ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 26-2 โชคชะตาแห่งวังเหนือ
ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 26-2 โชคชะตาแห่งวังเหนือ
แม้กโยซึลจะพยายามปกปิดเอาไว้ แต่แค่มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นการฝืนยิ้มด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
“ไม่นะเพคะ มันจะเป็นไปได้แน่นอน”
ฮเยจินยืนยันอย่างหนักแน่น กโยซึลรู้สึกเขินอายขึ้นมาจนต้องเปลี่ยนเรื่องคุย
“วะ ว่าแต่ พระชายาเซจาพูดภาษามกกุกเก่งนักเพคะ”
“จินซองกุกบ้านเกิดของหม่อมฉันไม่มีอักษรเป็นของตัวเอง จึงต้องยืมอักษรที่นี่ไปใช้เพคะ อันที่จริงจินซองกุกมีภาษาของตัวเอง ทว่าพวกชนชั้นสูงจงใจใช้ภาษามกกุกเพื่อให้ตัวเองดูมีความรู้น่ะเพคะ”
“ออ จินซองกุก”
กโยซึลเองเมื่อได้ยินว่าบ้านเกิดของฮเยจินคือจินซองกุก จึงกรอกตาไปมา และพูดออกมาราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้
“เหมือนหม่อมฉันเคยได้ยินมาก่อนจากที่ไหนสักแห่ง อ้อ นึกออกแล้ว ท่านแม่ของหม่อมฉันที่อยู่ฮวากุกทรงโปรดปรานเครื่องประดับจากจินซองกุกมากเลยเพคะ เครื่องประดับที่มีอัญมณีสีสวย ทรงโปรดปรานสร้อยคอมากจนใส่มันตลอดเลยเพคะ”
กโยซึลพูดด้วยเสียงสั่นๆ พลางประสานมือของตนแน่น บนคอของฮเยจินสวมไว้ซึ่งสร้อยคอที่คล้ายคลึงกับที่พระมเหสีโย มารดาของกโยซึลสวมใส่ ในขณะที่กโยซึลเอ่ยพูดประโยคชวนงุนงง ฮเยจินเองก็ทำเพียงแค่จ้องมองกโยซึลด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน กโยซึลผู้รู้สึกกระอักกระอ่วน ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าซีดเผือด ตั้งแต่เข้ามาในห้องบรรรทม กโยซึลก็ทำสีหน้าแย้มยิ้มตลอด ต่างกับฮเยจินที่รักษาสีหน้าคลุมเครือไว้ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
กโยซึลมองสำรวจห้องนี้ไปมาจากนั้นก็มองไปมาอีกด้วยความรู้สึกแปลกใจ เมื่อมองดูในตอนแรกนั้น ก็มีโต๊ะหนังสือเตี้ยๆ กับเบาะรองนั่ง มีตู้โชว์และชั้นหนังสือขนาดใหญ่ ไม่ต่างจากที่ตำหนักดงบีเลย แน่นอนว่าตำหนักดงบีโอ่อ่าและกว้างขวางกว่ามาก แต่เมื่อได้มองดูโดยละเอียดแล้ว จะพบว่าบนโต๊ะหนังสือนั้นมีกระดาษ พู่กัน น้ำหมึก และจานฝนหมึก วางเรียงเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ และของตกแต่งต่างๆ ที่อยู่เต็มตู้โชว์กับชั้นวางหนังสือนั้นล้วนไม่ใช่ของจากมกกุกเลย
“ว้าว ของทั้งหมดนี่ เอามาจากจินซองกุกทั้งนั้นเลยใช่ไหมเพคะ”
“ใช่แล้วเพคะ”
“สวยงามมากยิ่งนัก ดูมหัศจรรย์มากเลยเพคะ”
กโยซึลค่อยๆ เดินห่างจากเตียงไป ในขณะที่มองสำรวจของตกแต่งต่างๆ นั้น ตาของนางเหลือบไปเห็นรูปสลักม้าคอยาวที่ทั้งแปลกตาและใหญ่โต
