ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 22-1 ลางบอกเหตุ
ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 22-1 ลางบอกเหตุ
กาลเวลาผันผ่านไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นับตั้งแต่รูแฮได้พบกโยซึลและบีพาอัน ณ สวนหลังวังฝ่ายนอกแล้วนั้น เขาก็ใช้เวลาในแต่ละวันไปโดยเปล่าประโยชน์
ความสุขสำราญใจอันสั้น ณ สวนแห่งนั้นได้จางหายไปจนหมดสิ้น เวลาในทุกๆ วันผ่านไปอย่างซ้ำซากจำเจและน่าเบื่อหน่าย เพียงหายใจ นอนหลับไปและกินข้าว วันเวลาผ่านไปโดยไม่อาจรู้สึกได้ถึงคุณค่าใด มีแต่ความว่างเปล่าเหลือคณนา
แต่ละวันของฮวางเซจานั้นล้วนมีแต่ความยุ่ง โดยเฉพาะรูแฮที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘กุกบน’ ผู้มากความสามารถ และมีงานราชการที่ต้องทำจำนวนมาก เป็นรองก็แต่เพียงฮวางแทจาเท่านั้น หลักๆ แล้วเขาจะรับผิดชอบในส่วนของฝ่ายตุลาการ แต่ก็ยังรับผิดชอบบางส่วนเกี่ยวกับการศึกษาของฝ่ายพิธีการอีกด้วย
ถือเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ไม่ทำตัวเอ้อระเหยลอยชายและมากความสามารถเลยทีเดียว
“วันนี้คงจะได้แค่ทำงานจนหมดวันไปเช่นเคยสินะพ่ะย่ะค่ะ”
รูแฮพักสายตาจากการงานที่เหนื่อยล้าพลางบ่นพึมพำครู่หนึ่ง เขายืดตัวเพื่อบิดขี้เกียจ แล้วอยู่ๆ ก็หยุดการกระทำนั้นอย่างกะทันหัน เนื่องจากรู้สึกตัวขึ้นมาว่าตนได้บ่นพึมพำกับตัวเองไปโดยไม่รู้ตัว
“เมื่อกี้นี้ เราพูดกับใครกันนะ”
รูแฮเอนหลังพิงไปยังเบาะ เขาค่อยๆ หลับตาแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ แม้ว่าเขาจะคิดว่าเขาไม่เป็นอะไร ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงก็ตาม แต่ก็มักเกิดการปะทุขึ้นมาโดยคาดไม่ถึงเช่นนี้อยู่เสมอ
“ไม่ได้เรื่อง”
งานยุ่งเสียจนไม่มีช่องให้ความรู้สึกแทรกเข้าไปได้ ไม่สิ…จงใจทำให้ตัวเองฝังลึกไปกับภาระการงานเสียด้วยซ้ำ เพื่อไม่ให้ความคิดไร้สาระมันตามมาได้ ถือเสียว่าเป็นเรื่องดีที่มันจบลงเสียก่อนที่ใจตนจะผูกพันไปมากกว่านี้ รูแฮตั้งใจกลับไปใช้ชีวิตตามปกติก่อนที่จะได้รู้จักนาง
“ตัวกระหม่อมช่างไม่ได้เรื่องเสียจริง”
