ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 32-1 บุปผาสีคราม
ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 32-1 บุปผาสีคราม
“เราคือชายาเอกของฝ่าพระบาทฮวางแทจา”
เป็นคำพูดซ้ำๆ ทุกครั้งที่กโยซึลตื่นลืมตาขึ้นมา
“ผู้ที่เราควรคนึงหา ผู้เดียวที่เราสามารถนึกถึงได้ ผู้ที่เราสามารถรักได้นั้น มีเพียงฝ่าพระบาท
ฮวางแทจาผู้เดียวเท่านั้น”
กโยซึลท่องประโยคเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกในทุกวัน นางพูดด้วยปาก ฟังกลับเข้าไปด้วยหู หวังให้มันสลักลงไปในสมอง แต่หัวใจคนเราหาใช่สิ่งที่จะบังคับสลักสิ่งใดลงไปได้ไม่ ยิ่งพยายามท่องจำมันมากเท่าไร ก็ยิ่งชัดแจ้งว่าใจของตนไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย
กโยซึลนอนอยู่บนเตียงพลางกระพริบตาซ้ำๆ นานแล้วที่ไม่ได้ลืมตาตื่นมาในยามเช้าเช่นนี้ ช่างไม่คุ้นชินกับความรู้สึกสดชื่นเช่นนี้เอาเสียเลย อาการไข้ที่รบกวนนางมาตลอดหลายวันก็หายเป็นปลิดทิ้งอย่างไม่น่าเชื่อ
“น่าขันเสียจริง”
น้ำเสียงที่ถูกเปล่งออกมาฟังดูขมขื่น ตรงข้ามกับคำว่าน่าขันโดยสิ้นเชิง อาการไข้ทุเลาลงอย่างรวดเร็ว อาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่หลายวันราวกับไม่เคยเกิดขึ้น ทว่าเหตุใดจึงต้องมาหายเป็นปกติในวันนี้และในช่วงเวลานี้ เช่นนี้ยิ่งดูเหมือนว่าที่อาการทุเลาลงเป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ไม่ได้เป็นเพราะยาหรือการรักษาที่ยอดเยี่ยมแต่อย่างใด เพียงเพราะคนผู้นั้นมาเยี่ยมเพียงเท่านั้น
แม้กโยซึลจะไม่ได้อนุญาตให้เขาเข้าเยี่ยม แต่เขาก็เดินผ่านประตูเข้ามาตามอำเภอใจ เขาผู้ที่เข้ามาพร้อมกับความแข็งกร้าว แต่กลับล่าถอยไปอย่างสงบเสงี่ยมด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียวของนาง ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมละทิ้งความรู้สึกของตนจนวินาทีสุดท้าย ท่าทีเหล่านั้นดูแข็งแกร่งแต่ก็อ่อนโยนไปด้วยในเวลาเดียวกัน และความจริงใจที่ถูกแสดงออกมาอย่างกระทันหันนั้นก็ทำให้กโยซึลหวั่นไหว
“รัก…”
กโยซึลที่พึมพำออกมาอย่างไม่รู้ตัว สะดุ้งตกใจ พร้อมยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดปากตน แม้ในห้องจะมีแค่นางอยู่เพียงลำพัง แต่กโยซึลก็มิวายหันไปมองรอบตัว ปลายหูของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
“ตั้งสติหน่อย เราจะนึกถึงชายอื่นแล้วรู้สึกหวั่นไหวเช่นนี้ไม่ได้”
กโยซึลเอามือแนบแก้มตัวเอง พลางส่ายหัวไปมา แต่ยิ่งพยายามจะสลัดมันออกไปมากเท่าไร ภาพจำของเมื่อวานก็ยิ่งชัดเจนขึ้นมากเท่านั้น ขณะที่นางส่ายหัวไปส่ายหัวมา สายตาก็บังเอิญทอดไปยังที่ที่รูแฮเคยยืนอยู่เมื่อวาน ดวงตาของนางอ่อนลง
