ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 11-1 เยื่อใย
ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 11-1 เยื่อใย
เมื่อกโยซึลลืมตาขึ้นก็เห็นแม่นมก็กำลังมองตนด้วยความเป็นห่วง ดวงตาลึกโบ๊ของกโยซึลกระพริบตาอยู่หลายครั้ง แม่นมรีบกุมมือผอมแห้งของกโยซึลด้วยสองมือของตน
“พระชายา ฟื้นแล้วหรือเพคะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเพคะ”
“แม่นม”
“พระชายา”
เสียงที่แหบแห้งของกโยซึลถูกเปล่งออกมา แม่นมยังคงร้องไห้อยู่ หมอหลวงที่เข้าไปตรวจกโยซึลเมื่อครู่แจ้งว่าร่างกายนางไม่มีอะไรผิดปกติ
“ร่างกายของพระชายาไม่มีสิ่งใดปกติเลยสักนิดเดียว ดูเหมือนจะเป็นปัญหาทางด้านจิตใจมากกว่า พระชายาที่มาจากอาณาจักรอื่นก็มักจะมีอาการคิดถึงบ้านเช่นนี้เหมือนกันขอรับ”
เนื่องจากมกกุกเป็นมหาจักรวรรดิจึงมีอาณาจักรเล็กๆ ส่งหญิงสาวมาแต่งงานด้วยเหตุผลทางการเมือง และต้องเข้ามายังพระราชวังมกกุกเช่นกโยซึล หากนับพระชายาจากพระราชวังทั้งสี่ทิศรวมถึงกโยซึลแล้ว ทุกคนมาจากอาณาจักรอื่นทั้งหมด
แม่นมพยักหน้ารับตอนที่หมอหลวงพูดอาการคิดถึงบ้าน
“ใช่แล้วเพคะ ไม่นานมานี้พระชายาทรงดูเหนื่อยล้าง่าย เวลาที่อ่อนเพลียก็จะดูเศร้าด้วย”
“นอกจากอาการคิดถึงบ้านแล้ว ยังทรงได้รับความกังวลและความกดดันทางด้านจิตใจ จึงทำให้ส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจด้วยขอรับ เพื่อให้ร่างกายทรงกลับมาปกติในตอนนี้พระองค์ทรงต้องพักผ่อนเพียงอย่างเดียวเลยขอรับ การออกไปเดินเล่นเองก็ช่วยได้ ก่อนอื่นตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ให้พระชายาทรงพักผ่อนให้เต็มที่ กระหม่อมจะเตรียมยาสมุนไพรต้มเพื่อเสริมกำลังให้ขอรับ”
“ฝากด้วยนะเจ้าคะ พระชายาของหม่อมฉัน ยามปกติทรงไม่ได้อ่อนแอเช่นนี้ ทรงร่าเริงและแข็งแรงมาก…”
“กระหม่อมทราบดีหลังจากได้ลองจับชีพจรของพระองค์ขอรับ พระชายาไม่มีส่วนไหนที่อ่อนแอหรือไม่สบายเลยขอรับ หากควบคุมจิตใจได้อย่างดี ก็จะทรงหายดีในไม่ช้าแน่นอนขอรับ ไม่ต้องเป็นกังวลมาก”
หมอหลวงปลอบใจแม่นมที่กำลังกระวนวายใจเสร็จก็กลับไป หลังจากนั้นแม่นมก็ไม่ห่างจากโยซึลอีกเลยจนกว่านางจะลืมตาขึ้นมา แม่นมลูบใบหน้าอันซีดเซียวของกโยซึลด้วยมือที่สั่นระริก
กโยซึลตั้งสติได้แล้วมองแม่นมด้วยใบหน้าซีดเผือดอย่างเลื่อนลอย แม่นมน้ำตาคลอพลางลูบมือของ
กโยซึล แม่นมไม่ถามคำถามใดๆ แต่ปลอบใจกโยซึลอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ กโยซึลรู้ดีว่าแม่นมเฝ้ารอตนอยู่อย่างไม่เร่งรีบร้อน รอจนกว่าหัวใจของตนจะได้พักฟื้น
“เรา…”
ในที่สุดงกโยซึลก็พูดขึ้น แม้ปากของนางจะคงยังแดงอยู่จากการแต่งหน้า แต่ทว่ามันก็แห้งมาก
“เราหวังให้เขาเป็นฮวางแทจา”
“ว่าอย่างไรนะเพคะ”
อยู่ดีๆ กโยซึลก็พูดออกมา แม่นมมองนางด้วยความประหลาดใจ เนื่องจากคำสารภาพแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้น สายตาของกโยซึลมองขึ้นไปกลางอากาศ และพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาและเรือนรางราวกับเสียงกระซิบจากที่ห่างไกล
“แม้ว่ามันจะดูโง่เง่า และน่ารังเกียจนัก แต่เราก็คิดแบบนั้นไปแล้ว เพราะฝ่าพระบาททรงน่ากลัวมาก หากเขาที่อ่อนโยนถึงเพียงนั้นเป็นฮวางแทจาก็คง… แล้วเพียงแค่คิดเท่านั้น มิได้มีความจริงจังอันใด เพราะอย่างไรมันก็เป็นเพียงคำพูดที่เหลวไหล แต่ว่าเขาคนนั้นที่เราคิดว่าเป็นเพียงเชื้อพระวงศ์กลับ…”
