ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 23-1 เงาที่ไม่ทันได้ระวัง
ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 23-1 เงาที่ไม่ทันได้ระวัง
“ทรงดูแคลนตัวกโยยองคนนี้มากเกินไปแล้ว”
รอยยิ้มแสยะเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่อ่อนหวานและเย็นยะเยือก แก้มของกโยยองสั่นระริก รอยยิ้มนั้นคือรอยยิ้มแห่งการเย้ยหยัน ครั้นเมื่อมันปรากฏออกมาหลังจากอดกลั้นไว้มาตลอด นางถึงกับหยุดการก้าวเดินโดยสิ้นเชิง กโยยองหันไปจ้องเขม็งที่ตำหนักดงบี สายตาของนางไร้ซึ่งเยื่อใยใดๆ และเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ ตำหนักดงบี ความโมโหโกรธาอันรุนแรงเกินขีดจำกัดก็พลุ่งพล่านจนทำให้ทั้งร่างของนางสั่นระรัวยิ่งขึ้นไปอีก
***
เมื่อครึ่งชั่วยามก่อน ณ ห้องบรรทมในตำหนักดงบี กโยซึลกับกโยยองนั่งหันหน้าเข้าหากัน สตรีทั้งสองนี้มีปฏิสัมพันธ์กันบ่อยๆ สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างชายาเอกและชายารองแล้ว ถือว่าดูเป็นมิตรกันมากทีเดียว ซึ่งนั่นเป็นเพราะกโยซึลเป็นคนใจอ่อนและเชื่อคนง่าย อีกทั้งยังเป็นเพราะกโยยองรู้จักวางตัวได้ดีอีกด้วย
“อย่างไรก็ดี เพราะมีกโยยองอยู่ในวัง เราเลยรู้สึกสบายใจมาก”
“โล่งอกไปทีเพคะ พระองค์ทรงดูขี้เหงามาก หม่อมฉันเลยเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย”
“กโยยองก็เห็นเป็นเช่นนั้นเหมือนกันหรือ เป็นที่อับอายแล้ว”
“เช่นนั้นหม่อมฉันคงไม่มาจิบน้ำชากับพระชายากโยซึลเช่นนี้บ่อยๆ หรอกเพคะ หม่อมฉันเพียงต้องการให้พระชายาคุ้นเคยกับที่นี่ และประทับอยู่อย่างสบายพระทัยโดยเร็ว”
กโยยองยิ้มอย่างอ่อนหวานพลางยกถ้วยชาขึ้นมา นางทำสีหน้าเช่นนั้นทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับกโยซึล กโยซึลเองก็รู้สึกได้เพียงความรู้สึกดีและสบายใจเท่านั้น การสนทนาอย่างสนุกสนานกับการจิบน้ำชาอย่างไม่เร่งรีบนั้นยังคงดำเนินต่อไป
“กโยยอง เราน่ะ”
กโยซึลเริ่มพูดเปิดประเด็นอย่างเคอะเขิน สีหน้าแสดงออกถึงการหวนคิดถึงอดีต
“ที่บ้านเกิดเมืองนอนของเรา เรามีแต่พี่น้องผู้ชายทั้งนั้นเลย”
“เพคะ ก็พระองค์คือเจ้าหญิงเพียงองค์เดียวแห่งฮวากุก ซึ่งราชวงศ์เปี่ยมไปด้วยความสุขมิใช่หรือเพคะ”
“ถูกแล้ว เรามีพี่ชายสี่คน กับน้องชายอีกสี่คน พี่น้องผู้หญิงหามีไม่ กระนั้นเราก็ไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจากการที่ไม่มีพี่น้องผู้หญิงแต่อย่างใด เพราะมีพี่ชายน้องชายอยู่”