‘กระหม่อมจะพิสูจน์ให้เห็นขอรับ’
เสียงที่แน่วแน่ของรูแฮดังก้องอยู่ในหูกโยซึล การที่เขาถอยออกไปแต่โดยดีนั้นกลับทำให้กโยซึลรู้สึกเสียดาย นางไขว้แขนทั้งสองข้างโอบกอดตัวเองไว้ แล้วออกแรงบีบไปที่ไหล่และต้นแขนแน่น ตอนที่รูแฮโอบกอดกโยซึล ชั่วขณะนั้นนางอยากจะละทิ้งทุกอย่างไปเสีย ยอมทำตามหัวใจตัวเอง ไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใด
ไม่คำนึงถึงสิ่งใดหรือ หากไม่คำนึงถึงสิ่งใดแล้วอย่างไร
“อา”
กโยซึลเกือบจะจมลงสู่ความคิดเพ้อฝันอีกแล้ว ด้วยความสามารถในการจินตนาการของตน
กโยซึลไม่สามารถสานต่อจินตนาการที่ผิดบาปนี้ต่อไปได้ นางจึงตั้งสติขึ้นมาได้ในที่สุด ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจกับขีดจำกัดในการจินตนาการนี้กันแน่
กโยซึลลุกพรวดขึ้นมาจากเตียง นางลงจากเตียงแล้วเดินไปเดินมาในห้องครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปใกล้หน้าต่าง เป็นหน้าต่างบานใหญ่ข้างเตียงในห้องบรรทม กโยซึลมักจะมานั่งตากแดดริมหน้าต่างบานนี้อยู่บ่อยๆ นางนำเก้าอี้มาใกล้ๆ และใช้เวลาอยู่ตรงนั้นอยู่พักใหญ่ มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่แสนเรียบง่ายของนาง กโยซึลเปิดหน้าต่างด้วยมือทั้งสองข้าง บานพับเคลื่อนที่ได้อย่างราบรื่นโดยไม่มีเสียงรบกวน แต่หลังจากที่เปิดหน้าต่างแล้ว อยู่ๆ นางก็เกิดอาการแข็งทื่อ ดวงตากลมโตของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แก้มพลันแดงระเรื่อ ริมฝีปากเปิดกว้างขึ้นเล็กน้อย ปลายไหล่ถูกยกขึ้น ขณะที่กโยซึลอยู่ในสภาพนั้นเอง ปลายสุดของสายตาที่พร่ามัวมากขึ้นเรื่อยๆ ของนาง ก็ไปจบลงที่กรอบหน้าต่าง
“นี่มัน…”
ดอกไม้ดอกเล็กถูกวางไว้ที่ขอบหน้าต่าง มันเป็นดอกไม้ดอกเล็กๆ ที่ไม่มีชื่อ ไม่รู้ว่ามันจะบานที่ไหนและจะร่วงโรยไปเมื่อไร กลีบดอกเล็กกว่าเล็บมือ พวกมันรวมตัวกันห่อหุ้มเกสรเอาไว้ ขอบของกลีบดอกย้อมสีน้ำเงิน แต่ปลายดอกดูเหมือนจะวาดด้วยเส้นสีม่วงเข้ม ช่วงเวลาที่ได้เห็นดอกไม้ดอกนั้นบนขอบหน้าต่าง กโยซึลพลันรู้สึกใจหาย อาการใจเต้นที่ทำให้ขอบตาร้อนผ่าวพลันถาโถมเข้ามา
ดอกไม้ดอกเล็กนี้ไม่ได้มาอยู่ที่หน้าต่างห้องโดยบังเอิญ เป็นดอกไม้ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในสวนหลังตำหนักดงบี มีกระดาษแผ่นเล็กถูกมัดไว้ที่ปลายก้านดอกไม้ เห็นได้ชัดว่ามีคนเด็ดมาวางเอาไว้ นางเอื้อมมือที่สั่นเทาไปหยิบดอกไม้ขึ้นมา กโยซึลแกะจดหมายฉบับน้อยนั่นออกด้วยเล็บมือด้วยความยากลำบาก ปลายนิ้วของนางสั่นจนคลี่กระดาษแผ่นเล็กที่พับยู่ยี่ออกมาอย่างยากเย็น
