ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 67 ปลิดปลิว
ณ สถานที่ที่มีผ้าม่านผืนบางแขวนกั้นเป็นแนวยาว ท่ามกลางไอน้ำอวลฟุ้ง เครื่องประดับอัญมณีที่แขวนเรียงรายสั่นไหวเกิดเป็นเสียงใสดังก้องกังวาน แจกันและเครื่องอาบน้ำวางอยู่ประปรายบนโต๊ะตัวสูง กลิ่นหอมสดชื่นอ่อนๆ ลอยปนอยู่ในอากาศชื้น
ที่แห่งนี้คือห้องอาบน้ำ กลางห้องอาบน้ำมีเตียงใหญ่อยู่สองเตียง และที่ติดกันคืออ่างอาบน้ำขนาดกว้าง ที่อ่างอาบน้ำเอ่อล้นไปด้วยน้ำที่ถูกปรับอุณหภูมิให้เย็นสบาย ทั้งยังมีกลีบดอกไม้โรยลอยอยู่เต็มผืนน้ำ ในอ่างอาบน้ำที่มีเสียงจ๋อมแจ๋มออกมาเป็นระยะนั้นมีโอรันนั่งแช่อยู่ นางเอาตัวลงไปจนปิดร่างแทบมิด เหลือให้เห็นเพียงตั้งแต่ไหล่เปลือยเปล่าขึ้นไป
“ฮ่า…”
โอรันเอาตัวพิงที่ขอบอ่าง หัวของนางเอนหงายไปพิงพื้นข้างนอกอ่าง นางปล่อยให้ร่างของตัวเองดำดิ่งแล้วขยับยกตัวขึ้นมาบ้างเป็นบางครั้ง ขณะที่หัวคิ้วยกสูง ริมฝีปากบางกัดเม้ม และเปลือกตาปิดสนิท นางก็เปล่งเสียงครวญครางออกมา
“อึก…” โอรันเสียงกระเส่า
นางหลับตาพริ้มราวกับกำลังหลงใหลไปในบทกวี ไม่เพียงแค่ปิดเปลือกตาสนิท นางไม่อยากที่ใช้ตาไปมองที่ไหนแล้วด้วยซ้ำ
แฉะ แม้แต่เสียงของน้ำก็ยังให้ความรู้สึกแปลกประหลาด โอรันเอามือแกว่งไกวไปมา ผิวน้ำที่กระทบกับมือนางกลับกลายเป็นคลื่น กลีบดอกไม้อันบอบบางที่ทนรับลูกคลื่นไม่ไหวก็จมหายลงไป
“อือ…อึก” เสียงหวานเล็ดลอดผ่านไรฟันของโอรัน ฟังแล้วดูเหมือนเสียงสะอื้น ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหว เอาแขนออกไปวางข้างนอกอ่าง แขนบางจับขอบอ่างไว้แน่นจนเห็นข้อกระดูกปูดโปน นิ้วมือแต่ละนิ้วจิกโค้งเป็นทรงชัด
โอรันด่ำดิ่งเข้าสู่ความเพลิดเพลินที่มองไม่เห็น ร่างกายที่เคยเครียดเกร็งเริ่มผ่อนคลาย ความรู้สึกแสนสบายนั้นถูกส่งผ่านออกมาจากการถอนลมหายใจ
ตู้ม! เสียงน้ำแตกกระจายดังลั่น ในอ่างอาบน้ำปรากฏร่างกำยำร่างหนึ่ง ผู้ที่มาเยือนโอรันที่กำลังเสพสุขในอ่างอาบน้ำก็คือดึกวอลนั่นเอง
“ฮ่า!”
