ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 13-1 ผู้หญิงของเขาคนนั้น
ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 13-1 ผู้หญิงของเขาคนนั้น
ยอมินที่เดินนำโบจินและเหล่านางกำนัลมุ่งหน้ามายังวังตะวันออกเดินไปทางด้านซ้ายของวัง ตำหนักดงบีที่เป็นที่พักอาศัยของกโยซึลนั้นอยู่ทางด้านขวาของพระราชวัง แต่หากมองจากทางด้านของผู้มาเยือนแล้วมันจะอยู่ทางด้านซ้ายมือ วังตะวันออกนั้นมีขนาดใหญ่กว่าวังใต้ที่ยอมินอาศัยอยู่มากนักจึงทำให้กว่าจะเดินถึงที่หมายกินเวลาไปไม่น้อย เมื่อถึงหน้าตำหนักดงบี โบจินก็รีบไปแจ้งขอเข้าเฝ้าทันที
“พระชายาฮวางเซจาขอเข้าเฝ้าเพคะ”
คำขอได้ถูกถ่ายทอดผ่านไปยังซังกุงและเหล่านางกำนัล และคำอนุญาตก็ถูกถ่ายทอดกลับมาผ่านซังกุงและนางกำนัลเช่นกัน ซังกุงที่อยู่ด้านนอกสุดแจ้งแก่ยอมินว่า
“องค์ชายาฮวางแทจาให้ทรงเสด็จเข้าไปได้เพคะ”
หลังจากนั้นซังกุงจึงเปิดประตูให้ ยอมินถอดรองเท้าไว้ที่บันไดหินแล้วค่อยๆ เดินผ่านระเบียงใหม่ไปอย่างช้าๆ และก้าวเข้าไปด้านใน โบจินที่รออยู่ด้านล่างพร้อมกับนางกำนัลคนอื่นๆ จ้องมองแผ่นหลังของยอมินที่เดินเข้าไปด้านในด้วยความกังวล
ตลอดทางที่เดินมายังวังตะวันออก นางสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิความไม่สบายใจที่แผ่ออกมาจากแผ่นหลังของยอมิน โบจินเองก็รับรู้ถึงข่าวลืออันน่ารังเกียจที่แพร่กระจายไปทั่วพระราชวัง เพราะฉะนั้นการมาเยือนตำหนักพระชายาฮวางแทจาในครั้งนี้จึงทำให้นางเป็นกังวลยิ่งนัก นางกำนัลนั้นมิควรจะรู้และเห็นสิ่งใด แต่สายตาของโบจินกลับเอาแต่เหลือบมองไปที่ประตู
ยอมินก้าวเข้ามาด้านในหลังประตูตำหนักเปิดออก ยอมินที่เดินเข้ามาอย่างระมัดระวังนั้นหยุดอยู่ตรงหน้ากโยซึลพร้อมกับกล่าวคำคารวะ
“ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี เข้าเฝ้าพระชายาฮวางแทจาเพคะ”
ยอมินค่อยๆ ยืดตัวขึ้นช้าๆ แล้วนั่งลง นางมองไปที่กโยซึลที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะร่างกายของนางยังอ่อนแออยู่หรืออย่างไร สีหน้าของกโยซึลที่ตอนนี้นั่งอยู่ตรงที่นั่งมิใช่เตียงนอนช่างซีดเซียวยิ่งนัก อาจเป็นเพราะยอมินเพิ่งจะเห็นรูแฮที่ร่างกายผอมโซ ในตอนนี้นางจึงเห็นภาพทั้งสองคนซ้อนทับกัน หัวใจของนางเริ่มบีบคั้น ความกลัวที่ว่าท่าทางอ่อนแรงของกโยซึลนี้อาจเป็นสาเหตุเดียวกับของรูแฮเริ่มแทรกซึม
ภายในใจของกโยซึลที่นั่งอยู่ตรงข้ามใบหน้างดงามของยอมินกำลังเจ็บปวด
ชายา… ของเขา
