ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 86 ตั้งครรภ์
สายลมพัดผ่าน
สายลมเย็นโอบอุ้มความเย็นจัดเข้าห้อมล้อมพระราชวังไว้ ฤดูหนาวได้มาถึงอย่างรวดเร็ว หลังคาของพระราชวังที่ถูกประดับอย่างงดงามและกำแพงหินถูกปกคลุมด้วยหิมะขาว ภายในพระราชวังนั้นกักเก็บความลับเอาไว้ และปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างเงียบๆ
และในพระราชวังที่เริ่มหนาวเย็น ก็บังเกิดเสียงดังจากบางอย่างที่แตกกระจาย
เสียงนั้นดังมาจากตำหนักดงบี
เป็นแม่นมที่ทำถาดของว่างที่ตั้งใจจะนำมาให้กโยซึลหลังอาหารกลางวันหลุดมือ ทั้งกาน้ำชา ถ้วยน้ำชา และจานที่ใส่ขนมกินเล่นตกลงพื้นแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ น้ำชาสีเหลืองเจิ่งนองเต็มพื้น
“พ พระชายาเพคะ…?”
แม่นมหน้าซีดเผือด นางเดินเข้าไปหากโยซึล พร้อมกับมือที่สั่นไหว กโยซึลที่นั่งอยู่หน้าสำรับข้าว กำลังยกมือปิดปากตัวเองไว้ สำรับข้าวนั้นเต็มไปอาหารเลิศรสมากมาย ทว่ากโยซึลกลับขมวดหน้ายุ่ง ทำราวกับว่าอาหารพวกนั้นเป็นเพียงเศษอาหารที่น่าขยะแขยง
“อุก! อุก!”
นางคลื่นไส้ราวกับว่ากำลังจะขย้อนบางอย่างออกมา กโยซึลที่ตกใจกับอาการที่ตนไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร จึงเอาแต่มองไปที่แม่นมด้วยแววตาน่าสงสาร แม่นมที่รีบปรี่เข้าไปหากโยซึลลูบไล้ที่หลังของนาง แม่นมไม่อาจเก็บซ่อนความตกใจไว้ได้ นางจึงเอ่ยพูดทั้งปากที่อ้าค้าง
“พระชายา เกิดอะไรขึ้นเพคะ พระชายา พระชายา…”
มือที่สั่นระริกค่อยๆ ลูบไปที่หลังกโยซึลเบาๆ หลังจากนั้น
“อุก! อุก!”
กโยซึลยังคงพะอืดพะอมไม่หยุด ทว่ากลับไม่มีสิ่งใดออกมา นางเพียงคลื่นไส้เท่านั้น หาได้อาเจียนเอาสิ่งใดออกมาไม่ แต่เพราะเหตุนี้ถึงได้เป็นปัญหา
“อุก ม แม่นม อึก เอาของพวกนี้ออกไปที”
“เพคะ? ว่าอย่างไรนะเพคะ พระองค์ทรงหมายความว่าอย่างไรนะเพคะ”
กโยซึลที่เหนื่อยล้าต่ออาการคลื่นไส้ ทำได้เพียงแค่ยกนิ้วชี้ไปที่สำหรับตรงหน้า สิ่งที่นางชี้คือปลาผัดเผ็ด แม่นมที่ลูบหลังนางอยู่รีบยกจานปลาผัดเผ็ด และเครื่องเคียงที่มีกลิ่นแรงอีกสองสามอย่างออกไป ไม่นานกลิ่นอาหารก็จางลง อาการคลื่นไส้ของกโยซึลจึงเริ่มดีขึ้น แม่นมที่กลับเข้ามาในห้องบรรทมอีกครั้งไล่เหล่าซังกุงที่ยืนอยู่ข้างประตูออกไป ตอนนี้ไม่ว่าจะพูดดังเพียงใด ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินอีกแล้ว แม่นมเดินเข้าไปหากโยซึล แล้วลูบหลังนางช้าๆ นางมองกโยซึลด้วยแววตาเป็นกังวล หลังจากนั้นจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“พระชายาเพคะ ทรงพอจะคาดเดาได้หรือไม่เพคะว่าทรงเป็นอะไร”