กโยยองรู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันทีว่าเหตุใดกโยซึลอยู่ๆ จึงพูดเรื่องพี่ๆ น้องๆ ขึ้นมา กระนั้นนางก็ยังคงรักษาสีหน้ายิ้มแย้มและรอฟังคำพูดของกโยซึลอย่างสงบเสงี่ยม
“แต่ว่าตอนนี้เราได้มาใช้เวลากับกโยยองเช่นนี้แล้ว จึงดูเหมือนว่าเราจะเริ่มเข้าใจแล้วล่ะว่าการมีพี่น้องผู้หญิงนั้นมันสนุกสนานและดีงามเพียงใด หากเรามีพี่สาว นางจะเหมือนกโยยองหรือไม่นะ”
“ทรงตรัสว่าพี่สาวหรือเพคะ”
“ใช่แล้ว เราพูดว่าพี่สาว เรารู้สึกเหมือนว่ากโยยองคือพี่สาวของเราเลยล่ะ”
กโยซึลพยักหน้าด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส คำตอบนั้นทำให้กโยยองแสดงสีหน้าตกใจไม่น้อย นางต้องออกแรงบังคับใบหน้าที่เตรียมจะแข็งกระด้างขึ้นมาไม่น้อย
“หม่อมฉันจะบังอาจไปเป็นพี่สาวของพระชายาได้อย่างไรกันเพคะ”
รอยยิ้มที่เคยอ่อนโยนมาตลอดของกโยยองกลับดูแข็งกระด้างขึ้นมาไม่น้อย แต่ด้วยความที่นางได้รับการอบรมมาอย่างดีและมีความสุภาพเรียบร้อย นางจึงไม่ได้แสดงอาการไม่ดีใดๆ ออกมา แต่อยู่ๆ กโยซึลก็เอื้อมตัวข้ามโต๊ะน้ำชาเล็กๆ มาจับมือของกโยยองไว้แน่นด้วยความฉับไว กโยยองถึงกับผงะและเกือบดึงมือตนเองออก แต่นางก็ฝืนรักษาใบหน้ายิ้มแย้มเอาไว้ และยอมให้มือน้อยๆ ของกโยซึลกุมมือตนเอาไว้
“เราน่ะ รู้สึกว่ากโยยองเป็นเหมือนพี่สาวของเราเลยนะ เรารู้สึกซาบซึ้งในหลายๆ เรื่อง และอยากเป็นคนที่ดูสง่าแบบกโยยองมากๆ”
“หม่อมฉันน่ะหรือเพคะ”
ครั้งนี้กโยยองตกใจเป็นอย่างยิ่ง จนจ้องมองกโยซึลด้วยสายตาตามสัญชาตญาณที่แท้จริงของตน ส่วนแววตาอันสดใสและไร้ซึ่งการแต่งเติมใดๆ ของกโยซึลนั้นก็ยังคงเงยขึ้นมองกโยยองอย่างเป็นประกายแวววาว
“เรารู้สึกซาบซึ้งมาก ที่เราซึ่งมาจากต่างแดนได้มาพบกโยยองเป็นคนแรกๆ ได้มาพูดคุยเปิดเผยในเรื่องที่น่าเคอะเขิน สิ่งเหล่านี้ทำให้เรามีกำลังใจฮึดขึ้นมามากทีเดียว”
กโยยองกระพริบตาซ้ำๆ เพราะข่าวลือเรื่องที่ว่าตัวนางนั้นเป็นฝ่ายเดินเข้าหา และเปิดเผยของสงวนของตนให้พระสวามีดูก่อนจนเป็นเหตุให้คืนส่งตัวถึงกับล่มไปนั้นได้แพร่ไปทั่วราชสำนักแล้ว กโยยองคิดว่าไหนๆ ก็เป็นเรื่องที่อีกไม่นานกโยซึลต้องรับรู้เป็นแน่ สู้ตนบอกไปด้วยตนเอง น่าจะยังพอเป็นการรักษาศักดิ์ศรีของตนเอาไว้ได้ ทว่าดูเหมือนว่าพระชายาผู้ใสซื่อกำลังเข้าใจผิดเกี่ยวกับท่าทีของกโยยองไปเสียแล้ว
“อีกทั้งเราสองคนอายุห่างกันเพียงปีเดียวแท้ๆ แต่เรากลับรู้สึกได้ถึงบรรยากาศบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้จากตัวโยยอง ดูแล้วช่างดูเป็นผู้ใหญ่นัก เราเลยอยากเป็นผู้ใหญ่แบบกโยยองเช่นกัน”