“สิ่งนี้คืออะไรหรือเพคะ”
แม้เมื่อมองจากเตียงนอนแล้วจะมองไม่เห็นรูปสลักนั้นก็ตาม แต่ฮเยจินก็รู้ว่ากโยซึลถามถึงอะไร นางตอบว่า
“เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งเพคะ ภาษาเมืองหม่อมฉันเรียกว่า ‘คูโบโซ’ ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากเทพเจ้าเพคะ”
“เป็นสัตว์ที่หม่อมฉันเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกเลยเพคะ ขอดูใกล้ๆ ชัดๆได้หรือไม่เพคะ”
กโยซึลหันกลับมามองฮเยจินพลางถาม ฮเยจินพยักหน้าตอบ กโยซึลน้อมตัวลงเพื่อพิจารณาดูรูปสลักนั้นชัดๆ โดยรวมแล้วมันดูเหมือนกับม้าคอยาว บนหัวมีเขาแบบกวาง และมีหูสองข้างที่ใหญ่ มีดวงตาใหญ่โต ใบหน้ายิ่งต่ำลงไปยิ่งเรียวแหลม และมีเขี้ยวแหลมคมโผล่ออกมาสองซี่ ส่วนต่อของคอและใบหน้ามีแผงขนและมีหางแบบเดียวกับม้า กโยซึลผู้ซึ่งกำลังสัมผัสส่วนหลังของรูปสลักอยู่นั้น ก็สัมผัสขึ้นมาได้ถึงกล่องที่ตนเองถือมาด้วย พลันนึกขึ้นมาได้จึงเดินตรงไปยังเตียงที่ฮเยจินนอนอยู่
“เป็นสัตว์ที่รูปร่างดูอัศจรรย์มาก หม่อมฉันอยากเจอตัวเป็นๆ จังเพคะ”
กโยซึลกล่าวในขณะที่นางยังละสายตาออกมาจากรูปสลักไม่ได้
“องค์เซจาเองก็ทรงบอกว่าชอบรูปสลักที่มาจากอาณาจักรของหม่อมฉันมากเช่นกันเพคะ”
ครั้นเมื่อพูดถึงเซจา บินซองแล้ว ใบหน้าสีน้ำตาลเหลืองของฮเยจินกลับปรากฏสีเลือดฝาดขึ้นมา เนื่องจากนางทำสีหน้าที่อ่านไม่ออกมาตั้งแต่ กโยซึลจึงทำตัวไม่ค่อยถูกนัก แต่เมื่อพูดถึงบินซองขึ้นมา จนใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว เห็นดั่งนั้นใจของกโยซึลก็รู้สึกอบอุ่นและสงบลงจนหายประหม่า
กโยซึลจ้องมองฮเยจินที่หน้าแดงและกำลังลูบท้องตัวเองอยู่ พลางยื่นกล่องใบเล็กที่ห่อด้วยผ้าแพรที่ตนถือมาตลอดให้ฮเยจิน
“ของขวัญแสดงความยินดีสำหรับการตั้งครรภ์เพคะ เป็นของที่หาได้จากแค่ที่ฮวากุก บ้านเกิดของหม่อมฉัน”
ฮเยจินพูดขอบคุณพลางน้อมศีรษะลงแล้วรับกล่องใบเล็กนั่นมา เมื่อแกะผ้าแพรที่ห่อไว้ออกก็พบกับกำปั่นที่ประดับด้วยเปลือกหอยมุก และเมื่อเปิดดูก็พบกับรองเท้าที่ทำจากด้ายหลากสี ที่ปลายของรองเท้านี้มีขนสัตว์นุ่มติดอยู่
“กำปั่นคือของขวัญให้พระชายาเซจา ส่วนรองเท้าคือของขวัญให้บุตรที่จะคลอดออกมาเพคะ ของเหล่านี้เป็นงานฝีมือของฮวากุกเลยนะเพคะ”
“หม่อมฉันซาบซึ้งใจยิ่งนักเพคะ ทรงประทานของล้ำค่าให้เช่นนั้น หม่อมฉันทำตัวไม่ถูกเลยเพคะ”
ฮเยจินซึ่งก่อนหน้ากำลังจ้องตากโยซึล ได้พูดพลางน้อมศรีษะลง จากนั้นนางได้เงยหน้ากลับขึ้นมาแล้วยื่นมือไปแตะและวางไว้บนหน้าผากของกโยซึล ด้วยความที่ตกใจของการกระทำที่กะทันหันของฮเยจิน กโยซึลจึงไม่ทันแม้แต่จะคิดหลบมือที่ยื่นมา