แต่ตนก็รู้ถึงสถานการณ์อยู่ ตนไม่ได้ไปเยือนยอมินที่เป็นชายาเอกมานานพอสมควรแล้ว ไม่รู้จะเอาหน้าที่ไหนไปพบนางได้เลย ก่อนฤดูใบไม้ผลิปีนี้มาถึง ที่จริงแล้วตนได้ไปเยือนตำหนักนัมบีอยู่เป็นประจำ เพื่อรักษามารยาทพื้นฐานเนื่องด้วยธรรมเนียมปฏิบัติ ทว่าตอนนี้ก็ผ่านมานานแล้วที่ไม่ได้มีสัมพันธ์ทางกายกันเลย ก่อนนั้นเคยได้มองหน้ากัน ส่งยิ้มให้กัน ถามสารทุกข์สุกดิบซึ่งกันและกัน บ่อยครั้งที่ยอมินเป็นคนยื่นมือมาก่อน แต่เขาก็เนียนหลบเลี่ยงไปเสีย นั่นทำให้ยอมินเจ็บปวดทุกครั้ง เหตุใดหัวใจของรูแฮจึงไม่เคยเต้นแรงกับนางเลย เขาก็สงสัยเช่นกันว่าปัญหาน่าจะอยู่ที่ตัวเขาเอง
“ฝ่าบาทต้องเป็นหนอนหนังสือแน่ๆ เลยเพคะ”
เคยมีวันหนึ่งที่ยอมินแต่งกายอย่างงดงามเพื่อมาหาเขาที่ตำหนักนัมชอน นางกล่าวเหน็บแนมเขาโดยไม่เก็บอาการน้อยเนื้อต่ำใจสักนิด กระนั้นรูแฮก็ยังตอบโต้กลับด้วยเพียงรอยยิ้ม
“พรุ่งนี้มีงานราชการที่ต้องทำเยอะน่ะขอรับ”
“แล้วพระองค์มีตอนไหนบ้างที่งานไม่เยอะเพคะ”
“ไม่มีเลย”
“เหมือนว่างานราชการทุกอย่าง พระองค์จะเป็นคนจัดการแต่ผู้เดียวเลยนะเพคะ”
“องค์ชายา”
รูแฮเรียกนางด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ยอมินถึงกับผงะ แม้ว่าจะอ่อนโยนเพียงใด แต่อย่างไรเสียรูแฮก็คือกุกบนที่เป็นถึงองค์รัชทายาทอันดับที่สาม แม้ตัวยอมินจะเป็นชายาก็ยังต้องมีมารยาทและธรรมเนียมที่ต้องถือปฏิบัติ
“ขอประทานอภัยเพคะ” ยอมินรีบน้อมศีรษะลงทันที
“ไม่เป็นไร มิจำเป็นต้องขอโทษเลย”
การที่ยอมินเปลี่ยนท่าทีกะทันหันเช่นนั้น ทำให้รูแฮต้องปั้นยิ้มอย่างฝืนๆ พลางโบกมือให้เล็กน้อย
“เพียงแค่ เหมือนว่าตัวเราจะชอบหนังสือมากกว่าสตรี เราชอบกลิ่นของความตั้งมั่นมากกว่ากลิ่นของเครื่องหอม”
“หม่อมฉันทราบดีอยู่เพคะ”
แม้จะรู้ดีอยู่แล้วก็ตาม แต่การพูดแก่ตนโดยตรงแบบนี้ ทำให้ยอมินรู้สึกอึ้งไปไม่น้อย น้ำเสียงอ่อนโยนราวกับสายลมอ่อนของรูแฮ ได้พัดกระหน่ำราวกับพายุที่รุนแรงจนทะลุผ่านกลางหัวใจ ยอมินฝืนเม้มริมฝีปากของตนไว้
“เพียงแค่”
ยอมินพูดเกริ่นด้วยคำแบบเดียวกับที่รูแฮใช้ นางจ้องเขม็งขึ้นไปยังรูแฮ สายตาแข็งกร้าวนั้น ระคนไปด้วยความไม่พอใจ
“ฝ่าบาทฮวางเซจากับตัวยอมินนั้น ถูกผูกกันไว้ด้วยธรรมเนียมเพียงเท่านั้น”
ยอมินก้มหน้าชิดลำคอ กิ่งก้านของปิ่นปักผมที่ตั้งใจปักมาเป็นพิเศษสั่นระรัว เสียงของพวกมันฟังดูเปล่าเปลี่ยวยิ่ง รูแฮมองดูนางในสภาพนั้นอย่างนิ่งเฉย เขาไม่ได้ยื่นมือกระทำสิ่งใดเลยจนกระทั่งนางตั้งตัวตรงแล้วออกไปทางประตู เขาเพียงแต่ใช้สายตา มีแค่ส่งสายตาให้เพียงเท่านั้น เขาไม่สามารถทำมากกว่านั้นได้
“พูดไปแบบนั้นแล้ว จะเข้าหน้ากันติดได้อย่างไร”