ที่ผ่านมาตนเผลอหลงลืมไปว่าผู้สืบทอดบัลลังก์แห่งวังตะวันออก ตก เหนือ ใต้นั้นล้วนมีพระชายาเอกแล้วทุกพระองค์ ‘เขา’ คือฮวางเซจา แน่นอนว่า ‘เขา’ เองก็คงจะมีชายาเอกอยู่แล้วเช่นกัน ที่ผ่านมาตนหลงลืมมาโดยตลอด ขณะนี้ที่ได้เผชิญหน้ากับชายาเอกของ ‘เขา’ ทำให้กโยซึลต้องสะเทือนใจอีกครั้ง
ที่ผ่านมาเราคิดอะไรกันนะ
ช่างน่าขันและน่าอายยิ่งนัก กโยซึลกลัวว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ถึงความคิดอันโง่เขลาของตนเองจึงเม้มปากแน่น พยายามที่จะเผยรอยยิ้มออกมา
“ยอมินช่างเกียจคร้านนัก เพิ่งจะมาเข้าเฝ้าพระชายาฮวางแทจาในตอนนี้”
ยอมินก้มหัวลงเล็กน้อย เพียงแค่ถ้อยคำเล็กน้อยนั่นก็รู้สึกได้ถึงความสง่างามและเป็นกันเองแล้ว ไม่รู้ว่าตนรู้สึกไปเองหรืออย่างไร กโยซึลที่มองยอมินอยู่ตอนนี้รู้สึกว่าตนเองช่างดูเป็นเด็กน้อยนัก นางรับรู้ได้ถึงบรรยากาศของหญิงสาวที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วจากยอมิน ถึงแม้ว่าในตอนนี้ยอมินจะทำเพียงแค่เผยรอยยิ้มตามมารยาท และนั่งตัวตรงอยู่บนที่นั่งของนางเท่านั้นก็ตาม
“ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันเองก็มัวแต่พยายามปรับตัวกับวังที่เข้มงวดแห่งนี้เช่นกัน หากว่าทรงมาเร็วกว่านี้ หม่อมฉันอาจจะต้อนรับพระชายาฮวางเซจาได้ไม่ดีนักก็เป็นได้”
เสียงของนางสั่นไปหมด ต่อหน้ายอมินเพียงแค่เปล่งเสียงก็เป็นเรื่องที่ยากแล้ว เพราะใบหน้าของชายผู้หนึ่งเอาแต่ปรากฏทับบนใบหน้าของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า คนที่ปฏิบัติกับตนอย่างอบอุ่นในยามที่ตนมาถึงที่ที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้เป็นครั้งแรก คนที่โอบกอดยามที่ตนหวาดกลัวกับการต้อนรับที่แสนเย็นชาของฮวางแทจา ใบหน้าซีดเซียวของกโยซึลปรากฎสีชาดขึ้น
‘ช่างน่าเอ็นดูนัก’
ยอมินที่รู้ตัวว่าคิดสิ่งใดเมื่อเห็นใบหน้าขาวมีสีเลือดฝาดก็พลันสะดุ้งและส่ายหน้า กโยซึลเห็นว่าอยู่ๆ ยอมินก็ส่ายหน้าจึงถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ทรงเป็นอะไรไปหรือเพคะ มิทราบว่าไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
“เปล่าเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่เผลอคิดเรื่องอื่น มิได้เป็นอะไรเพคะ”
“เช่นนั้นหม่อมฉันก็โล่งใจ ตายแล้ว ต้อนรับแขกทั้งทีแต่ยังมิได้เตรียมชาและขนมเลย แม่นม”
กโยซึลร้องเรียกแม่นมของตนพร้อมกับยื่นมือออกไป ทันใดนั้นยอมินก็ยื่นมือไปคว้ามือของนางไว้