เสียงลมหายใจที่ไม่ราบเรียบนักดังพร้อมขึ้นกับหยดน้ำที่กระเด็นกระดอน ผมสยายยาวที่เปียกชุ่มถูกเขาใช้มือจัดการอย่างขอไปที หยาดน้ำน้อยๆ ไหลคล้อยลงไปตามกล้ามเนื้อของร่างกาย ดวงตาดำเข้มของดึกวอลจ้องมองไปที่โอรัน
“ไม่ว่าเมื่อใดชายาก็ยังคงงดงามอยู่เสมอเลยนะ”
เขาเลียริมฝีปากแล้วเข้าไปใกล้โอรัน โอรันที่ตอนนี้เต็มด้วยไปเสน่ห์เย้ายวนปล่อยร่างตัวเองให้ผ่อนคลายจนแทบรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอ่างอาบน้ำ ดึกวอลใช้แขนแกร่งสอดเข้าไปโอบกอดร่างบาง
“ฝ่าพระบาทเองก็ดูดีอยู่เสมอเช่นกันเพคะ” โอรันวางมือลงบนอกหนาของดึกวอล เพียงได้ลูบไล้บนอกแกร่งของชายชาตรี โอรันก็รู้สึกมีความสุขอย่างหาสิ่งใดเปรียบไม่ได้ เสียงน้ำกระเพื่อมฟังดูเย้ายวน ในอ่างอาบน้ำโอรันใช้ขาเกี่ยวเข้ากับเอวของดึกวอล ดึกวอลเองก็ใช้แขนข้างหนึ่งรองรับเอวบางของโอรันไว้ มืออีกข้างลูบไล้ไปตามเรือนร่างของนาง
เพียงไม่นานในห้องอาบน้ำก็เกิดเสียงคลื่นน้ำกระเพื่อมขึ้นอย่างคลุ้มคลั่ง น้ำที่เคยเต็มอ่างในยามนี้ล้นทะลักออกมาข้างนอกจนพื้นเจิ่งนอง กลีบดอกไม้อันบอบบางก็ไหลออกไปพร้อมกันจนหมด
หลังจากเสร็จสิ้นการเสพสมกิจทางกาย ดึกวอลกับโอรันก็นอนแผ่แช่ในอ่างอาบน้ำอย่างสบายอารมณ์ ในระหว่างที่พวกเขาตั้งใจทำกิจกรรมอย่างอื่นยิ่งกว่าการอาบน้ำ อุณหภูมิของน้ำก็ยังถูกคงเดิมเอาไว้ ข้ารับใช้ในห้องอาบน้ำคอยเติมน้ำเข้าไป ทั้งก็ระวังไม่ให้รบกวนความสุขของผู้เป็นนาย
ไม่เย็นเกินไป ไม่ร้อนเกินไป พวกเขาแช่ตัวลงในน้ำที่เย็นสบายพอดิบพอดี ไอน้ำอบอวลเกาะอยู่บนร่างท่อนบนที่โผล่เหนือน้ำ ทำให้รู้สึกสุขราวกับอยู่บนสวรรค์ ไม่ว่าจะความเหนื่อยล้าของร่างกายหรือจิตใจต่างก็ถูกผ่อนคลายจนหมด ในตอนนี้เองที่ดึกวอลเริ่มต้นบทสนทนา
“พระชายาฮวางแทจาออกมาจากตำหนักดงชอนแล้ว”
“ออกมาแล้วหรือเพคะ สรุปว่านางอยู่ที่นั่นนานแค่ไหนกัน” โอรันใช้มือจิ้มไปที่หน้าอกของดึกวอลเพื่อนับวันเวลาที่กโยซึลอยู่ในตำหนักหนักดงชอน
“ดูเหมือนจะเจ็ดหรือแปดวัน นึกไม่ถึงว่านางจะหลับนอนกับฮวางแทจาที่ไม่ต่างอะไรกับน้ำแข็งได้ ถือว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”
“ไม่รู้ว่าหลับนอน หรือแค่นอนหลับด้วยกันกันแน่นะเพคะ”
“จะบอกว่าไม่ใช่อย่างนั้นหรือ”
สามีภรรยาอยู่ในห้องเดียวกันตั้งเจ็ดวัน หากบอกว่าทั้งสองไม่มีสัมพันธ์อันใดกันเลยสิถึงจะเป็นเรื่องแปลก แต่คำพูดเหน็บแนมของโอรันก็ทำให้ดึกวอลเกิดความสงสัยขึ้นมา
