ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 73-1 หลบซ่อน
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้กันนะ
กโยซึลที่นอนขดตัวอยู่บนเตียงกำมือแน่นพร้อมกดมันลงบนหน้าอก
แม้ในวันสุดท้ายของการอยู่ที่นี่เราจะไม่ได้พบเขา ก็คงจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากลับไปแล้ว
เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่กโยซึลนึกถึงบีพาอันขึ้นมา ว่ากันว่าเราจะไม่รู้ค่าของคนที่อยู่จนกว่าเขาจะจากไป หลังจากบีพาอันจากไป ราวกับว่าตำหนักกงรีมกที่ปกติก็เงียบสงบอยู่แล้ว กลับเงียบงันขึ้นไปอีก แม้ตลอดเวลาที่อยู่ที่ตำหนักกโยซึลจะไม่เคยได้เจอบีพาอันเลย ทว่านางกลับรู้สึกได้ถึงที่ว่างของเขา ความเงียบสงบที่เคยรู้สึกว่าสงบและเงียบงันกลับแปรเปลี่ยนเป็นความอึดอัดไร้ซึ่งชีวิตชีวา ตอนนี้ช่วงเวลาทั้งหมดที่ใช้อยู่ในตำหนักกลับน่าเบื่อไปหมด หรือที่รู้สึกเบื่อจะเป็นเพราะว่าอยู่ในตำหนักมานานเกินไปแล้วกันนะ ตอนนี้ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ซ้ำซากจำเจไปหมด กโยซึลไม่ออกไปแช่น้ำร้อน ไม่ออกไปเดินเล่น ไม่แม้แต่จะออกจากที่พำนัก กระทั่งหน้าต่างที่อยู่ใกล้หัวเตียงก็ถูกปิดไว้แน่นสนิท แม่นมที่ปล่อยให้กโยซึลทำตามใจตัวเองในวันสองวันแรก เริ่มเป็นกังวลขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าวันที่สาม กโยซึลไม่เคยนอนติดเตียงนิ่งสนิทเช่นนี้มาก่อนนอกเสียจากตอนป่วย หญิงผู้นี้เป็นคนร่าเริงชอบไปไหนมาไหน ไม่ใช่คนที่จะนิ่งเฉยไม่ทำอะไรอย่างนี้
“ทรงเป็นเยี่ยงนี้อีกแล้วหรือเพคะ”
ตั้งแต่มายังมกกุก นี่เหมือนจะเป็นนิสัยใหม่ของกโยซึล
“สมัยพำนักอยู่ที่ฮวากุก ทรงเสด็จไปไหนมาไหนข้างนอกทั้งวันทำให้หม่อมชั้นวิ่งวุ่นไปหมด แต่พอมายังมกกุก กลับอุดอู้อยู่แต่ในห้องไม่เสด็จไปไหน ทรงคิดจะให้หม่อมชั้นเบื่อตายหรือเพคะ”
คำที่คุ้นเคย เหมือนจะเคยได้ยินคำพูดนี้ที่ไหนมาก่อน แม่นมเปิดเผยความอึดอัดใจออกมาพร้อมกับเลิกผ้าคลุมเตียงขึ้น กโยซึลนอนนิ่งสนิทอยู่บนเตียงในสภาพเดียวกันกับเมื่อวานและวันก่อน
“ครานี้ทรงมีสิ่งใดไม่พอพระทัยหรือเพคะ ทรงมาแสดงความหงุดหงิดพระทัยถึงตำหนักนอก หม่อมชั้นละอายคนในตำหนักนอกไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้วเพคะ”
แม่นมเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอยู่รับใช้กโยซึลมานานหรืออย่างไร นางจึงเลือกที่จะดูสถานการณ์และบ่นไปตามประสา แทนที่จะแสดงความหงุดหงิดหัวเสียออกมาด้วยความเป็นกังวล
“เราเหนื่อย” กโยซึลตอบรับด้วยเสียงเซื่องซึมและพลิกตัวไปมา ไม่สนใจคำบ่นของแม่นม
“ทรงนอนอยู่เฉยๆ จะไม่ยิ่งเบื่อหรือเพคะ ลุกออกจากที่นอน เสด็จไปเดินเล่น สูดอากาศข้างนอกกันเถอะเพคะ”
“ตอนนี้เราหลับตาเดินยังรู้ทางในตำหนักเลย”
“ถ้าอย่างนั้นออกไปตลาดไหมเพคะ มาถึงตำหนักนอกทั้งทีออกไปเที่ยวชมนอกตำหนักบ้างดีหรือไม่เพคะ”
“ตลาดหรือ…” กโยซึลที่แสดงความสนใจออกมาชั่วครู่มุดหน้าลงกับผ้าห่มอีกครั้ง “เราไม่อยากไป”
“พระชายาเพคะ” แม่นมครวญครางออกมาด้วยความเหนื่อยใจ นางถอนหายใจพลางอ้อนวอนกโยซึล
“ถ้าทรงนอนอยู่อย่างนี้จะประชวรเอานะเพคะ อย่างน้อยระบายอากาศในห้อง สูดอากาศสดชื่นบ้างเถิดเพคะ ทรงปิดหน้าต่างแน่นสนิทอย่างนี้ทุกวันได้อย่างไรเพคะ”
แผนของแม่นมที่จะพากโยซึลออกไปสูดอากาศข้างนอกล่มลง และต้องประณีประนอมเปลี่ยนเป็นการเปิดหน้าต่างให้อากาศสะอาดเข้ามาในห้องแทน นางเดินไปยืนอยู่ข้างหน้าต่างใกล้กับเตียง
“อย่าเปิด!”