อาการคลื่นไส้ถือเป็นเรื่องธรรมดา หากท้องไส้ปั่นป่วนก็ย่อมคลื่นไส้ได้โดยง่าย ทว่าท้องไส้ของกโยซึลไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น อีกทั้งยังมีอีกอาการหนึ่งที่เป็นไปได้เมื่อเกิดอาการคลื่นไส้ ทันทีที่แม่นมเห็นกโยซึลมีท่าทีทรมานอยู่ตรงหน้าสำรับข้าว ในหัวของนางก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมา เป็นสิ่งที่พอจะมีความเป็นไปได้อยู่ กโยซึลสัมผัสได้ถึงมือที่สั่นไหวของแม่นม นางจึงก้มหน้าที่บิดเบี้ยวเล็กน้อยลง
“จะว่าไปแล้ว…”
ทันใดนั้นแม่นมก็นึกขึ้นได้ว่าเร็วๆ นี้ตนไม่เห็นว่ากโยซึลมีรอบเดือนเลย ในขณะที่แม่นมกำลังสำนึกตนว่าตัวเองไม่ทันสังเกตุเรื่องรอบเดือน กโยซึลก็เอื้อมมือมาจับมือของนางไว้
“เราท้องอย่างนั้นหรือ” เสียงของกโยซึลสั่นระริก
ที่จริงแล้วคนที่หวาดกลัวมากที่สุดคือกโยซึล แม่นมพยายามหาคำสวยหรูตอบนางกลับไป เพื่อหวังจะให้นางใจเย็นลง “ถึงแม้จะยังไม่แน่นอน แต่ก็อาจจะเป็นเช่นนั้นเพคะ หม่อมฉันว่าให้หมอหลวงมาตรวจ…”
“ไม่ได้นะ” กโยซึลรีบห้ามแม่นม กโยซึลที่รั้งแขนแม่นมอยู่ส่ายหน้าด้วยใบหน้าร้อนรน พร้อมเอ่ยว่า
“ไม่ได้เด็ดขาด หากเราตั้งท้องจริงๆ มันจะกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย”
“ทรงหมายความว่า…” แม่นมที่เพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหยุดพูดไป
กโยซึลเป็นชายาของบีพาอัน ช่วงนี้บีพาอันไม่ได้มาที่ตำหนักของกโยซึล หากเรื่องที่นางตั้งท้องแพร่ออกไป จะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ปัญหานี้ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่อาจทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างมกกุกและฮวากุกได้ ทั้งสองคนก้มหน้าเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ในหัวของทั้งคู่ต่างเต็มไปด้วยความคิดยุ่งเหยิง หลังจากนั้นกโยซึลก็เอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ก่อนอื่นไปส่งสัญญานให้รูแฮรีบมาที่ตำหนักดงบีโดยเร็ว”
ไม่นานรูแฮก็มาถึงตำหนักดงบี เขาไม่เคยมาที่ตำหนักดงบีในยามฟ้าสว่างเช่นนี้มาก่อน เมื่อได้รับสัญญานจากจากโยซึล รูแฮก็ทั้งตกใจและกังวลอยู่มากนัก ขณะนี้รูแฮและกโยซึลอยู่ในห้องบรรทมของตำหนักดงบีกันสองคน แม้คู่รักกำลังเผชิญหน้ากัน ทว่ากลับไร้ซึ่งบรรยากาศอ่อนหวานเช่นเคย กโยซึลเม้มปากด้วยใบหน้าที่อ่อนเพลีย รูแฮเองที่กำลังกังวลใจก็ไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้ เกิดความเงียบงันระหว่างทั้งคู่ ช่วงเวลาที่น่าอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออกผ่านไป
“รูแฮ” กโยซึลเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก เสียงของนางสั่นไหว
รูแฮกำหมัดที่วางอยู่บนเข่าของตนเองแน่น
“หากเรามีลูกกัน จะทำอย่างไร”
เสียงที่เปล่งออกมานั้นแผ่วเบา ตาสองข้างของรูแฮเบิกกว้าง ลมหายใจของเขาติดขัด ด้วยอากาศที่ไม่เพียงพอทำให้ตอนนี้เขาเกิดเวียนหัว ปลายนิ้วของเขาสั่นระริก
ฮ่า หลังจากปล่อยลมหายใจออกมา รูแฮก็หอบหายใจติดขัด
“หมายความว่าอย่างไร กโยซึล หรือว่า…”
