ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 101-1 ความผูกพันแรกของเนินเขา
แม้ตอนนี้จะเคยชินแล้ว หากแต่คำสั่งของจักรพรรดิออฮยูลเจนั้นมักจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเสมอ เช่นเดียวกันกับตอนนี้ สิ่งที่ทรงรับสั่งในตอนนี้นั้นคาดเดาไม่ได้เสียจนเขาเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อย
“ฝ่าพระบาท ที่ทรงรับสั่งนั้น… ”
“เจ้าจะต้องเดินทางไปเยี่ยมเยียนแดนอื่น ในฐานะฮวางแทจาแห่งจักรวรรดิมกกุกอันยิ่งใหญ่ ในฐานะเชื้อสายของมกกุก ไม่เพียงแต่เมืองขึ้น แต่ยังรวมไปถึงอาณาจักรข้างเคียงด้วย”
บีพาอันหลุดหัวเราะแห้งออกมา จะให้ไปเยี่ยมเยียนอาณาจักรอื่นอย่างนั้นหรือ บีพาอันอายุสิบสามปีนี้ แม้เขาจะโตขึ้น ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ใช่ผู้ใหญ่ และถึงแม้เขาจะศึกษาเล่าเรียนการปฏิบัติตนในฐานะฮวางแทจาจนจบสิ้นแล้ว มันก็ยังเร็วเกินไปที่จะให้เขาเริ่มกิจระดับประเทศเช่นนี้ แน่นอนว่าบีพาอันได้เข้าร่วมประชุมที่ท้องพระโรง และมีส่วนร่วมเกี่ยวกับการบริหารประเทศบ้างแล้ว แต่การสร้างอิทธิพลในดินแดนตนเอง กับการไปสร้างอิทธิพล ณ ดินแดนอื่นนั้นย่อมแตกต่างกัน หากทำผิดพลาดก็มีความเสี่ยงที่จะสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อเกียรติยศชื่อเสียงของจักรวรรดิมกกุก
“กระหม่อมน้อมรับคำบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
อย่างไรก็ตาม บีพาอันน้อมรับคำสั่งของจักรพรรดิออฮยูลเจอย่างไม่ต้องให้บอกซ้ำ นี่คงเป็นสิ่งปกติที่องค์รัชทายาทวัยสิบสามปีทำสินะ หากเป็นบีพาอันแล้วจะต้องทำได้อย่างแน่นอน บีพาอันเรียนรู้กฎระเบียบของการใช้ชีวิตเยี่ยง ‘ฮวางแทจา’ ตั้งแต่เริ่มหัดฟัง พูด อ่าน เขียน เขาเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่ในฐานะ ‘ฮวางแทจา’ เพื่อเป็น ‘จักรพรรดิ’ เพียงเท่านั้น เขาคือผู้ที่ได้รับการศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อที่จะได้เติบโตมาเป็น ‘ฮวางแทจา’ แม้จะรู้สึกประหลาดใจกับคำสั่งที่ไม่คาดคิด ทว่าบีพาอันก็ไม่คิดว่ามันจะยากเกินกำลัง ออฮยูลเจไม่ได้สั่งให้คณะราชทูตติดตามบีพาอันไปด้วย มีเพียงบีพาอันและทหารองครักษ์ที่ซ่อนตัวตามติด เฝ้าระวังเป็นเงามืดอย่างลับๆ เท่านั้นที่ออกเดินทางไป
ระยะเวลาสามปีผ่านไปที่เขาได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนอาณาจักรอื่นๆ มาถึงตอนนี้เขาได้ไปเยือนอาณาจักรส่วนใหญ่สำเร็จแล้ว เพียงแค่แวะอีกแห่งสองแห่ง เขาจะสามารถเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดของตนได้ในรอบสามปี ที่จริงแล้ว บีพาอันเองก็ไม่ได้รู้สึกกระตือรือร้นอยากกลับไปยังบ้านเกิดของตนเท่าใดนัก ไม่ว่าจะเป็นมกกุกหรือต่างแดน บีพาอันก็ต้องใส่หน้ากากและใช้ชีวิตอยู่อย่าง ‘ฮวางแทจา’ ทั้งนั้น ที่ต่างไปคงมีแค่เพียงสถานที่ เพราะไม่ว่าจะเป็นที่ใดการปฏิบัติตนของทั้งเขาและของผู้อื่นที่มีต่อเขาก็เหมือนกันไปหมด
