีเยียนเอ๋อร์เอียงคอถามด้วยความแปลกใจ ในบ้านของเสี่ยวหยางนั้นแม้แต่สายอินเตอร์เน็ตก็ยังไม่มี ในชีวิตประจำวันที่ไม่สามารถเล่นอินเตอร์เน็ตได้แบบนี้หรือว่าเขาจะหากิจกรรมบันเทิงอย่างอื่นทำกัน
“หากไม่มีธุระอะไรผมก็จะฝึกชกมวย คัดตัวอักษร อ่านหนังสือและสามารถตกปลาได้อีกด้วย มีสิ่งที่สามารถทำฆ่าเวลาได้ในทุกๆ วันเลยครับ” หลินหยางยักไหล่ “อีกอย่างอีกเพียงไม่ถึงเดือนผมก็ต้องกลับมหาลัยแล้ว เพราะฉะนั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องออกไปไหนอย่างไรล่ะครับ”
“นี่นายยังเรียนอยู่อย่างนั้นหรือ?” ฉีเยียนเอ๋อร์ถามด้วยความประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าคุณปู่ของเธอจะพามาหานักศึกษาหนุ่มนี้เพื่อจะมาขอช่วยให้รักษาตนเอง
“ครับ ผมเรียนอยู่คณะแพทย์เมืองเจียงหลิงชั้นปีที่สี่ เหลืออีกปีเดียวผมก็จะเรียนจบแล้วครับ” หลินหยางยิ้มตอบแบบไม่ปกปิด
“ถึงแม้ว่าเสี่ยวหยางจะยังเป็นนักศึกษาอยู่แต่พวกท่านก็อย่าได้ดูถูกเขาเชียว ฝีมือการแพทย์ของเขานั้นหาเรียนจากในห้องเรียนไม่ได้อย่างแน่นอน” หานเทียนอวิ๋นพูดขึ้น
“ครับ ทั้งหมดนี้เป็นวิชาแพทย์ที่สืบทอดกันมาทางบรรพบุรุษน่ะครับ แต่วิชาแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเองก็ให้ความรู้มาไม่มากก็น้อยเช่นกันครับ” หลินหยางยิ้มตอบ
“แล้วนายประดิษฐ์อักษรเป็นด้วยหรือ?” ฉีเยียนเอ๋อร์ถามต่อ
“หากผมมีเวลาว่างผมก็จะมาฝึกประดิษฐ์อักษรนี่แหละครับ แต่ไม่สามารถเอาไปอวดใครได้หรอก”
“เยียนเอ๋อร์เองก็เรียนรู้ด้านการคัดอักษรมาเช่นกันไม่ใช่หรือ? เสี่ยวหยาง…พวกเจ้าสองคนไม่ลองเปรียบเทียบกันดูหน่อยหรือ?” หานเทียนอวิ๋นยื่นข้อเสนอขึ้น
“เมื่อเช้านี้หนูเองก็ได้เห็นเช่นกัน ตัวอักษรของหลินหยางงดงามเลยทีเดียว” จางเยว่พูดสอดขึ้น
“กล้าไหมล่ะ?” ฉีเยียนเอ๋อร์เริ่มสนใจมากขึ้นพลางมองหลินหยางด้วยสายตายุแหย่
หลินหยางได้ฟังก็พลันหัวเราะ เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “คุณฉีมีน้ำใจล้นเหลือ ถ้าอย่างนั้นก็เชิญครับ ของที่จำเป็นทุกอย่างอยู่ที่ลานกว้างแล้ว พวกเราไปกันเถอะครับ”
ทุกคนค่อยๆ ลุกขึ้นทีละคนพลางพาตัวเองกันไปอยู่ที่ข้างๆ ของลานบ้าน หลินหยางอุ้มจางเยว่ออกมาด้านนอก เขายกโต๊ะมาหนึ่งตัวพลางหากระดาษสีขาวมาสองแผ่นแล้วพูดขึ้น “คุณฉี…เชิญครับ”