โอรันที่เกลียดหน้ากโยซึลตั้งแต่แรกพบ เพียงแค่เป็นเรื่องเกี่ยวกับกโยซึลนางก็ตาเป็นประกายขึ้นมา แม้วังตะวันตกจะคอยจับตาดูและขัดแข้งขัดขาวังตะวันออกเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ท่าทีที่โอรันปฏิบัติต่อกโยซึลกลับยิ่งกว่านั้น และนั่นก็ทำให้ดึกวอลที่รู้ใจโอรันเป็นอย่างดีคอยจับตาดูกโยซึลมากเป็นพิเศษเช่นเดียวกัน
ดึกวอลซุกหน้าไปที่ซอกคอของโอรัน ต่อให้ข้ารับใช้ในห้องอาบน้ำจะเป็นคนของวังตะวันตกแต่การระวังเอาไว้บ้างก็ไม่เสียหาย โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับวังตะวันออกที่แสนจะลึกลับนั่นแล้ว พวกเขายิ่งต้องระวังขึ้นไปอีก เพราะว่าความลับยิ่งคนรู้น้อยเท่าไร เมื่อถูกเปิดโปงในเวลาที่เหมาะสมก็ยิ่งเป็นผลดีมากขึ้นเท่านั้น
“ดูเหมือนฮวางแทจาจะรู้ความจริงอยู่แล้ว”
ดึกวอลซุกไปที่คอของโอรันและขบกัดเบาๆ ที่ติ่งหูของนาง โอรันหัวเราะคิกคักด้วยความจั๊กจี้ก่อนจะขยับขึ้นไปอยู่บนตัวของดึกวอลอีกที ทั้งสองทำให้ภาพที่เห็นเป็นเพียงการล้อเล่นเรื่อยเปื่อยในสายตาคนทั่วไป จากนั้นโอรันก็ดึงคอดึกวอลให้โน้มลงมาก่อนที่จะพูดกระซิบกระซาบ
“รู้อยู่แล้วอย่างนั้นหรือเพคะ ถ้าเป็นฝ่าพระบาท ท่านยอมแบ่งชายาของตัวเองให้ผู้อื่นเชยชมด้วยความยินดีหรือเพคะ”
“ใครจะยอมแบ่งความหวานปานน้ำผึ้งของโอรันให้คนอื่นชิมกันเล่า”
ดึกวอลม้วนผมยาวสลวยของโอรันเล่นอย่างอ่อนโยน ปลายผมสวยที่เล็ดลอดเข้าไปที่หว่างนิ้วของดึกวอลถูกเขาเล่นจนพันกัน และเมื่อมือของเขาขยับก็ทำเอาศีรษะของโอรันต้องกระตุกตามไปด้วย โอรันแง่งอนด้วยท่าทางที่ดูออดอ้อนเพราะการกระทำที่หยาบกร้านของอีกฝ่าย ดึกวอลยืดตัวขึ้นประกบปากกับโอรันที่ตัวเอนไปข้างหลัง ท่าจูบแบบนี้ช่างให้ความรู้สึกแปลกใหม่ต่างกับทุกครั้ง ในระหว่างที่ดึกวอลใช้ปากของตนประกบรั้งกับปากของโอรันที่กระเง้าเย้าแหย่จนทำให้เขาเกิดอารมณ์พลุกพล่าน ดึกวอลก็เริ่มพูดขึ้นอีกครั้ง
“ฮวางแทจาต้องรู้ถึงความสัมพันธ์สกปรกระหว่างวังตะวันออกกับวังใต้อยู่เป็นแน่”
“ไม่มีทาง!” โอรันโวยวาย นางใช้ฝ่ามือฟาดไปที่ผิวน้ำจนกระเด็นซ่านไปทั่ว
“ทรงได้ยินมิใช่หรือเพคะว่าเขาถึงกับพานางมาดูแลที่ตำหนักดงชอนด้วยตัวเอง คนที่ไม่มีแม้กระทั่งเลือดหรือน้ำตาอย่างเขาไม่มีทางทำอย่างนั้นอยู่แล้ว!”