“ผู้ใหญ่หรือเพคะ…”
“การทำหน้าที่ของตนได้อย่างสง่าผ่าเผยก็คือการเป็นผู้ใหญ่ที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มของกโยยอง หรือท่าที หรือคำพูด เมื่อพิจารณาสิ่งเหล่านี้แล้ว มันทำให้เราอยากเป็นแบบกโยยองมาก ลักษณะที่ดูภูมิฐาน และได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี แถมยังรู้สึกสงบเมื่ออยู่ใกล้อีกด้วย”
เมื่อมองดูกโยซึลที่มีแววตาเป็นประกายและกำลังกล่าวราวกับสรรเสริญเยินยอตนแล้วนั้น กโยยองเองก็ถึงกับเกือบหลุดขำออกมา หญิงนางนี้ช่างเป็นเด็กน้อยและดูน่าขบขันเสียนี่กระไร การที่นางเป็นเจ้าหญิงของอาณาจักรอื่นทำให้ตนนั้นแอบหวั่นใจอยู่บ้าง ทว่าดูแล้วนางเพียงแค่โตมาโดยได้รับแต่ความรัก จนทำให้นางดูราวกับไม่รู้ความเป็นไปของโลกใบนี้ ยังไม่อาจก้าวพ้นความไร้เดียงสาได้ ส่วนกโยยองเองเมื่อถูกยกยอปอปั้นถึงเพียงนี้ ก็ถึงกับรู้สึกคันใต้คางจนต้องเชิดหน้าขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง
แต่พอกโยยองสงบสติอารมณ์ได้แล้ว นางก็สามารถจัดการกับการแสดงออกทางแววตาของตนได้ในที่สุด กโยยองค่อยๆ รวบรวมขวัญที่เสียไปจากความงงงวย แล้วต่อมันจนสนิทเข้าหากันอย่างแน่นหนา การเปิดเผยความรู้สึกของตนออกมาให้ผู้อื่นเห็นนั้น ช่างเป็นเรื่องที่โง่เขลาและน่าสังเวชยิ่งนัก ทันใดนั้นกโยยองผู้สวมหน้ากากแสร้งทำเป็นใจดีก็แสยะยิ้มเล็กน้อย พลางขยับมือมาตบบนมือของกโยซึลเบาๆ
“ทรงกล่าวยกยอหม่อมฉันเกินไปแล้ว”
จากนั้นก็ไม่ลืมที่จะค่อยๆ ละมือออกมาอย่างแนบเนียน กโยยองช่างชำนาญในการรักษาระยะห่างและไม่เผยไต๋ให้อีกฝ่ายรู้นัก ช่างเป็นสตรีที่มีมารยาทและวางตัวได้อย่างดีเยี่ยม กโยซึลเองก็หาได้มองออกไม่ นางกล่าวคำต่อไปนี้ออกมาด้วยความประทับใจว่ากโยยองคือตัวอย่างของหญิงที่มีน้ำใจและเป็นกุลสตรี
“หากเราเรียกกโยยองว่าท่านพี่จะเป็นการเสียมารยาทหรือไม่”
“หม่อมฉันคิดว่าหากมีใครมาได้ยินพระองค์เรียกหม่อมฉันเช่นนั้นเข้า หม่อมฉันคงต้องถูกตำหนิเป็นแน่”
ที่จริงแล้วกโยซึลเองก็เคยดื้อรั้นเรียกพระสนมเอกซาแห่งวังหลังว่าสนมแม่มาแล้ว เช่นนั้นนางจึงโน้มศีรษะไปหากโยยองพลางกระพริบตาคู่ใหญ่ แล้วร้องขออีกครั้ง
“หากระมัดระวัง เรียกแค่เฉพาะตอนที่เราอยู่ลำพังเพียงสองคน มันจะไม่ได้เชียวหรือคะ เราเพียงอยากจะเปิดใจพูดคุยกับกโยยองอย่างสบายๆ ก็เท่านั้น หากนับตามอายุแล้ว กโยยองก็เป็นพี่ถูกต้องแล้วมิใช่หรือ”