วินาทีที่แม่นมเอื้อมมือไปจับลูกบิดหน้าต่าง กโยซึลที่นอนอยู่อย่างไร้เรี่ยวแรงลุกขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมตะโกนออกมาเสียงดัง นี่เป็นครั้งแรกที่กโยซึลตะโกนเสียงดังและแสดงความก้าวร้าวออกมาอย่างไม่บอกกล่าว แม่นมที่ยืนนิ่งด้วยความตกใจและงุนงงหันกลับไปมองกโยซึล
“พระชายาเพคะ…”
แม่นมเปล่งเสียงออกมาด้วยความตกใจโดยไม่รู้ตัว ปลายนิ้วของนางสั่นคลอนพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตกใจหรือเศร้าใจกันแน่
“คือว่า…” กโยซึลก็ตกใจไม่แพ้กัน
เสียงที่เปล่งออกไปจากริมฝีปากคู่สวยทั้งสูงและก้าวร้าวอย่างไม่คาดไม่ถึง แม้แต่ในวัยเด็กกโยซึลก็ไม่เคยแม้แต่จะแสดงความก้าวร้าวต่อแม่นมขนาดนี้มาก่อน พื้นเพของกโยซึลนั้นนางเป็นคนอ่อนโยนและสุภาพไม่แม้แต่จะก้าวร้าวหรือดูหมิ่นข้ารับใช้ที่มีฐานะต่ำกว่าตน ไม่อยากจะเชื่อว่าตอนนี้นางจะกลายเป็นคนไม่มีเหตุผลขนาดนี้ไปได้
แน่นอนว่าการกระทำของกโยซึลนั้นมีสาเหตุที่มาที่ไป ดอกลิลลี่หุบเขาสีม่วงถูกวางไว้ในซอกระหว่างกรอบประตูหน้าต่างที่ใกล้กับเตียงที่สุด ก้านดอกถูกปักไว้กับซอกกรอบประตูหน้าต่างด้วยความพิถีพิถัน เพื่อป้องกันไม่ให้ดอกลิลลี่หุบเขาที่เ**่ยวแห้งง่ายหลุดโรยไปตามกาลเวลา แน่นอนว่าถ้าเปิดหน้าต่างกลีบดอกไม้ก็จะหลุดโรยไป กโยซึลกระวนกระวายใจ เกรงว่าหากหน้าต่างถูกสัมผัส ดอกไม้ดอกนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง ดอกลิลลี่หุบเขาไม่ใช่สิ่งอื่นได้แต่เปรียบเสมือนเครื่องหมายข้อตกลงระหว่างกโยซึลและรูแฮ กโยซึลสัญญาไว้ว่า หากเลือกที่จะเฝ้ารอรูแฮ ตนจะปักดอกไม้ไว้กับหน้าต่างที่พำนัก ดอกลิลลี่หุบเขาถูกปักไว้ตั้งแต่วันแรกที่บีพาอันกลับไป ทุกๆ วันตะเกียงน้ำมันจะถูกจุดทิ้งไว้ และกโยซึลก็ไม่ได้ออกจากที่พำนักตั้งแต่นั้น เหตุผลนี้จะบอกให้แม่นมรับรู้ไม่ได้เด็ดขาด
แน่นอนว่าแม่นมคงไม่ว่าอะไรเราหรอก แต่เรากลัวจะลากแม่นมมาเกี่ยวพันกับเรื่องไม่ดีเช่นนี้ ยากนักที่จะบอกเรื่องนี้กับนาง
ต่อให้ไม่บอกกับแม่นมตรงๆ แต่ถ้าเป็นแม่นมคนที่เฝ้าดูแลอยู่เคียงข้างกโยซึลมาตั้งแต่ก่อนจะเกิดแล้วล่ะก็ อาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้ว่าหัวใจของกโยซึลนั้นสั่นไหวไปทางไหน หากแต่ว่าการรับรู้ได้เองและเลือกที่จะอยู่ข้างกันเงียบๆ กับการขอให้ปกป้องดูแลกันตรงๆ นั้นต่างกัน กโยซึลไม่อยากบีบบังคับตัวเลือกข้อหลังให้กับแม่นม
“เราขอโทษ แม่นม”
กโยซึลขอโทษแทนที่จะยกข้ออ้างหรือบอกเหตุผลที่แท้จริง นางลุกออกจากเตียงและเดินไปหาแม่นม
อย่างเชื่องช้า แม่นมนั้นยังคงยืนนิ่งอยู่ในท่าเดียวกับตอนที่กโยซึลตะโกนออกมา กโยซึลจับมือของแม่นมแน่น นางออดอ้อนเป็นเด็กเล็กด้วยการเอนตัวเข้าไปในอ้อมกอดของแม่นมและพิงอยู่อย่างนั้น
“เราขอโทษ”
“…หม่อมชั้นขอประทานอภัยเพคะ”
“ไม่หรอก เราต่างหากที่ต้องขอโทษ เราแค่…แค่เหนื่อยนิดหน่อย เราจะพักผ่อนซักสองสามวัน”
“เพคะพระชายา หม่อมชั้นเร่งเร้าเกินไปเองเพคะ”
“ไม่สิ แม่นมทำไปเพราะเป็นห่วงเรามากเท่านั้นเอง”