ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 79-1 ความในใจ
ด้วยความคิดถึงน้องสาวที่ออกเรือนไปอยู่ต่างอาณาจักร องค์รัชทายาทมินกุงจึงอาสาเป็นทูตแทนพระองค์ในครั้งนี้ เหล่าเสนาบดีเมื่อรู้ว่าองค์รัชทายาทจะเป็นทูตด้วยตนเอง ก็ต่างพากันลุกฮือคัดค้าน ทว่าก็ไม่มีผู้ใดขัดความประสงค์อันแรงกล้าของเขาได้ จนในที่สุดเขาก็ได้รับอนุญาตจากองค์ราชาจอง
ขณะนี้ตรงหน้าของมินกุงที่ซึ่งออกเดินทางจากฮวากุกเพื่อมาให้ทันวันหยุดเฉลิมฉลองวันที่สองที่ถูกจัดขึ้นเพื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง คือเมืองหลวงแห่งมกกุก มินกุง คือโอรสองค์ที่สามแห่งองค์ราชาจองที่เกิดจากนางสนมยอนโจ ส่วนกโยซึลนั้น เป็นธิดาเพียงคนเดียวขององค์ราชาจองที่เกิดจากชายาเอกอย่างพระมเหสีโย ถึงแม้มินกุงจะเป็นเพียงแค่บุตรของนางสนม แต่เพราะราชาจองเห็นว่ามินกุงนั้นเป็น ‘ผู้ที่มีความสามารถพอที่จะเป็นราชาผู้ทรงเกียรติ’ คนต่อไปได้ จึงแต่งตั้งให้มินกุงเป็นองค์รัชทายาท พระราชวังฮวากุกที่ความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ดีกว่าราชสำนักใด อีกทั้งเหล่าพี่น้องต่างมารดาก็รักใคร่กันอย่างแน่นแฟ้นนั้น ทุกคนต่างยอมรับการตัดสินใจของราชาจอง และร่วมยินดีกับมินกุงด้วย ดังนั้นมินกุงที่รักและเอ็นดูกโยซึลเป็นพิเศษ มากกว่าพี่น้องร่วมท้องเดียวกันคนอื่น จึงอาสามาเป็นทูตแทนพระองค์เพื่อต้องการมาสอดส่องความเป็นอยู่ของกโยซึลด้วยตัวเอง
“พี่มาแล้ว อูรึม” มินกุงเรียกนามเดิมของกโยซึล
เขาที่เดินทางตามรอยองค์หญิงน้อยที่ต้องจากฮวากุกมากำลังตกอยู่ในห้วงแห่งอารมณ์ทำให้ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา มินกุงนึกย้อนไปถึงวันที่ตนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทูตแทนพระองค์ ในขณะที่เขากำลังเดินทางเข้าเมืองหลวงแห่งมกกุก ที่จริงแล้วเหล่าพี่น้องแม่ทัพและพลทหารแห่งพระราชวังฮวากุกต่างก็ไต้องการเป็นทูต เพื่อที่จะได้มาพบกโยซึลด้วยตนเอง ถึงขั้นที่แม้แต่น้องเล็กที่เพิ่งอายุได้เพียงหกขวบก็ยังเอ่ยปากขออาสา ดังนั้นทุกคนจึงไปรวมตัวกันที่วังตะวันออก เพื่อทำการประลองแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งทูตแทนพระองค์ และมินกุงผู้ซึ่งได้อภิสิทธิ์ ‘ทูตแทนพระองค์’ มาในที่สุด ก็ได้รีบไปขออนุญาติราชาจองในทันที
มินกุงที่ยกยิ้มขึ้นเมื่อนึกถึงใบหน้าของเหล่าพี่น้องที่ต่างเสียดาย โศกเศร้า และอิจฉาเขาไปพร้อมกัน ในตอนที่พ่ายแพ้ให้แก่ตนนั้น รู้สึกดีใจที่อีกไม่นานตนก็จะได้เจอกโยซึลเสียที เขาใช้เท้าเตะไปที่ท้องของม้าเบาๆ เพื่อเร่งความเร็ว
หลังจากที่เดินทางผ่านเหล่าเมืองเล็กเมืองน้อยที่อยู่ภายในเมืองหลวงของมกกุกมาสักพัก ในที่สุดก็เห็นพระราชวังอันโอ่อ่าที่แสดงถึงกำลังอำนาจอยู่ตรงหน้า ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ขี่ม้าผ่านประตูพระราชวังเข้าไปได้นั้นมีเพียงองค์จักรพรรดิ และองค์รัชทายาททั้งสี่เท่านั้น ดังนั้นมินกุงจึงลงจากม้ามายืนรอ แล้วส่งม้าให้กับขันที จากนั้นก็เดินตรงไปยังประตูใหญ่รองลงมาจากประตูแรกที่อยู่ทางขวามือ คล้อยหลังมินกุง เหล่าผู้ร่วมขบวนทูตที่เดินทางไกลมาจากฮวากุกก็เข้าไปภายในพระราชวัง