ทว่าในกระดาษแผ่นนั้นกลับไม่มีอะไรเขียนไว้เลย ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่มองไปยังกระดาษสีขาวแผ่นเล็กนั้น ความคิดมากมายผ่านเข้ามาในหัวแล้วหายไป สำหรับคำถามที่ว่าผู้ใดเป็นคนแอบทิ้งดอกไม้ไว้ข้างหน้าต่างของตนนั้น กโยซึลนึกอออกเพียงคนเดียว จดหมายที่ไม่มีการเขียนอะไรไว้ดูเหมือนจะมีเรื่องราวมากมายซ่อนอยู่
“ท่านอีกแล้วหรือ”
กโยซึลที่เอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ พลันหลั่งน้ำตาร้อนผ่าวออกมา นางไม่อยากนึกถึงเขาเลย แต่เขาก็ยังคงวนเวียนอยู่ เขาโผล่มาในทุกที่เพื่อแสดงถึงการมีตัวตนอยู่ของเขา อีกทั้งคำที่บอกว่าจะพิสูจน์ให้ได้ เขากำลังพยายามทำให้นางรู้สึกร้อนรุ่มด้วยวิธีแบบนี้อยู่หรือไรกัน กโยซึลเชื่อสนิทใจเลยว่าผู้ที่ส่งดอกไม้กับกระดาษเปล่ามาให้ตัวเองนั้นคือรูแฮอย่างแน่นอน
“เพราะเหตุใดกัน…”
กโยซึลมองไปที่กระดาษเปล่า ลูกตาขยับไปมา จดหมายที่ส่งมาพร้อมดอกไม้อย่างนั้นหรือ ดอกไม้พร้อมจดหมายทำให้กโยซึลนึกถึงบางอย่างขึ้นมา จดหมายที่ไม่ได้รับการตอบกลับที่นางส่งถึงตำหนักดงชอนทุกวัน นางเขียนจดหมายหาฮวางแทจาทุกวันเพื่อหวังมัดใจเขา แต่มันกลับกลายเป็นการกระทำที่ไร้ความหมาย เพราะหาได้รับการตอบกลับมา ทว่าผู้ที่ตนต้องหลบเลี่ยงกลับเป็นคนที่ส่งดอกไม้มาให้ตนก่อน
“ทำไมกัน”
กโยซึลตะโกนออกมาดังลั่น มันเป็นความรู้สึกไม่พอใจต่อรูแฮ ผู้ที่ทำให้นางยิ่งรู้สึกสับสนมากขึ้น และเป็นความไม่พอใจต่อบีพาอัน ผู้ที่ทำให้นางยิ่งดูน่าสมเพชมมากขึ้น และคำตอบสำหรับความวุ่นวายใจนี่ก็พุ่งตรงมาจากอีกด้านหนึ่งของประตูห้องบรรทม
“พระชายา ทรงตื่นจากบรรทมหรือยังเพคะ”
เมื่อได้ยินเสียงดังในห้อง แม่นมที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว รีบเปิดประตูและก้าวเข้ามาด้านใน เมื่อนางเห็นกโยซึลยืนอยู่ข้างหน้าต่าง นางก็รีบเดินซอยเท้าถี่เข้าไปหา
“มีสิ่งใดอยู่นอกหน้าต่างหรือเพคะ”
“ป เปล่าไม่มีอะไร”
กโยซึลรีบเอาฝ่ามือบังดอกไม้นั้นเอาไว้ ทว่านางหาได้เก่งเรื่องการซ่อนเร้นสิ่งใด และแม่นมก็เป็นคนตาไวมาก แม่นมพึมพำกับตัวเองพลางหันศีรษะไป แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
“ในยามดึก ดูเหมือนว่าท่านผู้มีฝีเท้าที่เงียบสนิทจะแวะมาอีกแล้วสินะเพคะ”
“หืม ว่าอย่างไรนะ”
“ไม่มีอะไรเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจะรีบจัดพระกายาหารเช้าให้นะเพคะ”
แม่นมรีบเปลี่ยนเรื่อง สีหน้าของแม่นมที่สั่งให้ซังกุงรีบนำอาหารเช้าเข้ามาถวายนั้น ดูบูดบึ้งอย่างน่าประหลาด ในความคิดของแม่นม เห็นจะมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่มายังตำหนักดงบีเมื่อคืนนี้ ทว่าแม่นมผู้ฉลาดเฉลียวรับรู้ถึงจิตใจที่สับสนและซับซ้อนของกโยซึลในขณะนี้ แม้แต่นางเองก็พบว่ามันยากที่จะตัดสินว่าตัวเลือกใดดีกว่ากัน