“โอรัน” ดึกวอลเรียกโอรันด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มและเสียงที่แผ่วบาง แต่เพียงแค่นั้นก็มีเพียงพอที่จะทำให้โอรันลดเสียงกระวีกระวาดลงได้ โอรันเบะปากทำหน้าบูดบึ้ง นางเอามือโอบคอดึกวอลแล้วซุกหน้าลงไป
“ต่อให้รู้ว่าพระชายาฮวางแทจามีตำหนิแบบนั้นเขาก็ยังช่วยปกปิดอย่างนั้นหรือ ไม่สิ ทำไมเขาถึงทำอย่างนั้นกัน”
“นั่นน่ะสิ ไม่ใช่ฮวางแทจาที่เรารู้จักเลย” ดึกวอลเองก็สงสัยไม่แพ้กัน
บีพาอันที่เห็นๆ กันมาจนทุกวันนี้ ต่อให้เป็นชายาที่รักของตนก็ตาม หากมาขวางทางสู่ราชบัลลังก์ของเขา เขาก็คงจะกำจัดผู้นั้นทันที แต่นี่ถึงกับใช้ข้ออ้างให้กโยซึลรักษาตัวในตำหนักดงชอนเพื่อจะปกป้องนางเชียวหรือ
“เป็นไปไม่ได้ คงไม่ใช่ว่ามีเรื่องอื่นที่เรายังไม่รู้หรอกนะ”
“เกรงว่าคงจะไม่ใช่แค่เรื่องฉาวธรรมดาสินะเพคะ เกือบจะทำพลาดไปเสียแล้ว”
“ดูท่าคงจะต้องคอยดูกันต่อไป”
โอรันกับดึกวอลเห็นพ้องกัน พวกเขาชำนาญเรื่องการรอคอยอยู่แล้ว การอดทนแล้วอดทนอีกเพื่อล่อเหยื่อและเตรียมหลุมพลางไว้ในเวลาที่เหมาะสมนั้นเป็นความสามารถพิเศษของพวกเขา หลังจากได้ข้อสรุปไปเรื่องหนึ่งแล้ว ดึกวอลก็ตั้งคำถามขึ้นอีกอย่าง
“ทางพระชายารองฮวางแทจาล่ะเป็นอย่างไรบ้าง”
ที่วังตกวันออกนั้นยังคงมีอีกบุคคลหนึ่ง ดวงตาของดึกวอลกับโอรันเป็นประกายขึ้นพร้อมกัน พระชายารองฮวางแทจาเองก็รู้เรื่องนี้อยู่แล้วด้วยหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องถามให้มากความ โอรันตอบกลับให้อย่างเรียบง่ายในทันที
“หม่อมฉันจะส่งคนสนิทไปที่วังตะวันออกเพิ่มเองเพคะ”
“เป็นอย่างนี้ ที่วังตะวันออกคงสนุกกันน่าดู”
“ต้องสนุกแน่นอนอยู่แล้วเพคะ”
ความสนุกจากในห้องอาบนี้ก็ได้เริ่มขึ้นอีกครั้งเช่นกัน
***
กโยซึลที่กลับมาถึงตำหนักดงบีเกิดคำถามอันซับซ้อนมากมาย นางเดินวนไปวนมาในห้องด้วยใบหน้าตึงเครียด นางเอนคอซ้ายทีขวาที ก้าวเดินไปช้าๆ ทีละก้าว มองดูดอกไม้สีม่วงดอกเล็กดอกหนึ่งในมือของตัวเอง
นี่เป็นดอกไม้ที่ถูกวางไว้ตรงหน้าต่างในตอนเช้าของวันนี้ ยังคงมีคนเอาดอกไม้มาวางทิ้งไว้ในตอนเช้าอย่างเช่นทุกครั้ง หากแต่ว่าหลังกลับมาจากตำหนักดงชอน ชนิดของดอกไม้ก็เปลี่ยนไป