และในที่สุดบีพาอันก็มาถึงฮวากุก
ฮวากุกเป็นประเทศเล็กๆ ที่กำลังค่อยๆ กระจายอำนาจออกไปเรื่อยๆ สิ่งที่เลื่องชื่อที่สุดของฮวากุกเห็นจะเป็นบรรยากาศของเชื้อพระวงศ์ เชื้อพระวงศ์นี้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากเสียจนเป็นที่เลื่องลือไปถึงต่างแดน เป็นราชวงศ์ที่ถึงแม้จะมีเจ้าชายมาก หากแต่ก็ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน และที่สำคัญมีองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น บีพาอันที่โตมากับแบบแผนที่ว่าพี่น้องต้องเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกันเท่านั้นตั้งแต่เล็ก เขาจึงไม่อาจเข้าใจข่าวลือของฮวากุกได้ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น เห็นทีเขาจะต้องเข้าฮวากุกไปพิสูจน์มันด้วยตาของเขาเองเท่านั้น
ฮวากุกจัดงานเลี้ยงใหญ่โตต้อนรับการมาเยือนของฮวางแทจาแห่งจักรวรรดิมกกุกอันยิ่งใหญ่ แต่กระนั้นก็ยังเทียบไม่ได้กับงานฉลองวันคล้ายวันเกิดของพระสนมที่วังหลังของมกกุกเสียด้วยซ้ำ บีพาอันที่คงใบหน้าเคร่งขรึมเอาไว้ตลอดงานถูกนำทางไปยังตำหนักรับแขกพิเศษหลังงานเลี้ยงจบลง ไม่รู้ว่าเพราะเป็นตำหนักที่เอาไว้ใช้รับแขกพิเศษจากต่างเมืองหรืออย่างไร ตำหนักที่ว่าถูกจัดแต่งไว้อย่างมีรสนิยมและหรูหรา หากแต่ในสายตาบีพาอันนั้นมันกลับดูสะอาดและเรียบง่าย ทว่ามันกลับทำให้เขาพึงพอใจเป็นอย่างมาก นี่อาจจะยิ่งใหญ่แล้วในความคิดของฮวากุก บีพาอันล้มตัวนอนลงบนเตียงที่อาจจะใหญ่ในสายตาของฮวากุก แต่เล็กในสายตาของเขา และเริ่มจัดการกับความคิดของตน
พักอยู่ที่นี่กี่วันก่อนที่จะกลับไปดีนะ
บีพาอันมักจะนอนลงบนเตียงที่ถูกจัดสรรไว้ให้ในวันแรกที่มาถึงพลางจัดตารางเวลาของตนไปด้วย ส่วนใหญ่ตารางดังกล่าวจะถูกตัดสินจากพฤติกรรมของเชื้อพระวงศ์ที่แสดงให้เห็นในงานเลี้ยงต้อนรับ และความรู้สึกแรกพบของบีพาอัน ใบหน้าของพระราชาจองที่ยิ้มกว้างและต้อนรับตนอย่างยินดีไม่แม้แต่จะตระหนกกับท่าทางเฉยเมยของตนลอยขึ้นมา
“อยู่สักสองเดือนดีไหมนะ”
เพราะอย่างไรเสียก็มีเวลาเหลือเฟือ ทางมกกุกเองก็คงหวังให้เขากลับไปช้าๆ ความคิดอันเกียจคร้านที่อยากจะอยู่ฮวากุกที่มีแต่คนดีๆ สบายๆ แล้วค่อยเดินทางกลับนั้นแวบขึ้นมา
“หากแต่มันจะไม่เกิดประโยชน์อันใดเท่าที่ควร”
ที่แห่งนี้ดูเหมือนจะไม่ได้มีประโยชน์อันใดในการขึ้นเป็นจักรวรรดิแห่งมกกุก
“พักอยู่สักสองสามวันแล้วค่อยออกเดินทางแล้วกัน”
ถึงแม้จะมีเวลาเหลือเฟือ และแม้คนที่มกกุกจะหวังให้ตนกลับไปช้าๆ แต่เวลาไม่ใช่สิ่งที่จะมาทิ้งๆ ขว้างๆ ไปโดยเปล่าประโยชน์ได้ นี่เป็นข้อสรุปของบีพาอันที่ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็มักจะไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบเสมอ เนื่องจากเขาเป็นฮวางแทจาแห่งจักรวรรดิใหญ่ จึงไม่ได้ไปปรากฏตัวบริเวณท้องพระโรง เมื่อมีการจัดประชุมขึ้น แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วก็ไม่มีข้อจำกัดทางพฤติกรรมใดๆ บีพาอันใช้เวลาแต่ละวันไปกับการเข้าพบพูดคุยกับพระราชาจอง