รูแฮรู้ได้ในทันทีว่ากโยซึลต้องการจะพูดอะไร กโยซึลวางมือไปที่ท้องของนางอย่างเป็นธรรมชาติ
“ยังเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน แต่ว่า…มีอาการหลายอย่างที่บ่งบอกว่ามันใช่”
“กโยซึล”
รูแฮรีบปรี่เข้าไปหากโยซึล รู้ตัวอีกทีนางก็เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้ว แขนยาวของรูแฮโอบกอด
กโยซึลไว้ทั้งตัว ไหล่ที่ผึ่งผายของเขารองรับศีรษะของนางไว้ รูแฮดึงกโยซึลเข้ามาในอ้อมอกของตน ริมฝีปากของเขาประทับไปที่แก้มของนาง เสียงจุมพิตอ่อนโยนดังอยู่หลายครั้ง รูแฮประทับริมฝีปากลงทุกส่วนของ
กโยซึลที่สามารถทำได้
“ขอบใจมากกโยซึล ขอบใจจริงๆ ขอบใจเจ้ามาก”
รูแฮพูดขอบคุณซ้ำไปซ้ำมาราวกับว่าพูดคำนี้เป็นอยู่คำเดียว กโยซึลเมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดของรูแฮก็พลอยคลายความกังวลออกไปได้ ดวงตาที่ปิดสนิทของนางมีน้ำตาไหลออกมา ทว่าที่ริมฝีปากกลับมีรอยยิ้ม เป็นน้ำตาแห่งความสุข ทุกอย่างจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี มันจะต้องไม่เป็นอะไร ความคิดในแง่ดีก่อเกิดขึ้นมาอย่างเลือนราง หากมีเขาอยู่ หากมีอ้อมกอดที่พึ่งพิงได้นี้อยู่ ไม่ว่าจะต้องเจอกับความยากลำบากเพียงใด ตนก็จะผ่านมันไปได้ ทุกอย่างจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี ตนไม่กลัวหากจะต้องเผชิญกับปัญหา เพราะมีเขาอยู่เคียงข้าง
รูแฮไม่ได้พูดอะไรมากนัก เขาทำเพียงกอดกโยซึลไว้แน่น อีกครั้ง และอีกครั้ง เขาโอบกอดนางไว้ พร้อมกับปลอบโยนนางไปด้วย ทั้งคู่จุมพิตกันไม่หยุด ทั้งยังกระซิบคำหวานต่อกัน ถึงจะทำเพียงเท่านี้ ทว่ามันก็เพียงพอแล้ว
***
“ตั้งครรภ์ขอรับ”
กโยซึลออกจากพระราชวังมาอย่างลับๆ แล้วตระเวนไปหาหมออยู่หลายที่ กโยซึลที่สวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาออกมากับแม่นมในตอนนี้ มองภายนอกนางเป็นเพียงหญิงชาวบ้านคนหนึ่งเท่านั้น หมอที่นางไปหาต่างตรวจดูชีพจรโดยไม่สงสัยอะไร และคำตอบที่ได้จากพวกเขาล้วนตรงกัน
นางตั้งครรภ์
หลังจากที่ทั้งคู่กลับมาที่ตำหนักดงบีก็ไม่มีใครปริปากพูดอะไรออกมา แม้ฟ้าจะเริ่มมืดลง ทว่าภายในห้องบรรทมก็หาได้จุดเทียนเพิ่มความสว่าง ทั่วทั้งห้องจึงตกอยู่ในความมืด การที่มีสิ่งมีชีวิตเติบโตอยู่ในท้อง ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี ทว่าในตอนนี้กลับเป็นสถานการณ์ที่ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้
“แม่นมรู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ” เสียงพูดแผ่วเบาราวกับฝุ่นผงที่ปลิวอยู่ในอากาศ “ไม่เป็นอะไรหรอก อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องที่คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว”
“พระชายา…” แม่นมไม่อาจเอ่ยอะไรออกมาได้
กโยซึลลุกขึ้นจากที่นั่งในฉับพลัน แม่นมตกใจ พลางมองไปที่กโยซึล
“พระชายาเพคะ?”
“เราจะไปหาฝ่าพระบาทฮวางแทจา”
“พระชายา!” แม่นมลุกขึ้นตามกโยซึล นางเข้าไปขวางทางกโยซึลที่กำลังจะเดินออกจากห้อง
“พระชายาเพคะ ทรงตั้งใจจะทำสิ่งใดกันเพคะ จะทรงไปหาฝ่าพระบาทเพื่อบอกอะไรหรือเพคะ ไม่ได้นะเพคะ มันจะต้องเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาแน่ๆ จะทรงบอกเรื่องนี้แก่ฝ่าพระบาทฮวางแทจาไม่ได้เด็ดขาดนะเพคะ”
“แล้วจะให้เราทำอย่างไร จะให้เราหลบซ่อนอยู่ที่นี่ตลอดสิบเดือน แล้วให้กำเนิดบุตรอย่างนั้นหรือ”
ในที่สุดกโยซึลก็หลั่งน้ำตาออกมา เสียงของนางสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว นางไม่มีทางที่จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายตน ไม่ต้องให้หมอตรวจดูชีพจร นางก็สามารถรู้ได้
กโยซึลกำลังตั้งท้อง ในท้องของนางกำลังมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ เติบโตอยู่ กโยซึลโอบท้องของตนไว้
“ไม่มีสิ่งใดที่เราทำเพื่อเด็กคนนี้ไม่ได้”
ถึงแม้กโยซึลจะยังไม่รู้ว่าการเป็นแม่คนนั้นเป็นอย่างไร ทว่านางสามารถทำทุกอย่างเพื่อเด็กที่อยู่ในท้องตนได้ นางต้องทำเพื่อเด็กคนนี้
***
แม้ว่าเดิมทีในฤดูหนาวภายในพระราชวังจะเต็มไปด้วยความรู้สึกเปลี่ยวเหงา ทว่าภายในตำหนักดงชอน ที่ซึ่งเป็นตำหนักของฮวางแทจานั้นกลับให้ความรู้สึกเงียบเหงาเสียยิ่งกว่า เหตุเพราะเหล่าข้ารับใช้รู้นิสัยของนายตนเป็นอย่างดี จึงอยู่กันอย่างเงียบเชียบ
เมื่อบีพาอันอยู่ที่ตำหนัก เขาจะอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องหนังสือ หรือไม่ก็ที่ห้องของตน เขามักจะใช้เวลาคนเดียวอย่างเงียบงัน ทว่าในตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับคนผู้หนึ่งอยู่ อาจเป็นเพราะในฤดูหนาวไม่ค่อยมีแสงแดด จึงทำให้ตอนนี้ใบหน้าขาวของกโยซึลยิ่งดูขาวขึ้น กโยซึลนั่งก้มหน้าอยู่ตรงหน้าบีพาอัน
“เรายุ่ง หากจะทรงนั่งอยู่เฉยๆ อย่างนี้โดยไม่พูดอะไร ก็จงกลับไปเถิด”
ในตอนที่กโยซึลเข้ามาในห้องนี้ได้กว่าชั่วโมงแล้ว บีพาอันก็เอ่ยออกมา กโยซึลเมื่อได้ยินเสียงเขา ตัวก็พลันสั่นสะท้าน หลังจากนั้นนางก็ก้มศีรษะลงจรดพื้น บีพาอันเบิกตาขึ้นเล็กน้อย เพราะตกใจกับการกระทำกะทันหันนั้น
“ทรงทำอะไร เงยหน้าขึ้นมาเดี๋ยวนี้”
“ฝ่าพระบาทเพคะ” เสียงที่สั่นไหวของนางฟังดูไม่ชอบมาพากล
บีพาอันนำโต๊ะเขียนหนังสือตัวเตี้ยที่ตั้งอยู่ระหว่างทั้งคู่ออกไป หลังจากนั้นก็ยื่นมือไปหากโยซึลที่หมอบอยู่กับพื้น และในขณะที่เขาเดินไปหานาง เพื่อจะประคองให้นางลุกขึ้น กโยซึลก็พูดขึ้นมา
“ขอประทานอภัยเพคะ ขอประทานอภัยเพคะฝ่าพระบาท หม่อมฉัน หม่อมฉัน ตั้งครรภ์เพคะ”
มือของบีพาอันที่กำลังเอื้อมไปหากโยซึลหยุดชะงัก ความเงียบบังเกิดขึ้นราวกับว่าเวลาหยุดหมุน ทั้งเสียงและการเคลื่อนไหวต่างถูกแช่แข็ง มีเพียงลำตัวที่สั่นสะท้านของกโยซึลเท่านั้นที่เคลื่อนไหวอยู่ บีพาอันที่มีสีหน้าราวกับหินสลักน้ำแข็ง เดินถอยหลังกลับไปนั่งที่เบาะรองนั่ง เขาวางมือลงบนหมอนอิงอย่างล่องลอย หลังจากนั้นบีพาอันก็ยกมือกุมหน้าผาก ตัวของเขาเริ่มสั่นขึ้นทีละนิด ทันใดนั้นบีพาอันก็แหงนหน้าไปข้างหลัง
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
มีเพียงเสียงหัวเราะที่ดังขึ้น