ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 6-2 ใจที่หวั่นไหว
ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 6-2 ใจที่หวั่นไหว
ผู้สืบทอดราชบัลลังก์ได้รับมอบหมายให้ดูแลงานทางการเมืองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิชาเรียนสำหรับผู้สืบทอด รูแฮ ผู้สืบทอดราชบัลลังก์อันดับสามเองก็เช่นกันที่ต้องดูแลงานพวกนี้เป็นประจำ ไม่รู้ว่าตนจมอยู่กับงานมากี่วันแล้ว วันนี้มีเอกสารที่จะต้องจัดการน้อย เขาจึงออกไปเดินเล่นเพื่อรับแสงแดดในช่วงกลางวัน ปกติแล้วเขาจะไปที่สวนหลังวังในช่วงสายของตอนบ่ายหลังจากจัดการงานเรียบร้อย
“ไม่ได้ออกมาเวลานี้นานแล้ว”
ดวงอาทิตย์อยู่กลางหัวพอดี รูแฮที่กำลังเดินไปรอบๆ สวนหลังวังได้มุ่งหน้าไปยังเนินเขาเตี้ยที่อยู่กลางสวน เขาต้องการไปที่เงาร่มไม้หญ่ที่อยู่กลางสวน ถ้าเกิดผิวไหม้เพราะแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิต่อให้เป็นคนรักก็อาจจะจำตนไม่ได้ แสงแดดในฤดูใบไม้ผลิไม่ร้อนมาก ผิวของตนอาจจะสุกไหม้โดยที่ไม่รู้ตัวก็เป็นได้
“แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้วที่เจอผู้ที่อยากให้มองมาที่เรา”
เขาค่อยๆ เดินทอดน่องอยู่ในสวนหลังวังฝ่ายนอก แต่ทว่าก็ไม่เจอใบหน้าของคนที่กำลังเฝ้ารออยู่ ด้วยความที่อยากพบหน้าบ่อยๆ รูแฮก็เลยแนะนำสวนหลังวังที่เขาชอบให้กับนาง ความเสียดายที่ว่าความสัมพันธ์นี้อาจไปได้ไม่ดีนักรบกวนจิตใจของรูแฮเหลือเกิน
“แม้แต่การคิดถึง ก็เป็นเรื่องน่าขบขันแล้ว”
รูแฮส่ายหัวอย่างเศร้าสร้อย น่าขันนัก การที่คิดถึงใบหน้าของคนที่เพิ่งเจอกันไม่กี่ครั้งแบบนี้มันช่างน่าขำ การที่คิดถึงนางในขณะที่ตนคือฮวางเซจาช่างเป็นเรื่องน่าตลกสิ้นดี เขาได้แต่หัวเราะแห้งๆ กับมัน
รูแฮที่ตั้งใจว่าจะนั่งพักตากลมเย็นๆ และรับแสงแดดที่กำลังพอดีได้เดินมุ่งหน้าเข้าไปใกล้ต้นไม้ใหญ่กลางสวน แต่ทว่าเหตุใดด้านล่างนั้นถึงมีผ้าแพรสีเหลืองตกอยู่ผืนหนึ่ง รูแฮเข้าไปหยิบผ้าแพรนั้น
“ในที่แบบนี้น่ะหรือ”
มันเป็นเสื้อนอกตัวบางที่เอาไว้คลุมไหล่ ดูเหมือนจะเป็นของหญิงสาวร่างเล็กคนหนึ่ง และในขณะที่รูแฮกำลังเอียงหัวขึ้นมองไปที่ด้านบนต้นไม้
“อย่านะ! อย่ามองขึ้นมาข้างบน”
เขาได้ยินน้ำเสียงที่ชัดถ้อยชัดคำจากด้านบน รูแฮผงะเล็กน้อยแล้วหยุดนิ่งไป แม้จะได้ยินแค่เสียงแต่ปากของเขาก็คันยุบยิบ อยากที่ยกยิ้มขึ้น
“เดี๋ยวจะเห็นใต้กระโปรง ฉะนั้นห้ามมองขึ้นมานะ ห้ามมองเด็ดขาด หม่อมฉันจะลงไปแล้ว”
“มิจำเป็นต้องพูดละเอียดขนาดนั้นก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
ใต้กระโปรงหรือ ใบหน้าของรูแฮร้อนวูบวาบ
มีเสียงดังกรอบแกรบมาจากด้านบน กิ่งไม้สั่นไหว ใบไม้ล่วงพัดผ่านไปอย่างฉิวเฉียด แกรก แกรก กิ่งไม้บางกิ่งแตกหัก กโยซึลที่กำลังรีบลงมาจากต้นไม้นั้น เท้าของนางเกิดพันเข้ากับชายกระโปรงจึงทำให้เสียสมดุล กิ่งไม้ที่นางจับไว้จึงหลุดออกจากมือ
“โอะ โอ๊ย!”