ฉีเยียนเอ๋อร์ไม่แม้แต่จะมองกระดาษ สายตาเธอมองไปที่กระดานที่หลินหยางใช้ฝึกเขียนอยู่ทุกวันพลางพูดขึ้น “นายนี่ไม่เลวเลยนะ ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาเขียนมันลงไปดีกว่า”
กระดานแผ่นนี้เดิมทีหลินหยางจะเอาไปทำเป็นประตูแต่เนื่องจากมันใหญ่เกินไปและปู่ของหลินหยางเองก็ไม่ได้ปรับแก้ไขอะไรเขาจึงเอามาใช้เป็นที่ฝึกประดิษฐ์อักษรแทน
หลินหยางเองก็เห็นด้วยพลางพยักหน้าพูด “ทุกอย่างอยู่ที่คุณเลยครับ…เชิญก่อนเลย”
ฉีเยียนเอ๋อร์ก็ไม่เกรงใจพลันหยิบพู่กันจุ่มน้ำหมึกจนชุ่มแล้วก็เริ่มบรรเลงวาดลงไปบนกระดาน
“มหานทีรี่สู่บูรพา, คลื่นนานาโหมกระหน่ำ, พันปีวีรชนคนวิศิษฏ์…” ฉีเยียนเอ๋อร์ยกพู่กันขึ้นพลางวาดลวดลายการเขียนพู่กันด้วยท่าทีที่น่าเกรงขาม มหานทีรี่บูรพาเส้นหนึ่งนั้นแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงและห้าวหาญดั่งเช่นแม่น้ำเจียงไหลลงบูรพา ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกัน
“ตัวอักษรของคุณฉีช่างยอดเยี่ยม ให้บรรยากาศที่รู้สึกเหมือนคนที่มีความกล้าหาญอย่างแรงกล้าเลยทีเดียว หญิงสาวคนหนึ่งที่สามารถสร้างความรู้สึกแบบนี้ได้ ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ” หลินหยางพูดอย่างอัศจรรย์ใจ
มีคนพูดยกย่องหลานสาวตัวเองขนาดนี้ ฉีหวนจึงดีใจอย่างหุบยิ้มไม่อยู่แล้วพูดขึ้น “ตั้งแต่สมัยเด็กเยียนเอ๋อร์เป็นศิษย์ของจิตรกรอู๋เต้า เธอน่าจะติดเชื้อของท่าอาจารย์มาน่ะถึงได้ชอบประดิษฐ์อักษรแบบนี้เสียเรื่อย”
หลินหยางเองก็เคยได้ยินเรื่องของจิตรกรอู๋เต้ามาบ้าง ว่าสำหรับด้านวรรณกรรมของประเทศแล้วเขาค่อนข้างที่จะเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากเลยทีเดียว
เทียบกับอักษรของตนแล้วอักษรของฉีเยียนเอ๋อร์มีทั้งความเชื่อมั่นและอ่อนช้อยคล้ายเธอกำลังระบำอยู่เลย
“ทิศประจิมมีปราการโบราณ, ผู้คนต่างเล่าขาน, ครั้นจิวยี่ออกศึกสามก๊กที่ผาแดง, หินพุ่งทแยงผ่านเวหา, มหาอุทกธารากระแทกฝั่ง, โสภาพรั่งพันก้อนเมฆา, โลกาดั่งเทวาวาส, เช่นชายฉกาจยากแท้หยั่งถึง…”
ฉีเยียนเอ๋อร์เดิมทีคิดจะเขียนกวีโบราณรำลึกผาแดงมหากวีแห่งเนินบูรพาให้จบ แต่ในที่สุดเธอก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางมองดูอักษรของตนอย่างพึงพอใจ เธอหันหัวกลับมามองหลินหยางแล้วพูดขึ้น “ต่อไปเป็นนายแล้วกันดีไหม?”
