ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 42-1 ความมืดสีคราม
ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 42-1 ความมืดสีคราม
“ฮวางเซจาทรงประทับอยู่กับหม่อมฉันในตอนนั้นเพคะ”
มีเพียงความเงียบ จนกโยซึลแอบสงสัยว่าเมื่อครู่ตนนั้นมิได้เพิ่งเอ่ยคำใดออกไปหรืออย่างไร ได้ยินประโยคเมื่อครู่แล้วใบหน้าบีพาอันก็ยังคงว่างเปล่า ไร้ซึ่งความรู้สึก ไม่มีแม้แต่ความเคลื่อนไหว
แปะ แปะ แปะ
เสียงปรบมือที่ช้า และเน้นน้ำหนักมือดึงขึ้น และในที่สุดบีพาอันก็เอ่ยปากขึ้น
“ช่างน่าซาบซึ้งใจ”
ในตอนแรกกโยซึลคิดว่าบีพาอันยกยิ้ม ทว่าหลังจากที่มุมปากของเขาขยับเพียงเล็กน้อย มันก็กลับมานิ่งสนิทเช่นเคย
“น่าซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
ด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกทำให้กโยซึลสะดุ้งตัวเล็กน้อย นางเม้มริมฝีปากแน่นราวกับว่านางกำลังพยายามที่จะระงับเสียงหัวใจที่เต้นดังอยู่ภายใน
น่าซาบซึ้งใจ
เป็นคำที่สามีไม่น่าจะใช้นิยามภรรยาของตนกับชายอื่นได้ เพียงแค่คำคำนั้นกโยซึลก็รู้สึกราวกับว่าความรู้สึกที่ตนไม่เคยยอมรับ ความรู้สึกไม่เคยได้พูดมันออกมาถูกบีพาอันล่วงรู้เข้าให้แล้ว แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่ทั้งสองคนรู้ดีอยู่แล้วมาตั้งแต่แรก ทว่าต่างไม่ยอมพูดถึงและเพิกเฉยมันไปเท่านั้น แต่ในตอนนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป
“หม่อมฉัน…”
“ช่างโชคดีโดยบังเอิญเสียจริง”
บีพาอันกล่าวเปิดประเด็นเพียงสั้นๆ แค่เพียงได้ยินน้ำเสียงเย็นชาที่พูดแทรกขึ้น กโยซึลก็สงบปากสงบคำในทันที
“คงไม่มีนางกำนัลคนใดในตำหนักบุกบีพบเห็นการแอบลักลอบพบกันของทั้งสองกระมัง ถึงไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงชายาเลย”
“ลักลอบพบกันอะไรกัน ไม่ใช่นะเพคะ”
กโยซึลรีบร้อนปฏิเสธ ทว่าบีพาอันก็ได้หาสนใจฟังนางไม่
“ชายาเป็นคนบอกเองเมื่อครู่มิใช่หรือ ว่าชายาอยู่กับฮวางเซจา นั่นคงเป็นเรื่องเมื่อแปดวันที่แล้วที่ฮวางเซจามิอาจเปิดเผยได้สินะ”
แปดวันที่แล้ว
เป็นสิ่งที่รูแฮบอกไม่ได้ว่าตนทำอะไรอยู่ที่ตำหนักบุกบี จึงทำให้สถานการณ์ของเขาตกอยู่ในสภาวะที่ยากลำบากยิ่งขึ้นจนในที่สุดก็ต้องถูกคุมขัง ความจริงเรื่องนี้กโยซึลได้ยินจากแม่นมที่ตนส่งไปสอดแนมที่ศาลหลวงแล้ว แต่ด้วยใจที่ร้อนรุ่ม เมื่อเจอหน้าบีพาอันจึงรีบร้อนพูดออกไป ไม่แม้แต่จะอธิบายเรื่องราวให้ละเอียดถี่ถ้วน ทว่าบทสนาก่อนหน้าก็ดำเนินไปอย่างลื่นไหล โดยที่กโยซึลไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติใด
บีพาอันเป็นคนช่างสังเกตุ หรืออาจจะเป็นเพราะเขามีความสามารถในการคิดแผนการยุทธศาตร์ต่างๆ ให้เหมาะกับสถานการณ์เบื้องหน้าอยู่แล้ว เพียงแค่กโยซึลบอกว่านางนั้นอยู่กับรูแฮ เขาจึงรู้ได้ทันทีว่ามันเป็นเรื่องเดียวกันกับเรื่องที่รูแฮไม่สามารถเปิดเผยได้
“แปดวันที่แล้ว เป็นวันนั้นเพคะ เราพบกับฮวางเซจาที่ตำหนักบุกบีโดยบังเอิญและได้สนทนากันเล็กน้อย องค์ฮวางเซจาอยู่กับเราครู่หนึ่ง จากนั้น…”
กโยซึลที่เล่าย้อนถึงเหตุการณ์นั้นด้วยน้ำเสียงฉะฉาน เมื่อถึงท้ายประโยคเสียงนางก็ค่อยๆ แผ่วลง
‘ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ก็ไม่มีทางช่วยเหลือเขาได้’
เป็นช่วงเวลาที่ตัดสินใจลำบาก แต่กโยซึลเชื่อมั่นว่ารูแฮนั้นไม่ใช่คนร้ายอย่างแน่นอน เขาไม่ใช่คนที่จะทำร้ายหรือใช่กลอุบายสกปรกกับใครได้ เพราะฉะนั้นเพื่อเขาแล้ว การโกหกเพียงเล็กน้อยย่อมทำให้ได้
กโยซึลที่หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งเริ่มพูดต่อ
“พระองค์ก็ตรัสว่ามีงานต้องไปทำต่อ แล้วก็เสด็จกลับไปเพคะ”
“ฮวางเซจากลับไปก่อนอย่างนั้นหรือ”
“เพคะ เราเห็นด้วยตาตนเองเลย เราพบกับองค์ฮวางเซจาระหว่างทางที่กำลังเดินออกมาจากตำหนักบุกบีหลังจากไปพบชายาเซจา องค์ฮวางเซจาเสด็จออกจากพระราชวังเหนือไปก่อนเพคะ ฮวางเซจาทรงมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำชั่วร้ายหรือแผนการชั่วร้ายใดที่เกี่ยวกับตำหนักบุกบีเลยเพคะ”
กโยซึลยืนยันอย่างหนักแน่น นางสังเกตใบหน้าของบีพาอันด้วยความประหม่า แต่ก็หาได้พบสิ่งใดจากสายตาเย็นชาและริมฝีปากที่ปิดสนิทของเขาไม่
“ท่านบอกว่ามิใช่การลักลอบพบกันใช่หรือไม่”
ในขณะที่กโยซึลกำลังตกอยู่ในความประหม่า บีพาอันก็เอ่ยถ้อยคำเกินจริงออกมาอีกครั้ง เมื่อได้ยินเช่นนั้นกโยซึลจึงรีบร้อนตอบกลับเสียงดัง
“พวกเราไม่ได้ลักลอบพบกันเพคะ!”