หลังจากได้ยินเสียงร้อง พลันรู้ได้ทันทีว่านางต้องตกลงมาแน่แล้ว กโยซึลรู้สึกได้ถึงใบไม้และกิ่งไม้ที่ผ่านตัวไปอย่างรวดเร็ว นางหลับตาปี๋
ตกแล้ว!
แต่ทว่าตนกลับไม่รู้สึกเจ็บสักนิดเมื่อตกถึงพื้น กลับรู้สึกได้ถึงมือนุ่มๆ ที่รองหลังและขาอยู่ กโยซึลค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างระมัดระวังแล้วนางก็ได้เห็นรอยยิ้มที่คุ้นเคย
“ระวังหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ยูอึลจินนี่เอง”
เป็นรูแฮ แต่กโยซึลเอาแต่เรียกเขาว่ายูอึลจินซึ่งเป็นชื่อในวัยเด็ก เป็นเพราะรูแฮยังไม่ได้บอกความจริงเรื่องฐานะของเขาให้กโยซึลรู้ รูแฮกอดรับกโยซึลที่ตกลงมาจากต้นไม้ไว้อย่างดี และด้วยอ้อมกอดที่กว้างใหญ่ของเขานี่เองที่ทำให้กโยซึลปลอดภัย
“ทรงไปอยู่บนต้นไม้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“เอ่อ หม่อมฉันชอบปีนต้นไม้น่ะ ก็เลย…”
กโยซึลหน้าแดง และพูดต่อด้วยน้ำเสียงเขินอาย
“ในวันแรก ยูอึลจินแนะนำที่แห่งนี้ให้กับหม่อมฉัน ตอนที่เห็นต้นไม้ใหญ่นี้ก็รู้สึกอยากปีนขึ้นไปทันที พอขึ้นไปอยู่บนต้นไม้แล้วก็รู้สึกได้ถึงสายลมที่สดชื่นมากขึ้น ทิวทัศน์ก็สวยงาม เหมือนได้เห็นตำหนักที่สง่างามทุกหลังในวังนี้อยู่ใต้เรา มันรู้สึกโล่งมากเพคะ”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอายที่ตกลงมาจากต้นไม้หรืออย่างไร กโยซึลจึงเริ่มชี้แจงต่างๆ นาๆ ยาวยืด กโยซึลที่ไม่ว่าจะเจอกันกี่ครั้งก็จะทำเรื่องแปลกที่คาดไม่ถึงให้ได้เห็นเสมอ จึงทำให้รูแฮได้ยิ้มและหัวเราะบ่อยๆ แล้วก็ยังทำให้เขาคิดถึงนางอยู่เสมอด้วย
“อยากให้พระราชวังอยู่ใต้ฝ่าพระบาทหรือพ่ะย่ะค่ะ ช่างเป็นความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่นัก”
“ก็ที่นี่ผูกมัดหม่อมฉันไว้จนอึดอัด”
“สมกับที่เป็นพระชายาฮวางแทจาพ่ะย่ะค่ะ”
พระชายาฮวางแทจา ใช่แล้ว หญิงที่อยู่ในอ้อมกอดตอนนี้คือพระชายาฮวางแทจา ภรรยาของพี่ชายตน ในขณะรูแฮที่พูดอย่างไม่ได้ตั้งใจกำลังจะวางกโยซึลลงที่พื้น
“จุ๊ๆ”
กโยซึลเอานิ้วขึ้นมาไว้ที่ปากอย่างรวดเร็ว คิ้วของนางขมวดเข้าหากัน
“โปรดเก็บเป็นความลับ ห้ามบอกฝ่าพระบาทฮวางแทจาฝ่านะเพคะ”
“ความลับ…หรือ”
