ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 35-2 เพื่อนคุยที่ไม่คาดคิด
ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 35-2 เพื่อนคุยที่ไม่คาดคิด
กโยซึลกำลังตกอยู่ห้วงความคิดของตน จึงไม่สามารถตามบทสนทนาของรูแฮกับฮเยจินได้ทัน ดังนั้นเมื่ออยู่ๆ ฮเยจินหันมาพูดกับตน นางจึงถามกลับไปด้วยสีหน้ามึนงง
ครั้งแรกอะไรกัน กโยซึลทำสีหน้าประหม่าและกระสับกระส่าย ส่วนรูแฮที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็พยายามกลั้นขำ แม้จะมีเสียงลมเล็ดลอดออกมาเพียงนิด แต่มันก็ทำใบหน้าของกโยซึลถึงกับร้อนผ่าว
“หม่อมฉันหมายถึงเหตุผลที่องค์เซจาไปร้องขอให้พระชายาฮวางแทจามาเป็นเพื่อนคุยให้หม่อมฉันน่ะเพคะ” ฮเยจินอธิบายอีกครั้งอย่างใจดีและลื่นไหลให้แก่กโยซึล ซึ่งตามบทสนทนาไม่ทัน
“ผู้ที่ตั้งใจมองดูรูปสลักจากบ้านเกิดหม่อมฉันและบอกว่าชอบมัน นอกจากองค์เซจาแล้ว ก็มีพระชายา
ฮวางแทจาเป็นคนแรกเลยเพคะ”
“นั่นคือเหตุผลหรือเพคะ”
กโยซึลรู้สึกตกใจอีกครั้ง ครั้งแรกที่นางมาเยี่ยมเยจินนั้น นางรู้สึกได้ถึงความแปลกตาของสิ่งของต่างบ้านต่างเมือง จึงได้เที่ยวดูนั่นดูนี่ จนได้พบกับรูปสลักของอาณาจักรจินซองกุกเข้า มันเป็นรูปทรงที่ตนเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก อีกทั้งยังมีขนาดใหญ่โตนัก กโยซึลประหลาดใจ จึงได้สนทนากับฮเยจินเพียงไม่กี่คำ ทว่าเพียงด้วยเรื่องเท่านี้ ฮเยจินกลับนำไปพูดให้บินซองฟังอยู่หลายครั้งเชียวหรือ กโยซึลคิดว่ามันดูจะเป็นเรื่องที่น่าเบื่อเกินไป ฮเยจินรู้ว่ากโยซึลกำลังเกิดความสงสัย นางจึงได้พูดเสริม แน่นอนว่านั่นเป็นเพราะบินซองหูตาไว และกโยซึลก็เป็นคนที่เก็บสีหน้าไม่อยู่
“ปกติผู้อื่นแม้จะบอกว่ามันแปลกตา ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็พวกเขาก็จะมองด้วยสายตาเยาะเย้ย ว่ามันไร้ค่าเพคะ”
“อะไรกัน พวกเขามองรูปสลักอันงดงามนี้ว่าไร้ค่าอย่างนั้นหรือเพคะ”
เนื่องจากได้ฟังคำบอกเล่าที่คาดไม่ถึง จึงทำให้กโยซึลถึงกับหลุดปากออกมาอีกครั้ง ที่จริงแล้วบรรยากาศในห้องนี้ก็เอื้อให้นางเผลอพลั้งพูดบางอย่างอยู่แล้ว พวกเขาชินกับการพูดตามอำเภอใจของนางเสียด้วยซ้ำ
“เพราะว่าจินซองกุกเป็นรัฐบรรณาการ พวกเขาเลยมองว่าเราเป็นพวกอนารยชน ดังนั้นจึงเคยชินกับการปฏิบัติต่อกันเช่นนั้นเพคะ”
“ทำกันเกินไปจริงๆ” กโยซึลรู้สึกไม่พอใจ
“ถ้าเทียบกับมกกุกแล้วนั้น ฮวากุกก็เป็นประเทศที่อ่อนแอกว่า แต่ถึงอย่างนั้นมกกุกก็ไม่สามารถมาดูแคลนฮวากุกได้ แม้มกกุกจะเป็นจักรวรรดิที่เก่งกาจ แต่วัฒนธรรมของอาณาจักรอื่น ไม่ควรถูกตัดสินโดยมาตรฐานของพวกเขา อันที่จริงนี่ถือเป็นท่าทางที่โอหังยิ่ง ยิ่งเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ด้วยแล้ว ก็ควรระมัดระวังท่าทีให้มาก”