อีกทั้งเขายังได้พบกับหญิงสาวที่เขาสามารถทำให้ได้มากกว่าแค่เพียงส่งสายตาให้เสียแล้ว ใจของเขาเอาแต่พุ่งไปหานางผู้นั้น แต่ก่อนที่ใจตนจะเริ่มทำอันใด กลับถูกทั้งฮวางแทจากับคนอื่นๆ ในราชสำนักรู้เข้าเสียก่อน ใจที่ยังเปิดเผยออกไปหมดกลับต้องถูกพับเอาไว้เสียกลางคัน ทำให้ต้องมาพึมพำซ้ำไปมาคนเดียวอยู่อย่างนี้
ยิ่งพอความคิดไร้สาระแทรกเข้ามา มันก็ยากที่จะกลับไปจดจ่อกับการงานได้ ม้วนหนังสือที่กองอยู่บนโต๊ะกลายเป็นเพียงเศษกระดาษไร้ความหมายในสายตารูแฮ รูแฮที่กวาดสายตาอ่านเนื้อความของจดหมายด้วยสายตาที่ไม่อาจตีความอักษรใดได้ ในที่สุดก็ต้องวางพู่กันลง
เขาปิดม้วนหนังสือไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อ่านฎีกาอีกตั้งครึ่งหนึ่ง ทันทีที่เขาลุกขึ้น ขันที่ยืนรออยู่แล้วรีบไปยืนข้างประตู พร้อมกับก้มโค้งคำนับ
“จะเสด็จหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เราจะไปห้องหนังสือสักครู่ เพียงลำพัง”
“ทราบด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีเปิดประตูและหยุดที่ชานไม้ ตามปกติแล้วพระราชวังจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ตั้งแต่ขันที ซังกุง ไปจนถึงพวกนางกำนัล แต่รูแฮไม่ชอบความวุ่นวายและชอบเดินเล่นคนเดียวพลางจัดระเบียบความคิดไปด้วยมากกว่า เขาจึงมักจะออกไปข้างนอกโดยไม่มีข้าราชบริพารติดตามไปด้วย
เขามุ่งหน้าเดินไปยังห้องหนังสือของวังฝ่ายนอก ที่นั่นเงียบสงบมาก เขาเดินเตร็ดเตร่จากชั้นหนังสือหนึ่งสู่อีกชั้นหนึ่ง แล้วก็หยุดที่ระหว่างชั้นหนังสือชั้นหนึ่ง สายตาของเขามองลงไปยังพื้น ณ ที่นั่นเขามองเห็นกโยซึลกำลังนั่งหลับตาด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย ปลายคิ้วของนางขมวดมุ่นลงจนเป็นเหมือนเลขแปดของตัวอักษรจีน (八 )จะว่าน่าเอ็นดู แต่ก็มีความผิดปกติ และก็ดูมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก เปลือกตาบน
ของนางแลดูชุ่มชื้นและกดทับลงมาอย่างหนักอึ้งราวกับตกอยู่ในห้วงความถวิลหา ลมเอื่อยๆ รวมตัวกันที่แก้มของนาง ริมฝีปากล่างโดดเด่นออกมาราวกับใบไม้ที่เพิ่งผลิบานในฤดูใบไม้ผลิ
ใจของรูแฮเต็มไปด้วยความสงสารและทุกข์ใจจนอยากจะเข้าไปโอบกอดหน้าผากของนางให้แนบชิด อยากจะค่อยๆ ลูบจัดปอยผมที่ปลิวมาจากหน้าผากน้อยๆ นั่นให้เข้าที่ และอยากจะลูบผมนางที่ถูกปิดบังด้วยวิกผมอย่างทะนุถนอม แต่ตนก็มิอาจทำเช่นนั้นได้ ได้แต่วาดรอยยิ้มเบาๆ พลางคาดหวังให้
กโยซึลลืมตาขึ้นมา
ทว่าหากเป็นตอนนี้อาจเป็นโอกาสที่ตนจะสามารถบังอาจยื่นมือออกไปปลอบโยนความถวิลหาแสนเศร้านั้นได้
“ชายาฮวางแทจา”