“พระชายาฮวางแทจาทรงประทานของขวัญล้ำค่าเพียงนี้ให้หม่อมฉัน หม่อมฉันจึงขอตอบแทนให้เพคะ”
ฮเยจินพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ จากนั้นหลับตาลงพลางพึมพำด้วยภาษาที่ไม่อาจฟังออก อาจจะเป็นภาษาของจินซองกุกก็เป็นได้ พอจบการร่ายพึมพำนั้นแล้ว นางจึงค่อยๆ โน้มใบหน้าของกโยซึลเข้ามาใกล้ จากนั้นจึงจุมพิตที่หน้าผากของกโยซึล
“ขอให้หนทางข้างหน้าของพระชายาฮวางแทจา จงเต็มไปด้วยความโชคดีเทอญ”
นางกล่าวพลางละมือของตนออกจากหน้าผากของกโยซึล กโยซึลที่อึ้งและเหม่อไปครู่หนึ่ง เอ่ยพูดขอบคุณพลางยิ้มให้กับฮเยจิน กโยซึลสนทนากับฮเยจินหลังจากนั้นอีกพักหนึ่ง ครั้นพอเมื่อสังเกตเห็นว่า
ฮเยจินที่ท้องแก่และใกล้คลอดนั้นดูอ่อนล้า กโยซึลบอกลาและออกมาจากห้องบรรทมทันที
กโยซึลที่กำลังออกจากวังเหนือพร้อมแม่นมและข้ารับใช้ทั้งหลายนั้น ได้มองเห็นชายผู้หนึ่งจากที่ไกลๆ ชายผู้นั้นกำลังเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นางคิดว่าน่าจะเป็นองค์เซจาจึงเดินเข้าไปใกล้ โดยหวังว่าจะกล่าวคำทักทาย แต่ว่าเมื่อเข้าไปใกล้มากขึ้น และได้เห็นหน้าชายผู้นั้นแล้ว นางถึงกลับตัวแข็งทื่อและหยุดนิ่งอยู่กับที่ไปเสียอย่างนั้น นางตั้งใจจะก้าวไปอีกทิศทางหนึ่งเสีย แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมองเห็นกโยซึลแล้วเช่นกัน ชายผู้นั้นรีบเดินจ้ำมาหากโยซึล หน้าของกโยซึลซีดเผือด
“พระชายาฮวางแทจา กโยซึลขอรับ!”
‘เขา’ ก็คือรูแฮนั่นเอง
ที่ผ่านมานางพยายามไม่พบกับเขา และไม่แม้แต่จะนึกถึงเขา ยามใดที่เผลอนึกถึงก็จะพยายามไล่เขาไปให้พ้นจากหัวของตนเสีย สำหรับกโยซึลแล้วเขาคือบุคคลไม่อาจเข้าใกล้ได้อีกต่อไป กโยซึลรู้สึกเศร้าโศกจากหัวใจอันหนาวเหน็บซึ่งเกิดจากการมีพระสวามีที่เอาแต่เย็นชาใส่เป็นอย่างมาก เมื่อตอนอยู่ที่ฮวากุกตนได้รับความรักมากมายจากผู้อื่น จนคิดว่าไม่อาจรับความรักมากกว่านั้นได้อีกแล้วในชีวิตนี้ จนนางทำใจได้แล้ว พยายามไม่สนใจ ‘เขา’ ผู้ทำให้ตนรู้สึกอบอุ่นหัวใจ และกำลังทำใจว่าอาจจะต้องใช้ชีวิตอย่างเหน็บหนาวเช่นนี้ตลอดไป
กโยซึลตั้งใจว่าจะไม่ไปยังวังใต้เด็ดขาด เพราะถ้าหากเพียงได้เห็นเขาแม้เพียงแต่ใกลๆ ใจที่พยายามทำอยู่นั้นคงจะแตกสลาย และถ้าเขาเห็นตนแต่ไกล ตนก็คงไม่อาจต้านทานเสียงเรียกของเขาได้เช่นกัน แต่ว่าตนก็ได้พบกับเขา ซึ่งก็คือรูแฮในที่ที่ไม่คาดคิดมาก่อนเสียจนได้ กโยซึลต้องเผชิญหน้ากับรูแฮอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ รูแฮรีบก้าวเข้ามาหากโยซึลด้วยก้าวย่างที่ไม่มั่นคงและพร้อมจะล้มลงได้ทุกเมื่อ ลมอันร้อนวูบวาบของฤดูร้อนพัดผ่านเข้ามาระหว่างกลางของพวกเขาทั้งสองคน