ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 55-2 งานเลี้ยง
เสียงซุบซิบ แม้กโยซึลจะไม่ตระหนักรู้ แต่เหล่านางสนมที่นั่งอยู่ชั้นที่สามนั้นต่างพากันกระซิบกระซาบถึงกโยซึลกันอยู่
“คนผู้นั้นคือพระชายาฮวางแทจาสินะเพคะ”
“ดูเด็กกว่าที่คิดไว้เสียอีกนะเพคะ”
“ช่างน่าเวทนานัก เห็นเขาว่ากันว่ามาจากอาณาจักรเล็กๆ แล้วก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นความสง่างามของพระราชวังมกกุก คงจะตื่นตระหนกน่าดู”
เหล่านางสนมมองดูการเคลื่อนไหวของกโยซึล และแน่นอนว่าไม่ได้คอยเฝ้ามองเพียงอย่างเดียวแต่พวกนางก็เริ่มซักถามกันและกัน และนั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในกลุ่มของเหล่าข้าราชการด้วยเช่นกัน นี่คืองานราชการงานแรกที่กโยซึลปรากฏตัว แม้ในพระราชวังทั้งสี่ทิศจะมีการไปมาหาสู่กัน แต่ก็ไม่ได้มีใครให้ความสนใจในตัวนาง ทว่านี่เป็นการได้เข้าเฝ้าพระชายาฮวางแทจาเป็นครั้งแรก พวกเขาจึงจับตาดูและมีความอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก มีเพียงกโยซึลที่หาได้รับรู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้ไม่
“ชายา” บีพาอันเรียกกโยซึลเบาๆ “จงรักษาเกียรติด้วย ทำหลังให้ตั้งตรงแล้วเดินมองไปข้างหน้า ทำความเคารพอย่างสุภาพและเอาใจใส่ พยักหน้าเพียงเล็กน้อยให้ดูเป็นธรรมชาติ”
“ขออภัยเพคะ” ใบหน้าของกโยซึลร้อนวูบวาบ ดูเหมือนว่าลักษณะท่าทางที่ทำอะไรไม่ถูกของนางนั้นจะขัดใจบีพาอัน และคงจะทำผิดจากมาตรฐานการเป็นชายาของบีพาอันอีกด้วย เพื่อไม่ให้มีการตำหนิติเตียนใดเกิดขึ้นอีก นางจึงทำตัวให้สมเกียรติในฐานะที่เป็นพระชายาฮวางแทจาผู้สง่างามและสุภาพอ่อนน้อม หากทำได้ตามที่บีพาอันต้องการ เขาก็จะไม่สนใจในตัวตนอีก
กโยซึลยืดหลังให้ตรง และเพิ่มแรงไปที่มือที่วางอยู่บนมือของบีพาอัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแรงที่เพิ่มขึ้นหรืออย่างไร บีพาอันจึงหันมามองกโยซึลอีกครั้ง กโยซึลเหลือบตามองต่ำครึ่งหนึ่ง พร้อมเชิดคางไปทางอก ริมฝีปากเล็กอวบอิ่มอมยิ้มอย่างตื้นเขินไม่มากจนเกินไป ทำให้เกิดบรรยากาศที่ละมุนละไม ก้าวเดินนั้นไม่ช้าจนเกินไป พร้อมกับเอียงหน้าหันไปทักทายคนรอบข้างเล็กน้อย
“ดีกว่าที่คิดเสียอีก”
“เห็นอย่างนี้หม่อมฉันก็เป็นองค์หญิงของอาณาจักรหนึ่งนะเพคะ แม้ฝ่าพระบาทจะทรงลืมอยู่บ่อยครั้งก็ตาม”
เพราะบีพาอันไม่ได้ให้ความสนใจในตัวนางจึงไม่แปลกที่จะประหลาดใจ ช่างเป็นคำพูดที่แฝงการสอดเสียดไปในตัว แต่บีพาอันไม่ได้ตอบหรือดุว่าอะไร เนื่องจากกโยซึลต้องจดจ่ออยู่กับท่าทีในการเดิน จึงทำให้ในตอนนี้นางไม่ได้ยินคำคารวะจากรอบทิศทางอีกแล้ว กโยซึลแสดงให้เห็นถึงท่าทีที่สุภาพอ่อนน้อมแล้วก็เดินไปถึงที่นั่งในชั้นที่สองที่ถูกจัดเตรียมไว้ ส่วนโต๊ะที่อยู่ด้านขวาสุดของชั้นที่สองนั้นกโยยองนั่งอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าของกโยยองที่มองดูบีพาอันกับกโยซึลเดินเข้ามานั้นช่างดูขมขื่น แต่นางก็ยิ้มอย่างอารีในทันที แล้วต้อนรับคนทั้งสอง
“ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันปีพันปี เข้าเฝ้าฝ่าพระบาทฮวางแทจา และพระชายาฮวางแทจาเพคะ”