“หม่อมฉันต้องระวังไม่ให้เกิดปัญหาต่อฝ่าพระบาท พระองค์อาจจะโกรธได้ ถึงแม้ว่าฝ่าพระบาทจะบอกกับหม่อมฉันว่าให้ทำสิ่งใดก็ได้ตามใจก็ตาม แต่ก็ทรงกำชับด้วยว่าอย่าทำอะไรที่เป็นการขวางเส้นทางของพระองค์ ทรงย้ำตั้งสองครั้งเชียวนะเพคะ”
“มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นนี่เอง”
เขาคิดว่าช่างสมกับเป็นบีพาอันจริงๆ พูดกับผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ด้วยความเยือกเย็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน กโยซึลยังคงบ่นอุบอิบทำเป็นไม่รู้ว่ารูแฮมีใจสงสาร
“บอกให้ทำสิ่งใดก็ได้ตามใจ แต่ก็ห้ามขวางทางข้างหน้า นั่นไม่ใช่การบอกให้ทำสิ่งใดก็ได้ตามใจไม่ใช่หรือ ในตอนนี้ใจของหม่อมฉันต้องการจะปีนต้นไม้ แต่ทว่าถ้ามีผู้ใดมาเห็นว่าพระชายาฮวางแทจาทรงปีนต้นไม้ ก็คงจะเป็นการทำให้ฝ่าพระบาทเดือดร้อนแล้ว”
“ถึงแม้อาจจะอันตราย แต่ก็จะเป็นปัญหาในเรื่องการประพฤติตนด้วยเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ฉะนั้นช่วยเก็บไว้เป็นความลับได้หรือไม่เพคะ ห้ามบอกฝ่าพระบาทเด็ดขาด หม่อมฉันกลัวเวลาที่ท่านโกรธ”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะเก็บไว้เป็นความลับ”
รูแฮตอบกลับด้วยความยากเย็น ถึงแม้มันจะไม่ใช่การสัญญาอะไรที่ยากเย็นนัก ทว่าเป็นเพราะคำที่ติดอยู่ในหูที่ทำให้ใจเต้น ไม่คิดเลยว่าคำว่าความลับจะหอมหวานถึงเพียงนี้ ตนอยากจะสร้างความลับใหม่ๆ กับนางให้มากขึ้น โดยเฉพาะความลับที่รู้กันแค่สองคน
กโยซึลเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาในทันทีโดยไม่รอรูแฮ
“แต่ว่า เหตุใดเราถึงเจอกันยากเช่นนี้เพคะ หม่อมฉันออกมาที่สวนทุกวันเพราะอยากพบท่าน จนเพิ่งจะได้เจอกันในวันนี้”
“ทรงตรัสว่าอยากเจอกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ”
รูแฮถามด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบ ตาที่โตของเขาจดจ้องไปที่กโยซึล กโยซึลไม่หลบสายแต่และจ้องมองกลับไป ริมฝีปากเล็กๆ ของนางเปิดออกอย่างไม่ลังเล
“ใช่ หม่อมฉันเสียใจมากที่ไม่ได้เจอท่าน”
ตึกตัก หัวใจของรูแฮสั่นไหวเพราะคำพูดที่ตรงไปตรงมาของกโยซึล