“หากมิได้เป็นเช่นนั้น ท่านกำลังจะบอกเราว่าฮวางเซจาเดินจากวังใต้ไปวังเหนือ แต่กลับไม่ได้เข้าพบองค์ชายาเซจา เพียงพบท่านแล้วก็กลับไปอย่างนั้นหรือ”
กโยซึลทำได้เพียงอ้าปากค้างไม่สามารถหาคำมาโต้แย้งได้ บีพาอันเริ่มซักไซ้ต่อ
“อีกทั้งฮวางเซจายังไม่เปิดเผยว่าในวันนั้นเขาทำอันใดบ้างให้แน่ชัด และมิได้เอ่ยถึงชายาเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่มันสามารถยืนยันความบริสุทธิ์ของเขาได้แท้ๆ เราคาดว่าการปิดบังเรื่องของชายาคงจะสำคัญกว่าความบริสุทธิ์ของตัวเขาเสียแล้ว หากนี่มิใช่การยืนยันว่าการปกปิดเรื่องการพบเจอกับชายาเป็นเรื่องสำคัญกว่าเรื่องการถูกกล่าวหาว่ามุ่งร้ายต่อทายาทขององค์เซจาและชายาเซจาแล้ว จะเป็นสิ่งอื่นใดไปได้อีก”
การคาดเดาของบีพาอันนั้นทั้งเฉียบแหลมและแม่นยำ
“หากดูจากความจริงข้อนี้แล้ว ธุระของฮวางเซจาแท้จริงคงจะเป็นชายามิใช่ชายาเซจากระมัง”
คำถามที่ราวกับโดนน้ำค้างแข็งเสียดแทงจาดบีพาอันทำให้กโยซึลไม่อาจตอบสิ่งใดกลับไปได้
“คงจะเป็นธุระมิชอบที่เอ่ยออกมาไม่ได้แม้ว่าตนจะถูกใส่ร้ายป้ายสีอยู่ก็ตาม”
คำพูดที่ออกมาจากปากของบีพาอันแต่ละคำกลายเป็นมีดที่ปักแทงใจของกโยซึลอย่างรุนแรง นางทั้งโมโหและเสียใจจนร้อนรุ่มไปทั้งตัว หากในตอนนี้เป็นช่วงฤดูหนาวจัดคงจะมีไอร้อนลอยจากหัวของกโยซึลเป็นแน่
“ไม่ใช่นะเพคะ ไม่ใช่การพบกันโดยมิชอบนะเพคะ”
“ไม่สักนิดเลยหรือ”
“…ไม่เลยเพคะ”
ทันทีที่ปฏิเสธออกไป กโยซึลพลันนึกถึงความใกล้ชิดของตนกับรูแฮในวันนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สัมผัสตัวกัน ทว่าในตอนที่ทั่วทั้งตัวของตนเต็มไปด้วยไออุ่นและกลิ่นของรูแฮก็เด่นชัดขึ้น อีกทั้งยังมีเหล่าดอกไม้สีฟ้าและจดหมายมากมายที่อัดแน่นอยู่ในลิ้นชักชั้นล่างสุดของโต๊ะหนังสือที่ตำหนักดงบี
“ช่างโกหกไม่เก่งเอาเสียเลย”
บีพาอันพ่นลมหายใจออกมา ใบหน้าของเขานิ่งสงบมาตั้งแต่ต้นต่างกับกโยซึลที่เปิดเผยความโกรธออกมาโดยง่ายและจมอยู่กับความรู้สึกของตน ราวกับว่าใบหน้าที่นิ่งเฉยนี้เป็นสิ่งเดียวที่ได้รับอนุญาตให้แสดงมันออกมา และบีพาอันที่มองกโยซึลอยู่ด้วยใบหน้าเรียบเฉยอยู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่อง เป็นเขาที่เคยถามคำถามไล่ต้อน
กโยซึลจนจนมุม และก็เป็นเขาอีกเช่นกันที่หาทางออกให้นาง
“แต่ถึงแม้ว่าชายาจะพูดเรื่องจริง มันก็ยังไม่สามารถยืนยันความบริสุทธิ์ของฮวางเซจาได้ ด้วยเหตุผลสองประการ”
“เหตุผลสองประการหรือเพคะ…”
“ประการแรก”
บีพาอันเริ่มนับด้วยน้ำเสียงทุ้มเข้มดั่งข้าราชการที่ตัดสินคดีความในระบอบอำมาตยาธิปไตย