“เหตุใดจึงคิดว่าต้องระมัดระวังหรือพ่ะย่ะค่ะ” รูแฮซึ่งรับฟังกโยซึลอยู่เงียบๆ พูดแทรกขึ้นมา
“ทรงไม่คิดว่าทัศนคติเช่นนี้อาจนำไปสู่การปฏิบัติต่อผู้ที่อ่อนแอกว่าอย่างไม่เหมาะสมหรือเพคะ หม่อมฉันอาจจะพูดเกินจริงไปนัก ทว่าหากจักรวรรดิคิดว่าเพียงเห็นว่าอาณาจักรใดไร้อารยธรรม และดูแคลน เพียงเพราะอาณาจักรนั้นอ่อนแอ ไม่ถือว่านี่เป็นการหยามเหยียดผู้อ่อนแออย่างนั้นหรือเพคะ”
“ทรงคิดว่าเราไม่ควรหยามเหยียดผู้อ่อนแออย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เพคะ สำหรับผู้ปกครองอาณาจักรแล้วนั้น มิใช่ว่าควรทำให้การหยามเหยียดและการเลือกปฎิบัติต่อผู้อ่อนแอที่นำมาซึ่งความไม่สงบให้หมดไปหรือเพคะ”
“ทรงกำลังหมายถึงสวัสดิภาพของรัฐบรรณาการหรือพ่ะย่ะค่ะ”
รูแฮถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม รูแฮและกโยซึลพูดโต้ตอบกันอย่างรวดเร็ว ขณะนี้ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ชัดเจนได้จางหายไปอย่างสมบูรณ์ ระหว่างกโยซึลและรูแฮไร้ซึ่งการหยั่งเชิงซึ่งกันและกัน ไร้ซึ่งอาการสั่นไหวใด มีเพียงการแสดงความคิดเห็นของตนออกไปอย่างจริงจัง
“ไม่ใช่เพคะ แน่นอนว่าเรื่องการให้เกียรติซึ่งกันและกันควรจะมาก่อนเป็นอำดับแรกเพคะ”
“ทรงหมายถึงการเคารพกันขั้นพื้นฐานในฐานะมนุษย์หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่แล้วเพคะ”
“พระชายาฮวางแทจาทรงมีความคิดก้าวหน้านักพ่ะย่ะค่ะ”
รูแฮเผชิญหน้ากับสายตาท้าทายของกโยซึล ริมฝีปากของรูแฮยังคงยิ้มอยู่เสมอ แต่สายตาของเขาดูแข็งกว่าปกติ เขาในตอนนี้ไม่ใช่รูแฮ แต่เป็นฮวางเซจาแห่งมหาจักรวรรดิ
“แต่ในสังคมที่มีการเลือกปฏิบัติต่อผู้คน เราจะจัดการกับการถูกดูถูกเหยียดหยามและการเลือกปฏิบัติจากชนชั้นวรรณะและสถานะทางสังคมได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ ความเคารพขั้นพื้นฐานในฐานะมนุษย์นั้น สามารถทำลายตำแหน่งทางชนชั้นได้เลยนะพ่ะย่ะค่ะ พระชายาจะทรงทำอย่างไรกับเรื่องนี้”
“ร เรื่องนั้น” กโยซึลที่พรั่งพรูความเห็นออกมาไม่หยุดราวสายน้ำตกเกิดความลังเล
รูแฮทำการชี้ประเด็นต่ออย่างรุนแรง “อุดมการณ์ใดที่หยุดอยู่แค่อุดมการณ์ ก็ไม่พ้นการเป็นแค่อุดมคติที่ปฏิบัติไม่ได้จริงพ่ะย่ะค่ะ”
ฮเยจินที่เฝ้าดูการโต้เถียงระหว่างรูแฮกับกโยซึลได้พูดแทรกขึ้น
“อย่างน้อยพระชายาฮวางแทจา ก็ทรงเป็นผู้ที่ปฏิบัติตามอุดมการณ์ได้จริง ดังนั้นจะพูดว่าคำพูดของพระชายาไม่สามารถปฏิบัติได้จริงไม่ได้นะเพคะ”
กโยซึลที่อ้ำอึ้งจนพูดไม่ออกได้แต่กรอกตาไปมา หันมองไปยังฮเยจิน