กโยยองที่ลุกขึ้นยืนทำความเคารพยืนรอจนกระทั่งบีพาอันกับกโยซึลนั่งลง บีพาอันนั่งอยู่ตรงกลาง และกโยซึลนั่งด้านขวาของเขา กโยซึลแอบมองไปทางด้านซ้ายของตน โต๊ะที่อยู่ข้างๆ นั้นว่างเปล่าไม่มีคนนั่ง ถัดไปนั้นมียอมินนั่งอยู่เพียงคนเดียว และโต๊ะตัวสุดท้ายนั้นบินซองนั่งอยู่ ส่วนฮเยจินที่เพิ่งคลอดบุตรไปได้ไม่นานไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงนี้ ขณะที่กโยซึลกำลังเกิดความสงสัยเพราะไม่เห็นรูแฮนั่งอยู่ อยู่ๆ นางก็รู้สึกว่ามีมือมาสัมผัสที่ไหล่
มือที่อบอุ่น
บีพาอันกำลังจับตัวกโยซึลให้นั่งหันหน้าตรงๆ เนื่องจากนางหันตัวไปมองทางด้านซ้าย
“ขอ ขออภัยเพคะ”
“ชายา อย่าลืมว่าท่านเป็นพระชายาฮวางแทจา เราหวังว่าท่านจะปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ เราคิดว่านี่คงไม่ใช่การขอร้องที่มากจนเกินไป”
กโยซึลพยักหน้า กโยยองอมยิ้มให้กับการกระทำอันแสนน่ารักของกโยซึลที่ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ทำบ่อยๆ ของเด็กหัวดื้อ
หลังจากนั้นไม่นานดึกวอล โอรันและมูก็มาถึง พวกเขาเดินขึ้นบันใดมา สายตาของกโยซึลที่มองดึกวอลอยู่ได้สบสายตากับเขา ดึกวอลส่งรอยยิ้มอันสง่างามให้กับนางพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย แม้จะเป็นใบหน้าที่สง่างามมีความภูมิฐาน ทว่าก็รู้สึกได้ถึงความน่าขนลุกของแสงวิบวับที่ส่องประกายอยู่ในดวงตาของเขา กโยซึลรีบหลบสายตาทันที และในสายตาของนางก็เห็นโอรันที่มองหน้านางด้วยความไม่พอใจเดินเข้ามา เมื่อโอรันสบสายตากับกโยซึล นางก็รีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นสีหน้าที่แย้มยิ้มอย่างสดใส การเปลี่ยนสีหน้านี้ก็เป็นเพียงการลดความเกลียดชังลงเพียงครึ่งเท่านั้น แล้วกโยซึลก็หันไปมองมู ผู้ที่มีตำแหน่งแทฮวางกุนเพียงคนเดียวในพระราชวังแห่งนี้
“โอ๊ะ พระชายาขี้โรค!” เมื่อมูเห็นกโยซึล เขาก็ตะโกนเรียกเสียงดังขึ้นมาพร้อมกับรีบวิ่งขึ้นบันไดมายืนอยู่ตรงหน้ากโยซึล กโยซึลเคยเห็นมูมาก่อนหน้านี้ในพิธีตั้งชื่อให้กับกโยรยูน แต่ในวันนั้นมูมัวแต่สนใจกโยรยูนจึ
จึงไม่รู้ว่ากโยซึลอยู่ที่นั่นด้วย ดังนั้นเขาจึงเพิ่งเอ่ยทักทายนางในวันนี้ การได้พบเจอกับกโยซึลในความทรงจำของมูนั้นคือวันที่ไปเยี่ยมกโยซึลกับโอรัน ในตอนที่กโยซึลนอนป่วยอยู่
ขณะที่กโยซึลกำลังกระพริบตาปริบๆ เพราะงงงวยกับคำเรียกที่ได้ยินเป็นครั้งแรก ที่ว่า ‘พระชายาขี้โรค’ มูก็เข้ามากอดนางอย่างแน่น ในพิธีตั้งชื่อให้กับกโยรยูน กโยซึลรับรู้ได้ว่ามูเป็นเด็กที่ไม่สนและมักไม่เกรงใจใคร
“พระชายาขี้โรค ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ ทรงบรรทมอยู่อย่างเดียวเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคือ แทฮวางกุน มู นามว่าดันมก มู ชื่อมูนี้หมายถึงความเข้มแข็งหนักแน่น ส่วนมูในชื่อรองนั้นหมายถึงหมอกพ่ะย่ะค่ะ”
มูที่กำลังโอบเอวกโยซึลแล้วเอาหน้ามุดไปที่ผ้าแพรสีฟ้าเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดพึมพำ ใบหน้าที่ยิ้มกว้างดูเกลี้ยงเกลาและสดใส มันคือความสดใสของเด็กวัยหกขวบ ส่วนสาเหตุที่มูเรียกกโยซึลว่า ‘พระชายาขี้โรค’นั้น เป็นเพราะครั้งแรกที่มูเจอกโยซึลนั้นนางนอนป่วยอยู่ กโยซึลยิ้มให้กับความน่ารักของมูแล้วลูบศีรษะของเขาเบาๆ
“หม่อมฉันหายป่วยแล้ว เพราะความเป็นห่วงของแทฮวางกุนเพคะ” เมื่อกโยซึลยิ้มให้ มูที่กำลังหัวเราะร่าก็มุดหน้าไปที่ผ้าแพรแล้วถูไถไปมา และในตอนนั้นก็มีมือใหญ่จากด้านซ้ายของกโยซึลมาดึงตัวมูออกไป