***
กโยซึลที่ดีใจที่ตนจะได้เจอกับพี่ชายของตนนั่งอยู่ข้างกายบีพาอันไม่ห่างอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย นอกจากทูตจากอาณาจักรอึลยองที่มาถึงเป็นอาณาจักรแรกแล้วนั้น ที่เหลือล้วนต่างเป็นทูตที่มาจากอาณาจักรที่เล็กกว่ามกกุกประมาณหนึ่งทั้งสิ้น ดังนั้นกโยซึลจึงไม่จำเป็นต้องอยู่คอยต้อนรับ ทว่านางที่ในตอนแรกจะต้องกลับไปยังตำหนักของตนเหมือนกับชายาคนอื่นๆ หลังจากทูตจากอาณาจักรอึลยองไปที่สำนักการทูตแล้ว กลับนั่งตาเป็นประกายมาจนถึง ณ ตอนนี้ บีพาอันที่ไม่รู้เรื่องราวทำเพียงส่งสายตาสงสัยไปที่นางในบางคราว
กโยยองเมื่อรู้ว่าพี่ชายของกโยซึลจะมาก็ไม่ยอมกลับไปเช่นกัน โอรันเองที่เมื่อเห็นว่ากโยซึลไม่ยอมลุกออกไป ก็กลับมานั่งข้างดึกวอลอีกครั้ง โอรันที่ไม่รู้เรื่องราวเพียงคิดว่ากโยซึลกระทำไปเพราะต้องการให้ตัวเองดูดีต่อหน้าออฮยูลเจเท่านั้น นางจึงไม่ยอมลุกออกไปด้วย กลับกัน บินซองที่ไม่อยากอยู่ห่างกับกโยรูนที่เพิ่งคลอดได้ไม่นาน เมื่อต้อนรับทูตจากอาณาจักรอึลยองแล้ว ก็กลับพระราชวังเหนือโดยทันที
กโยซึลที่ไม่ได้รับรู้ถึงสายตาของบีพาอันที่ส่งมาให้ เมื่อเห็นธงของอาณาจักรฮวากุกก็อุทานออกมาเบาๆ บีพาอันเมื่อเห็นกโยซึลอุทานออกมาก็ได้รู้ถึงสาเหตุที่นางไม่ยอมลุกไปไหน เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วละสายตาไป เยกงชินที่รับหน้าที่ดูแลจัดงานความสัมพันธ์ระหว่างภายนอกและภายในอาณาจักร ตะโกนออกมาเสียงดัง
“องค์รัชทายาทมินกุง ทูตแห่งฮวากุกเสด็จแล้ว!” เหล่าขุนนางระดับสูงที่นั่งอยู่ต่างพากันส่งเสียงเซ็งแซ่ภายในชั่วพริบตา ด้วยเพราะว่าไม่เคยมีองค์รัชทายาทจากอาณาจักรใดเคยเป็นทูตในพิธีการมาก่อน
ดวงตาของกโยซึลที่รอคอยช่วงเวลานี้อย่างใจจดใจจ่อพลันรื้นขึ้นด้วยน้ำตา นางไม่สามารถละสายตาจากใบหน้าของพี่ชายตน ผู้ที่รู้สึกราวกับว่าไม่ได้เจอกันมานานหลายปี
“ท่านพี่…”
***
“ท่านพี่!”
หลังจากที่ขบวนทูตจากฮวากุกออกไปจากพระราชวังกลางแล้ว กโยซึลที่ลุกจากที่นั่งก็วิ่งเข้าไปกอดมินกุงที่ยืนรออยู่หน้าประตูทางเข้า
“อูรึม ไม่ได้เจอกันนานเลย สบายดีหรือไม่” มินกุงยังคงเรียกนามเดิมของกโยซึล
เมื่อได้ยินชื่อของตนตอนที่อยู่ฮวากุก กโยซึลพลันรู้สึกว่าตนได้ย้อนกลับไปที่นั่นอีกครั้ง นางพยักหน้าตอบมินกุงที่ตอนนี้ยืนกอดตนที่เกี่ยวเกาะเขาแน่นเรากับเด็กน้อย พร้อมกับลูบหัวตนไปด้วย แม่นมที่ยืนอยู่ด้านหลังน้ำตาคลอเล็กน้อย และเอ่ยทำความเคารพมินกุง
“ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันเกรงว่าตัวหม่อมฉันจะดูแลพระชายาได้ไม่ดีแล้ว ขอพระราชทานอภัยด้วยเพคะ”
“ไม่หรอก แม่นม เพราะมีเจ้า เราถึงได้พอหายห่วงอยู่บ้าง แม่นมมิใช่คนที่ละเลยไม่ดูแลอูรึมเสียหน่อย”
มินกุงที่เอ่ยชมความพากเพียรของแม่นม ปล่อยกโยซึลจากอ้อมกอด เขาวางมือไปบนไหล่นาง พร้อมกับก้มหน้าลง ตาสีดำคู่นั้นมองสำรวจไปทั่วทั้งตัวกโยซึล กโยซึลรู้สึกเขินอายจึงก้มหน้าลงครู่หนึ่ง พลันยกยิ้มขึ้น แล้วเงยหน้าสบตากับพี่ชายตน
“ร้องไห้อีกแล้วสินะ เจ้าเจ้าน้ำตาถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าร้องไห้อยู่ที่ต่างถิ่นเช่นนี้ไปมากเท่าใดแล้ว อาหารการกินเป็นอย่างไรบ้าง ดูจากเครื่องแต่งกายของเจ้าแล้ว คงจะใช้ชีวิตโอ่อ่าในฐานะชายาฮวางแทจาเลยใช่หรือไม่ แล้วพบเจอสหายที่รู้ใจมากหรือยัง ฝ่าพระบาทฮวางแทจานั้นดีกับเจ้าหรือไม่”
“ฝ่าบาท ถามทีละคำถามเถิดเพคะ”