“พระชายาทรงไม่พอใจกับการเลือกปฏิบัติต่อจินซองกุก แล้วก็ทรงพูดแทนพวกเรา และก็มิได้ทรงปฏิบัติต่อหม่อมฉันโดยปราศจากอคติด้วยหรอกหรือเพคะ ผู้ที่ปฏิบัติต่อหม่อมฉันโดยไม่แบ่งแยกเรื่องสีผิว สีผมนั้น มีไม่มากหรอกนะเพคะ”
ฮเยจินยื่นมือชี้ไปที่กำปั่นที่วางไว้ใกล้ๆ ที่นอนของนาง มันเป็นของขวัญที่กโยซึลมอบให้นางเพื่อแสดงความยินดีที่ตนตั้งครรภ์ มันคือกำปั่นที่ตกแต่งสวยงามตามแบบฮวากุก
“แน่นอนว่าผู้ที่ให้ของขวัญล้ำค่าถึงเพียงนี้แก่หม่อมฉันนั้น มีเพียงแค่พระชายาฮวางแทจาเท่านั้นเพคะ”
“ทรงตรัสเช่นนี้ ถึงเขินอายอยู่นัก แต่ก็ขอบพระทัยมากเพคะ”
“เนื่องด้วยพระชายาฮวางแทจาเองก็ทรงมาจากต่างบ้านต่างเมือง พวกเรานั้นกลัวว่าจะพระองค์ทรงเหงาเช่นกัน จึงได้ไปร้องขอให้พระองค์มาที่นี่เช่นนี้เพคะ”
แล้วบทสนทนาก็กลับมาเข้าเรื่องเดิมของฮเยจิน เรื่องเหตุผลที่ร้องขอให้กโยซึลมาเป็นเพื่อนคุยให้ บรรยากาศมาคุคลี่คลายลงไปได้อย่างเป็นธรรมชาติ และยังกลับมายังหัวข้อบทสนทนาเดิมได้อย่างดีเลยทีเดียว
“มิได้เป็นการเสียมารยาทใช่หรือไม่เพคะ หากหม่อมฉันไม่ได้อยู่ในสภาพร่างกายเช่นนี้ ก็คงจะเป็นฝ่ายไปหาพระชายาก่อนที่ตำหนักดงบีแล้ว”
“ไม่เลย ไม่เลยเพคะ” กโยซึลโบกมือปฏิเสธ ตอนนั้นเอง ฮเยจินก็พูดเสริมราวกับรอจังหวะอยู่
“เช่นนั้นพระชายาจะทรงมาเยี่ยมหม่อมฉันบ่อยๆ ได้หรือไม่เพคะ เมื่อทรงสะดวก” ฮเยจินพูดพลางมองไปยังท้องกลมโตของตน
“ในขณะที่หม่อมฉันต้องอยู่ในห้องนี้คนเดียว หม่อมฉันก็คิดอย่างหนักว่าจะทำอย่างไรให้หายจากความเบื่อหน่ายนี้ไปได้”
“ทรงจะคลอดเมื่อไรหรือเพคะ”
“ดูเหมือนว่าลูกน้อยของหม่อมฉันจะได้ออกมาดูโลกใบนี้ ก่อนฤดูร้อนจะสิ้นสุดลงเพคะ”
ฮเยจินลูบท้องตัวเอง ท้องกลมโตของนางค่อนข้างจะโป่งออกมามากแล้ว เนื่องจากเด็กในท้องถือเป็นหลานที่ล้ำค่าขององค์จักรพรรดิ การกระทำการต่างๆ จึงถูกจำกัดเป็นอย่างมาก หลังที่ท้องของนางโตขึ้นมาอย่างสะดุดตา ตอนนี้ฮเยจินจึงไม่อาจออกไปนอกตำหนักดงบีได้เลย ตำหนักบุกบีเต็มไปด้วยเส้นทองคำและควันธูปถ่านสำหรับลูกในท้องฮเยจิน นางสามารถออกไปรับแสงแดด ขณะเดินเล่นในสวนหลังตำหนักเฉพาะในช่วงเวลาที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ถือเป็นการอนุญาตให้ออกไปข้างนอกประการเดียวของนาง
“หม่อมฉันจะมาหาพระองค์ตลอดหน้าร้อนเลยเพคะ”
กโยซึลยิ้มและทำการสัญญา ข้อเสนอนี้ไม่มีทางที่กโยซึล ผู้ซึ่งชอบการมีเพื่อนและชอบการเดินเล่นจะไม่รับไว้ได้
***
ในขณะที่กโยซึลกำลังจะออกจากตำหนักบุกบี หลังจบการสนทนากับฮเยจินแล้ว นางที่กำลังก้าวออกจากประตูห้องบรรทมนั้น ได้ยินเสียงอันแผ่วเบาก็ไล่หลังมา ราวกับกำลังเฝ้ารอจังหวะนี้อยู่
“ทรงไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลยนะขอรับ”