ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 79-2 ความในใจ
กโยซึลหัวเราะคิกคักราวกับเด็กน้อยให้กับคำถามของมินกุงที่พรั่งพรูออกมาราวกับสายฝน มินกุงจึงยกยิ้มใจดี พร้อมกับเอามือไพล่หลัง แล้วถอยห่างไปก้าวหนึ่ง
“มีความสุขหรือไม่”
กโยซึลที่เหม่อลอยอยู่ชั่วครู่เมื่อได้ฟังคำถามนั้น รีบยกยิ้มสดใส แล้วพยักหน้าแรงๆ
“เพคะ” ในตอนนี้กโยซึลเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
ภาพที่นางยืนเกาะแขนพี่ชายที่ไม่ได้พบกันนานอย่างมินกุง พลางพูดเจื้อยแจ้วอยู่นั้น ช่างไม่สมกับอายุของนางเลยสักนิด เหล่าข้ารับใช้ที่เดินผ่านไปมากล่าวคำคารวะสามพันปีให้นาง พลางก็แอบหัวเราะเบาๆ ให้กับท่าทีเหมือนเด็กน้อยนั่น ทว่ากโยซึลก็หาได้ใส่ใจ นางพามินกุงไปยังวังตะวันออก เมื่อถึงแล้วก็ได้เห็นรองเท้างามสองคู่วางอยู่บนบันไดหิน คู่หนึ่งนั้นเป็นของสนมเอกซาที่คงมารอกโยซึลอยู่ แต่อีกคู่หนึ่งนั้นไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นของผู้ใด ซังกุงจึงเอ่ยขึ้นว่า
“พระชายารอง กโยยองทรงรออยู่ด้านในเพคะ”
ในตอนนั้นเองกโยซึลจึงนึกขึ้นได้ว่าตนลืมกโยยอง แล้วออกมาจากพระราชวังกลางเพียงคนเดียว นางจึงรีบดึงตัวมินกุงให้ออกเดิน ด้วยเหตุนี้รองเท้าของมินกุงจึงร่วงจากบันไดหิน นางกำนัลที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงเก็บขึ้นมาวางไว้ดังเดิม เหล่าข้ารับใช้ของตำหนักดงบีต่างรู้ดีว่าเขาคือใคร ดังนั้นพวกนางจึงร่วมยินดีกับกโยซึลที่ได้พบเจอกับญาติมิตรที่ไม่ได้เจอกันนาน
มินกุงที่กำลังเดินผ่านประตูตำหนักอย่างเร่งรีบเอ่ยขึ้นว่า
“จำนวนประตูเท่ากับตำหนักของท่านพ่อเลย เทียบกับประตูตำหนักพี่ไม่ได้สักนิด”
“ท่านพี่ก็จริงๆ เลย”
กโยซึลที่หน้าแดงขึ้นเล็กน้อยรีบเร่งฝีเท้าขึ้นโดยไม่พูดอะไร และมินกุงเองก็ทำเพียงยกยิ้มแล้วมองไปที่นาง จนในที่สุดทั้งคู่ก็เข้ามาในห้องบรรทม และแน่นอนว่าสนมซา และกโยยองที่รออยู่ก็ต่างมาต้อนรับมินกุง
“หม่อมฉันคือสนมเอกซาเพคะ พระองค์คือพระเชษฐาของกโยซึลสินะเพคะ ทรงเดินทางมาไกล ลำบากองค์รัชทายาทแล้วเพคะ”
สนมซาก้มหัวเอ่ยทักทายขึ้นมาก่อน มินกุงที่รับคำทักทายนั้นเห็นว่าสนมซาเอ่ยเรียกกโยซึลอย่างเป็นกันเองก็โล่งใจ คิดว่าน้องสาวของตนคงจะได้พบเจอกับคนดีๆ ที่มกกุกแห่งนี้แล้ว แม้ว่าสนมวังหลังอย่างสนมซาจะต้องให้การยกย่ององค์รัชทายาทอย่างมินกุงอย่างถึงที่สุด ทว่าก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยค้านอะไรออกมา เป็นเพราะคำพูดยกย่องอย่างเป็นกันเองของสนมซานั้นไม่ขัดต่อบรรยากาศในตอนนี้ สนมซานั้นดูแล้วอายุน่าจะเท่ากับพระมเหสีโย กโยซึลที่แน่นอนว่าต้องคิดถึงความอบอุ่นของผู้เป็นแม่ จะต้องเป็นคนเข้าหาสนมซาก่อนแน่นอน มินกุงที่เห็นภาพนั้นอยู่ในหัวเผยรอยยิ้มที่มุมปากขึ้น แล้วกโยซึลที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็กระทุ้งที่ข้อศอกของเขา เพราะกโยยองกำลังเอ่ยทักทายเขาอยู่นั่นเอง
“หม่อมฉัน กโยยอง เป็นชายารองขององค์ฮวางแทจาเพคะ เพราะได้ฟังเรื่องพระองค์จากพระชายา
กโยซึลอยู่บ่อยๆ หม่อมฉันจึงรู้สึกค่อนข้างคุ้นเคยกับพระองค์ทีเดียวเพคะ”
เมื่อได้ฟังที่กโยยองเอ่ยแกมหยอกล้อ มินกุงก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
“ได้เห็นว่าอูรึมพบเจอกับคนดีๆ เช่นท่านทั้งสอง เราก็กลับบ้านอย่างสบายใจได้แล้ว”
มินกุงรู้อยู่แล้วว่าฮวางแทจานั้นมีชายารองอยู่แล้ว เมื่อกโยซึลได้แต่งตั้งให้เป็นชายาเอกทีหลัง จึงกังวลว่าอาจถูกริษยาได้ ทว่าพอได้เห็นชายารองสนิทกับกโยซึลเช่นนี้ มินกุงก็คลายความกังวลลง เมื่ออยู่ห่างกันเขาเพียงแค่เป็นห่วงเท่านั้น พอได้มาพบกันใกล้ๆ ได้เห็นว่ากโยซึลสบายดีก็พลอยเบาใจลงทีละน้อย แต่อีกใจหนึ่งก็แอบเสียใจที่ได้เห็นว่ากโยซึลสามารถอยู่ได้ด้วยตนเอง ถึงกระนั้นมินกุงก็ไม่ได้แสดงมันออกไป เพราะน้องสาวที่ตนรักกำลังมีความสุข
ในตอนนั้นเอง กโยซึลที่ยืนอยู่ข้างๆ มินกุงก็เดินเข้าไปหาสนมซา แล้วควงแขนนาง
“ท่านพี่ สนมแม่ซาคือผู้ที่ข้านับถือเป็นแม่ของข้าในตอนนี้”
มินกุงเพียงพยักหน้าราวกับว่าคาดเดาได้อยู่แล้ว
“ขอบคุณท่านที่เอ็นดูกโยซึล”
“หม่อมฉันได้บุตรสาวที่แสนน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้ในช่วงบั้นปลายของชีวิต นับเป็นพรจากสวรรค์แล้วเพคะ”
สนมซาและกโยยองอยู่ร่วมบทสนทนาอันแสนละมุนละไมต่ออีกไม่นานก็ขอตัวกลับ เพื่อให้พี่น้องทั้งสองได้พูดคุยถึงสิ่งที่กักเก็บไว้มานานนม ถึงแม้พวกเขาจะเป็นญาติที่เกี่ยวดองกันแล้ว ทว่าสตรีที่มีสามีแล้วอย่างสนมซาและกโยยองก็ไม่ควรอยู่ร่วมห้อง หรือร่วมสนทนากับชายอื่น มิงกุงและกโยซึลที่รู้เรื่องนั้นดีจึงไม่ได้รั้งทั้งคู่ไว้ เพียงเอ่ยคำลา
เมื่อประตูห้องปิดลง ทั้งห้องเหลือแค่กโยซึลและมินกุง มินกุงจึงค่อยๆ เริ่มถามคำถามที่ตนสงสัย
“เอาล่ะ ฝ่าพระบาทฮวางแทจาทรงดีกับเจ้าหรือไม่”
“อา เพคะ”
มินกุงที่เห็นกโยซึลอ้ำๆ อึ้งๆ ก่อนที่จะตอบออกมา ถอนหายใจเฮือกหนึ่งราวกับว่าเข้าใจแล้ว ถึงแม้จะอยู่คนละอาณาจักร แต่ก็ไม่ใช่ว่ามินกุงจะไม่เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับองค์ฮวางแทจาแห่งมหาจักรวรรดิมกกุก
“ข้ารู้ตั้งแต่ที่ส่งเจ้ามาที่นี่แล้ว เขาไร้สีหน้า เย็นชา และสุขุมเยือกเย็นสมดังชื่อของเขา ข้าเข้าใจดีว่าเจ้าต้องทุกข์ใจเพียงใดในตอนแรก” มินกุงเดาะลิ้นอย่างสลดใจ
กโยซึลอยากจะปฏิเสธว่าไม่ใช่อย่างที่เขาคิด เพื่อให้พี่ชายของตนคลายความกังวล ทว่านางก็พูดสิ่งใดไม่ออก นางไม่รู้จะทำอย่างไร จึงก้มหน้าลง
“แต่เห็นเจ้ามีความสุข ได้พบเจอกับสหายดีๆ เช่นนี้ พี่ก็เบาใจแล้ว สามีภรรยาน่ะ อยู่ๆ ไปเดี๋ยวก็รักกันเอง คนอย่างพวกเราต่างก็สมรสกันเพราะเรื่องการเมือง มีคู่ใดบ้างที่รักชอบกันตั้งแต่ต้น คนรุ่นหลังที่ได้สมรสกันเพราะรักที่จริงใจนั้นนับว่าโชคดีอย่างยิ่ง”
มือใหญ่ของมินกุงวางลงบนศีรษะของกโยซึลที่ก้มหน้าอยู่
“หากได้พบฝ่าพระบาทฮวางแทจาก่อนกลับก็คงจะดี แต่ผู้ที่มาในฐานะทูตอย่างข้า จะสามารถเข้าพบพระองค์เพียงลำพังได้อย่างไร นอกเสียจากว่าพระองค์จะเสด็จมาที่นี่แล้วได้พบกันโดยบังเอิญ”
“ฝ่าพระบาทไม่เสด็จมาหรอกเพคะ” กโยซึลพูดอย่างระมัดระวัง
มินกุงชะงักมือที่ลูบหัวกโยซึลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลูบต่ออย่างกลายๆ ทั้งคู่เงียบไปอยู่พักหนึ่ง มินกุงจึงเปลี่ยนหัวข้อไปเรื่องอื่น เพื่อทำลายความเงียบที่แสนอึดอัดนี้ลง
“จะว่าไปแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าจำได้หรือไม่”
“อะไรหรือเพคะ”
“ตอนที่เจ้ายังเด็กมาก เขาเคยมาที่ฮวากุก”