ดวงตาของเทพเจ้า God’s eyes - ตอนที่ 119
เชนปล่อยให้สัตว์พันธะของเขาออกล่าในขณะที่เขาบินผ่านป่าลึกไปยังทางเข้าถ้ำที่มีออร์คระดับผู้พิทักษ์และก็อบบลินจอมเวทย์
พวกมันคำรามออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว ทันทีที่เห็นเจสัน เชนและไฮออร์คที่ถูกมัด เชนดึงพลังออกมาและยิงกระสุนความมืดเล็กๆ ออกไป ทำให้พวกมันตายภายในเวลาอันรวดเร็ว
เจสันเริ่มชินกับความแข็งแกร่งของเชน เชนสังเกตเห็นว่าเจสันนั้นเริ่มชินกับเขาเวลาที่เขาใช้มานา ทำให้เชนยิ้มเบาๆ
พวกเขาเข้าไปในถ้ำที่ลึกถึง 10 เมตร เชนได้สร้างคริสตัลเรืองแสงขึ้น ด้วยความหนาแน่นของมานาภายในดินแดนต้องห้าม พวกมันกลายเป็นหินมานามากมาย
ภายในถ้ำถูกแกะสลักจามอุโมงค์ที่สามารถมองเห็นได้ ในขณะที่เข้าไปเรื่อยทางข้างหน้าก็กว้างขึ้น เชนเดินตรงเข้าไปในอุโมงค์ โดยไม่เสียสมาธิ ในขณะที่เขาปลดปล่อยมานาออกมาเพื่อป้องกันเซอร์ไพรส์ต่างๆ
เดเมียนเดินตามเชนเข้าไป และมองไปรอบๆ เขามองเห็นกระแสมานาทั่วทุกพื้นที่ และเมื่อพวกเขาเข้าใกล้แสงสีม่วงที่ดูหนาและบริสุทธิ์ มันรายล้อมได้วยสีต่างๆ ออร่ามานาเหล่านี้กระจายไปทั่วถ้ำ และมันยาวไปยั้นภายในถ้ำ
เมื่อเดินเข้ามาเรื่อยๆ เจสันก็คิดว่าพวกเขานั้นพบปลายอุโมงค์แล้ว เพราะมันส่างขึ้นด้วยมานาที่หนาแน่นในขณะที่มีอักษรรูนรายล้อม
เมื่อเดินไปถึงปลายอุโมงค์พวกเขาก็ได้เห็นว่ามันเป็นโถงถ้ำขนาดใหญ่ เมื่อก้าวเข้ามา เชนได้ทำลายกำแพงมานา และแสงจ้าที่เกินจากมานาและรูนก็จางหายไป และมันก็ปรากฏห้องอีกห้อง
เมื่อเดินเข้าไปในห้องโถง เจสันก็พบกรงจำนวนมาก เป็นพันๆ กรงวางเรียงแถวกัน ภายในกรงมีสัตว์หลากหลายชนิด เจสันประหลาดใจกับพฤติกรรมของสัตว์ที่อยู่ในกรง
พวกมันไม่สนใจใครเลยสักคน มันเงียบสนิทราวกับว่าพวกมันตายไปแล้ว แต่จากมานาเจสันก็รู้ว่าพวกมันนั้นยังไม่ตาย
มันดูแปลกๆ และเชนก็ได้ตอบคำถามของเจสันก่อนที่เจสันจะได้ถาม
“ฉันคิดว่าสัตว์เหล่านี้ทั้งหมดเป็นเพศหญิง มันอาจจะถูกลักพามาและถูกพวกก็อบบลินผสมพันธุ์เพื่อเพิ่มจำนวนประชากรของพวกมัน น่าแปลกที่แม้แต่สัตว์ที่มีลักษณะที่แตกต่างไปจากพวกมันโดยสิ้นเชิงพวกมันยังเอามาผสมพันธุ์”
เชนรู้สึกประหลาดใจ ที่ดูเหมือนว่าพวกก็อบบลินนั้นลักพาสัตว์ทุกชนิดที่เป็นเพศเมียมา เพื่อผสมพันธุ์และหวังที่จะเพิ่มเผ่าพันธุ์ตัวเอง
พวกเขาามารถมองเห็นสระน้ำเทียมขนาดเล็กที่มีสัตว์ะเลอยู่ภายใน และเจสันไม่สามารถบอกได้ว่าพวกมันคือสัตว์ชนิดไหน มันน่าตกใจจริงๆ ที่ได้เห็นแบบนี้ และเมื่อผ่านไปสักพักพวกเขาก็ได้พบมนุษย์ที่เป็นเหยื่อของพวกก็อบบลิน
เจสันเบิกตากว้างด้วยความตกใจและรีบเดินตรงไปหาพวกเขา และเขาก็ได้มองเห็นดวงาไร้วิญญาณของผู้หญิงคนแรกที่เขาพบ
‘พวกเขาสูญเสียความตั้งใจที่จะมีชีวิตอยู่’