“ประเดี๋ยวหม่อมฉันก็จะไปแล้วเพคะ มิต้องเตรียมมาก็ได้”
“อย่างนั้นหรือเพคะ”
กโยซึลขยับมือยุกยิกด้วยความขวยเขินแล้ววางมือลงบนตัก หลังจากนั้นยอมินก็เอาแต่จ้องมองกโยซึลไม่พูดไม่จา กโยซึลเห็นยอมินเอาแต่จ้องมองตนเองจึงไม่รู้จะทำตัวอย่างไร ในที่สุดจึงพูดขึ้นมาว่า
“ไม่ทราบว่า ทรงมีสิ่งใดจะตรัสหรือเพคะ”
“อา ขออภัยเพคะ หม่อมฉันเสียมารยาทแล้ว”
ยอมินเมื่อได้ฟังเช่นนั้นจึงรู้ตัวว่าตนเองเอาแต่จ้องมองกโยซึลไม่พูดไม่จา จึงค้อมตัวลงจนเกือบถึงพื้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะท่าทางที่ไม่เหมาะสมนั่นของยอมิน หรือเป็นเพราะว่าตอนนี้ตนเองเริ่มหายตื่นเต้นจากการเผชิญหน้ากันแล้ว กโยซึลที่ก่อนหน้ารู้สึกเหมือนมีบ่อทรายหยาบอยู่บนร่างกายของตนเริ่มรู้สึกผ่อนคลายลงดังเดิม
“หม่อมฉันพอจะทราบสาเหตุที่ชายาทรงมาหาหม่อมฉันแล้วเพคะ”
“เพคะ?”
หลังจากที่กโยซึลกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่แจ่มใส ยอมินจึงเงยหน้าขึ้นมองกโยซึล
“ทรงสงสัยใช่หรือไม่เพคะว่าหน้าตาของเด็กสาวต่างเมืองเป็นเช่นไร ทรงจ้องหม่อมฉันถึงเพียงนี้ แม้คนที่ไม่ค่อยรู้ประสีประสาอย่างหม่อมฉันก็พอจะทราบเพคะ”
กโยซึลลืมความรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่นางเป็นชายาของ ‘เขา’ ไป แล้วทำตัวปกติยิ้มตอบไปเหมือนตอนที่อยู่ต่อหน้ารูแฮ ยอมินหลุดหัวเราะออกมาให้กับท่าทางอันไร้เดียงสาของกโยซึล พอคิดได้ว่าตนสร้างกำแพงกับเด็กสาวคนนี้แล้วก็ช่างน่าละอายใจยิ่งนัก
“ขออภัยด้วยเพคะ เกรงว่าการกระทำอันโง่เขลาของหม่อมฉันจะทำให้พระชายาฮวางแทจาทรงไม่พอพระทัยแล้ว”
“ไม่เลยเพคะ ก่อนหน้านี้หม่อมฉันรู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตในวังที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้ ต้องขอบพระทัยชายาเสียอีกที่มาหาหม่อมฉันเพคะ”
ยอมินที่เมื่อเห็นกโยซึลหัวเราะเหมือนเด็กน้อยจึงพลอยหัวเราะตามไปด้วย แต่เมื่อได้ยินกโยซึลเรียกตนเองว่า ‘ชายา’ จึงเกิดความสงสัยขึ้น พลันนึกขึ้นได้ว่ากโยซึลมาจากฮวากุก จึงคิดว่าคงเป็นเพราะต่างบ้านต่างเมืองกันขนบธรรมเนียมจึงต่างกันไปด้วย ยอมินลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น ท่าทางของกโยซึลที่ถามคำถามแปลกๆ พร้อมกับที่หัวเราะราวกับเด็กน้อยนั้นทำให้กำแพงความกลัวของยอมินทลายลง นางจึงกล้าเอ่ยออกไปอย่างไรกังวล
“พระชายาฮวางแทจาเพคะ เหตุใดทรงเรียกหม่อมฉันว่า ‘ชายา’ ได้อย่างง่ายดายนักเพคะ”