“ได้สิครับ!” หลินหยางหยิบพู่กันจากมือของฉีเยียนเอ๋อร์อย่างเต็มใจพลางจุ่มน้ำหมึกให้ชุ่ม ปลายพู่กันจรดกระดาน ข้อมือเขาเริ่มสะบัดจนเริ่มเห็นอักษรปรากฏบนกระดาษอย่างชัดเจน
“นึกไกลจิวยี่ปีนั้น, ครั้นเสียวเกี้ยวออกอภิเษก, วีรสตรีเอกสง่าปัญญาผ่อง…” หลินหยางใช้พู่กันเริ่มวาดอักษรดั่งสายน้ำที่เชี่ยวกราก ทั้งยังอ่อนช้อยน่าเกรงขาม
แม้ว่าอักษรของฉีเยียนเอ๋อร์จะดูทรงพลังและมีอำนาจ แต่เมื่อหลินหยางได้บรรจงตัวอักษรของเขาขึ้นมากลับรู้สึกเหมือนมีพลังปราณที่ทรงพลังไหลเอ่อล้นออกมาดั่งคีรีที่สูงตระหง่านที่ทำให้คนต้องแหงนหน้ามองขึ้นไปสุดสายตา
หลินหยางพลันเขียนอักษรลงไปได้ครู่หนึ่งทุกคนก็ต่างคิดเป็นเสียงเดียวกันว่าครั้งนี้หลินหยางเป็นผู้ชนะแล้ว
“ขนนกพัดโบกพลิ้วไสว, แกว่งไกวแย้มสรวลสนทนา, อัคคีโหมเภตราจนมอดสิ้น, เสสรวลโบราณธานินทร์เก่า, เย้ายวนอารมณ์น่าหัวร่อ, หัวหงอกแต่เยาว์วัย, โลกัยมนุษย์ดั่งเพ้อฝัน, คว่ำจันทร์หนึ่งจอกกลางคงคา” หลินหยางเขียนอย่างรวดเร็วพู่กันที่พลิ้วไสวดั่งดวงจิตที่กำลังเริงระบำอยู่บนกระดานไปมาอย่างร่าเริง
ตัวอักษรพวกนี้ไม่ได้มีแค่พลังปราณที่บ้าคลั่งเท่านั้นแต่ยังปรากฏปราณที่ดูทั้งอ่อนช้อยและเป็นสง่า หากพูดว่าอักษรของฉีเยียนเอ๋อร์เป็นดั่งราชาธิราชแล้ว ถ้าอย่างนั้นอักษรของหลินหยางก็คงเปรียบดั่งพระมหาจักรพรรดิที่ประทับอยู่ในแดนสุขาวดี
“ช่างเป็นอักษรที่อัศจรรย์อะไรอย่างนี้!” พอหลินหยางเขียนจบทุกคนต่างลุกขึ้นปรบมือ
“อย่างน้อยก็ต้องฝึกฝนมาอย่างไม่ขาดถึงจะทำได้ขนาดนี้น่ะครับ อักษรของฉีเยียนเอ๋อร์เองก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน” หลินหยางยิ้มตอบ
ฉีเยียนเอ๋อร์คิดมาตลอดว่าคนรุ่นเดียวกันคงไม่มีใครที่จะคัดลายมือได้อย่างเธอ แต่วันนี้ได้พบเข้าแล้ว เหนือฟ้ายังมีฟ้าจริงๆ ฉีเยียนเอ๋อร์มองดูอักษรของหลินหยางแล้วส่งเสียงขึ้นอย่างอัศจรรย์ใจ “อักษรของนายนั้นเทียบเท่าอาจารย์ของฉันได้เลยนะเนี่ย”
“อาจารย์อู๋เต้าเป็นถึงมหากวี ผมจะกล้าไปเทียบกับเขาได้อย่างไร” หลินหยางยิ้มพลางส่ายหัว หลังจากที่เขาเก็บเครื่องไม้เครื่องมือเสร็จสิ้นทุกคนก็ต่างทยอยกลับเข้าไปที่ห้องโถงตามเดิม
จางเต๋อทำหน้าที่ที่ได้รับอย่างรวดเร็ว ทุกคนยังไม่ทันจะหย่อนก้นเขาก็กลับมาพร้อมกับกับข้าวหลากหลายชนิด จากนั้นทุกคนก็คุยไปกินไปกันอย่างสนุกสนาน
หลังจากกินจนอิ่มหนำสำราญหลินหยางก็ขอตัวไปพักครู่หนึ่ง เขาพูดกับฉีหวนขึ้นว่า “คุณลุงฉี หากคุณฉีเตรียมตัวเสร็จแล้วล่ะก็ผมจะขอเริ่มทดลองประสิทธิผลการรักษาดูสักหน่อยนะครับ”
“จริงหรือ?” ฉีหวนได้ยินสายตาก็ฉายแววปีติอย่างล้นเหลือพลางพยักหน้าพูด “ถ้าอย่างนั้นจะเริ่มเวลาไหนก็สุดแล้วแต่เธอเถอะ”