กโยซึลพูดออกมาอย่างติดๆ ขัดๆ น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้าโศก ยามที่นางเอ่ยพูดทีละคำ ทีละพยางค์นั้น ดวงตาของนางเปียกชุ่ม กโยซึลที่กำลังเอ่ยพูดอย่างอยากลำบากนั้น ไม่กล้าที่จะพูดคำสุดท้ายออกมา คำพูดสุดท้ายนี้เป็นเหมือนหนามแข็งทิ่มฝังลึกอยู่ที่ลำคอ เพราะมันติดอยู่ที่คอจึงรู้สึกเหมือนมีอาการชา ราวกับมีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่
ที่จริงแล้วเขาคือฮวางเซจา
กโยซึลคิดอยู่ในใจแทนที่จะพูดออกไป ในขณะเดียวกันน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาก็ไหลออกเป็นทาง ถึงแม้กโยซึลจะไม่ได้พูดประโยคที่เหลือออกมา แม่นมก็รับรู้ได้ว่านางกำลังพูดถึงใคร ชายหนุ่มที่รีบวิ่งมาโอบกอดกโยซึลตอนที่นางเป็นลมล้มลงที่สวนหลังวังฝ่ายนอก เขาบอกกับตนว่าเขาคือฮวางเซจา
ที่พระชายาออกไปเดินเล่นสวนหลังวังก็เพื่อที่จะไปเจอเขาหรือนี่
แม่นมลูบใบหน้ากโยซึลเบาๆ โดยไม่พูดอะไร ดวงตาของกโยซึลที่เหม่อมองไปในอากาศค่อยๆ ปิดลง แม่นมจับมือของกโยซึลไว้จนนางหลับ หลังจากนั้นจึงค่อยออกมาจากห้องบรรทม
***
วันต่อมา
บีพาอันไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานที่ต้องทำได้เลยตลอดช่วงเช้า เขาเปิดหนังสือม้วนแล้วก็ปิดมันลง แล้วก็เปิดมันขึ้นใหม่วนไปวนมา แม้ว่าจะพิจารณาดูแต่ละหน้าเกินสิบห้านาทีแต่ก็ไม่สามารถข้ามไปหน้าอื่นได้ พู่กันก็ไม่ได้ใช้จนมันแห้งไป จานฝนหมึกก็ถูกฝนซ้ำแล้วซ้ำอีก
ยามจิน (ช่วงเวลาเจ็ดโมงถึงเก้าโมงเช้า) ใกล้จะผ่านไป บีพาอันวางพู่กันและกระดาษลง นั่งพิงไปที่พนักวางหลัง เขาหลับตาและยืดหลังตรงราวกับว่าจะยืดเส้นยืดสายระหว่างการทำงาน แต่ด้วยความบังเอิญนี่ก็เป็นเวลาเดียวกับที่กโยซึลจะมาทักทายตนยามเช้า
ไหนๆ ก็ไม่สามารถจดจ่อกับการงานได้แล้ว เช่นนั้นวันนี้ให้นางเข้าพบเพื่อเป็นการพักผ่อนก็แล้วกัน
เมื่อวานมีเรื่องหน้าอายเกิดขึ้น วันนี้ตนจึงตั้งใจจะอนุญาตให้นางเข้าพบ ทว่าแม้เวลาจะล่วงเลยไปจนถึงยามซา (ช่วงเวลาเก้าโมงถึงสิบเอ็ดโมง) กลับไม่มีสัญญาณอะไรจากนอกประตูเลย บีพาอันที่กำลังมองออกไปด้านนอกกระแอมขึ้นเบาๆ
“ฝ่าพระบาททรงต้องการเรียกใช้อันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีที่ยืนอยู่นอกห้องบรรทมตอบรับทันควัน บีพาอันปิดปากเงียบ แล้วก็ถามออกไปอย่างไร้ความรู้สึก
“วันนี้นางไม่มาพบเราหรือ”
“ทรงหมายถึงเรื่องใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“การเข้าทำความเคารพทักทายยามเช้า”
“ทรงเรียกหาพระชายาฮวางแทจาหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีที่กำลังงงงวยอยู่กับคำถามของบีพาอันรีบวิเคราะห์สถานการณอย่างรวดเร็ว บีพาอันพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและดูใส่ใจเป็นพิเศษ
“ไม่ได้จะเรียกหา แต่เห็นว่านางจะมาพบเราทุกเช้า แล้วดูเหมือนว่าวันนี้นางจะมาไม่ตรงเวลา จึงลองถามดูเพียงเท่านั้น”
“วันนี้พระชายามิได้เสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ ให้กระหม่อมแจ้งไปยังพระตำหนักดงบีไหมพ่ะย่ะค่ะ”
คำบอกกล่าวแผ่วเบาของขันที ทำให้บีพาอันรู้สึกราวกับถูกหินโยนใส่หน้า บีพาอันหายใจเข้าเต็มปอดแล้วบ่นพึมพำคนเดียว
“…ไม่มาอย่างนั้นหรือ”
เขาขมวดคิ้วข้างหนึ่ง พลันในอกเกิดความรู้สึกอึดอัด สายตาที่เยือกเย็นของเขามองข้ามโต๊ะหนังสือไปที่เบาะรองนั่ง เป็นเบาะรองนั่งที่ถูกวางไว้อย่างไร้ความหมาย เขานึกถึงกโยซึลที่เคยมานั่งอยู่ตรงหน้าแล้วส่งยิ้มมาให้ตนด้วยสีหน้าไร้เดียงสา