จากดอกไม้ที่มีกลีบเล็กสีฟ้า มาเป็นดอกไม้ที่มีกลีบหยักอันน่าเสน่หาสีม่วง
ถ้าเป็นเพียงแค่อยากจะเปลี่ยนดอกไม้เฉยๆ นางเองก็คงไม่ติดใจอะไร ทว่านอกจากดอกไม้ที่เคยวางไว้ให้ทุกวันจะถูกเปลี่ยนแล้ว ยังเป็นเพราะคำพูดคำหนึ่งที่ทำให้นางไม่อาจปล่อยผ่านไปเฉยๆ ได้
‘จากนี้ดอกไม้นี้จะไม่บานอีกแล้ว’
เป็นคำที่บีพาอันพูดพร้อมกับบอกชื่อดอกกดมาลีในวันที่นางกลับมายังตำหนักดงบี หากจะบอกว่าดอกไม้ถูกเปลี่ยนหลังจากที่บีพาอันบอกว่ามันจะไม่บานแล้วก็ดูจะเป็นเรื่องบังเอิญเกินไป
“แถมยังทรงรู้ด้วยว่าชื่อดอกกดมาลี”
นางหยุดคิดถึงไม่ได้ นางเองก็รู้ดีว่าการที่เอาแต่คิดถึงเรื่องนี้ช่างเป็นการกระทำที่เสียเปล่า
“แต่ถึงอย่างนั้น…ก็ไม่มีทางที่คนให้ดอกไม้นี้จะเป็นฝ่าพระบาทไปได้”
เป็นการคาดเดาที่ตลกและเป็นไปไม่ได้เลยจริงๆ แต่ทำไมนางถึงรู้สึกอึดอัดใจกับความสงสัยที่มันไม่มีทางเป็นไปได้นี้กันนะ
‘เป็นดอกไม้ที่ชอบหรือ…พอดีข้าไม่ค่อยรู้เรื่องดอกไม้นัก’
แค่ดอกไม้สีฟ้า นางนึกถึงตอนที่รูแฮเห็นดอกกดมาลีแต่ก็ดูเหมือนจะไม่รู้จักมันขึ้นมา เขาเพียงแค่ต้องการแสดงทำเป็นไม่รู้เรื่องให้กโยซึลดูหรือ
“…หากว่าไม่ใช่อย่างนั้น”
เป็นไปไม่ได้ เช่นนั้นถ้าหากว่ารูแฮไม่รู้จักดอกไม้นั้นจริงๆ กโยซึลมองไปที่ดอกไม้สีม่วงด้วยแววตาสับสน
ก๊อกๆ เสียงเคาะที่แม้จะเบาแต่ก็ได้ยินชัดเจนดึงสติของกโยซึลกลับมา กโยซึลหลุดออกจากความสงสัยอันงี่เง่าของตนแล้วหันไปทางที่เสียงดังขึ้น
ก๊อกๆ เสียงเคาะดังขึ้นอีกครั้ง ตรงหน้าต่างที่มีคนวางดอกไม้และจดหมายไว้ให้ในทุกเช้า มีใครบางคนกำลังเคาะหน้าต่างนั้น
ตึก ตึก หัวใจของกโยซึลเต้นดัง ตอนนี้นางเต็มไปด้วยคาดหวังที่ว่าหากเปิดหน้าต่างนั้นอาจจะทำให้นางได้พบกับผู้ที่เอาดอกมาให้เป็นของขวัญแก่นางทุกวันก็เป็นได้
“ใครกัน…”
ทั้งใจเต้น ทั้งคาดหวัง แล้วก็ทั้งหวาดกลัว
ความรู้สึกที่สับสนปนเปนำพาให้กโยซึลเดินไปเปิดหน้าต่างบานนั้นในที่สุด หลังจากที่ดึงบานหน้าต่างให้เปิดออกเบาๆ สายลมเย็นก็พัดเข้ามา นอกหน้าต่างบานนั้นมีบุคคลน่าสงสัยยืนแหงนหน้ามอง
กโยซึลที่อยู่ข้างใน หลังจากที่ได้เห็นในหน้านั้นอย่างชัดเจนแล้วดวงตาของกโยซึลก็เบิกโตขึ้นทันที