และแล้ววันหนึ่ง บีพาอันได้ออกไปเดินเล่นที่สวนหลังวัง แม้สวนดังกล่าวจะมีขนาดเล็กจนสังเกตได้เมื่อเทียบกับสวนหลังวังของมกกุก แต่ก็เป็นสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการเปลี่ยนบรรยากาศ เนื่องจากไม่มีความรู้สึกถูกประดิษฐ์ประดอยขึ้นเหมือนมกกุก
“นั่นใครน่ะ”
เสียงเล็กดังขึ้นในขณะที่เขากำลังหลับตารับลมอยู่ พอหันหน้าไปมองก็พบกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กำลังมองมาทางตน เมื่อเห็นกระโปรงฮันบกสีน้ำเงินเข้มของเด็กสาวก็พอจะรู้ว่าเป็นนางในชาววัง
“ไม่ได้เรียนรู้มารยาทที่ควรจะเปิดเผยสถานะของตนก่อนที่จะถามถึงสถานะของผู้อื่นหรอกหรือ”
“อ่า ขอประทานโทษเพคะ หม่อมฉันคือ…”
หลังจากที่โค้งศีรษะลงเชิงขอโทษ เด็กหญิงที่พูดอยู่ก็เอียงหัวไปมา
“อืม ไม่ได้! บอกไม่ได้เพคะ หม่อมฉันไม่ควรบอก” เด็กสาวยกมือขึ้นปิดปากพลางส่ายหัวไปมา
บีพาอันเบือนหน้าหนีภาพนั้น “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าเองก็บอกไม่ได้เช่นกัน”
“ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันแค่ลองถามดูเพราะเราพบเจอกันเป็นครั้งแรก น่าเบื่อจัง มาเล่นกันเถอะ!”
“เดี๋ยวสิ”
เด็กสาวกึ่งลากกึ่งจูงมือบีพาอัน แรงของเด็กสาวนั้นแทบจะไม่มี แค่สะบัดเพียงนิดก็คงหลุด หากแต่บีพาอันเลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น อาจเป็นเพราะใบหน้าอ่อนเยาว์ที่มีเสน่ห์ชวนให้หลงใหล หรืออาจเป็นเพราะรอยยิ้มสดใสไร้เดียงสาที่ถูกส่งมาให้
จะว่าไปก็ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว
เด็กสาวที่ดึงเขาไปทางนู้นทีทางนั้นที ทำให้เขาที่ออกแรงยื้อเริ่มจะเวียนหัว ตรงกลางนั้นมีหญิงสาวยืนอยู่ รอยยิ้มของเด็กสาวที่พริ้วไหวราวกับผีเสื้อ งดงามยิ่งกว่าดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ ชายกระโปรงที่พริ้วไหวโอบล้อมรอบตัวเด็กหญิงเอาไว้ ด้วยแรงดึงจากมือขาวเล็กคู่หนึ่ง บีพาอันก็เตร็ดเตร่ไปทั่วพระราชวังโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เด็กหญิงที่ดูเหมือนจะเป็นนางในคนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว เพราะนางรู้ทางเดินทุกซอกทุกมุมของพระราชวัง เขาตามเด็กหญิงไปยังที่ลับๆ ที่ปกติแล้วเขาคงไม่กล้าเข้าไป แถมยังได้ชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามสุดจินตนาการ เมื่อต้องจากกัน เด็กหญิงที่ตอนแรกไม่ยอมปล่อยชายเสื้อของเขาออก น้ำตาคลอหน่วย แล้วเดินเข้ามาในอ้อมกอดของเขาด้วยรอยยิ้มพลางบอกให้มาเจอกันอีกวันพรุ่งนี้