เขาคิดเศร้าขณะที่เขายังคงเดินไปที่กรงที่มนุษย์อาศัยอยู่ มีกรงแบบนี้มากมายหลายร้อยกรง เจสันรู้สึกเวทนาเมื่อได้เห็นผู้หญิงเหล่านี้ เสื้อผ้าพวกเขาถูกฉีกออก แม้แต่เนื้อหนังก็ถูกฉีกออก พวกเขาเหมือนไม่มีความรู้สึกและเหมือนได้ตายไปนานแล้ว
ใครจะรู้ว่าพวกเขาต้องทนทุกข์ทรมาณมานานขนาดไหน ไม่แปลกใจที่พวกเขาเป็นแบบนี้ เจสันหันไปหาเชนและพูดอย่างลังเล
“ช่วยพวกเขาได้ไหมครับ บางทีอาจจะยังไม่สายเกินไป”
เชนที่อยู่มานานและคุ้นเคยกับกรณีนี้ แต่มันก็แตกต่างกัน
“ฉันจะเปิดประตูกรงให้ทุกคน และหากใครที่อยากจะเอาตัวรอดพวกเราก็จะช่วย แต่ถ้าหากใครที่เกินเยียวยา เราก็จะปลดปล่อยพวกเขาจกความทุกข์ทรมาณ”
หลังจากที่พูดเช่นั้นเชนก็ปลดปล่อยมานาออกมาและมันทำให้ประตูกรงทุกบานเปิดออก
ดวงตาของเจสันเบิกกว้าง
‘ปลดปล่อยพวกเขาจากความทุกข์ทรมาณงั้นหรอ หมายถึงฆ่าพวกเขาหรอ’
เขากลืนน้ำลายและคิดว่าทำแบบนั้นไม่ได้
เจสันฆ่าสัตว์ร้ายหลายชนิด แต่มันแตกต่างจากมนุษย์เหล่านี้ เจสันสับสนว่าควรทำอย่างไรในสถานการณ์นี้ ในขณะที่มีผู้หญิง 2-3 กำลังใช้กำลังทั้งหมดของตัวเธอเพื่อลุกขึ้นและออกจากกรง
เมื่ออกมานอกกรง พวกเขาก็ได้เห็นเจสันและเชน ทำให้พวกเขาร้องไห้และทรุดลงกับพื้น เจสันอยากวิ่งไปหาพวกเขาแต่เชนรั้งเอาไว้
“อย่า คนพวกนั้นอาจจะติดโรคติดต่อมาจากพวกก็อบบลิน เจ้าจงแยกแยะความคิด ในสถานการณ์แบบนี้ อย่าปล่อยให้ตัวเองนั้นทำตามใจคิด จำเอาไว้”
เจสันหยุดฟังเชน และคำพูดของเชนก็ทำให้เจสันสงบลง หนังสือที่เจสันอ่านบางเล่มได้เล่าถึงโรคติดต่อมากมายทำให้เจสันสั่นเทาด้วยความตกใจ
เชนครุนคิดและเจสันมองเชนอย่างมีหวัง เพราะเจสันเองไม่เคยพบสถานการณ์แบบนี้และไม่รู้ว่าควรทำอะไรยังไง และเขาหวังว่าเชนจะทำอะไรซักอย่าง
แต่ความคิดของเจสันก็ต้องพังลงเมื่อเชนกล่าวขึ้น
“เอาเถอะ อย่างไปสนใจผู้หญิงเหล่านี้เลย หลังจากที่เราผ่านถ้ำแล้ว เราจะโทรหาทิลลื และไม่ต้องสนใจสิ่งที่ฉันพูดเกี่ยวกับการปลดปล่อยพวกเขาออกจากความทุกข์ทรมาณ ไปกันเถอะ”
แต่ถ้าพวกเขาตายละ อย่างน้อยก็ให้โอกาสคนที่อยากมีชีวิตรอด เจสันตกใจมากที่ได้ยินเชนพูดเช่นนั้น เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาก็คือเผ่าพันธุ์ของตัวเอง
ครุ่นคิดอยู่สักพัก เชนก็พูดขึ้นมา
“อ๊ากก ลืมไปว่าเจ้าเพิ่งเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ครั้งแรก เอางี้โอเค ฉันจะโทรหาเรียกหน่วยกู้ภัยให้มาช่วยละกัน แต่แต่พวกเขาต้องยอมรับเงื่อนไขของฉัน”
เจสันมองเชนด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
“คุณลองพูดมา”
เจสันกล่าวอย่างลังเล
“ง่ายมาก ทีมกู้ภัยเหล่านี้จะไม่ได้ช่วยเพียงแค่มนุษย์ แต่จะช่วยสัตว์ทุกตัวที่อยู่ที่นี่ เนื่องจากพวกมันหายากและดีที่จะขยายพันธุ์เพื่อเป็นสัตว์พันธะของพวกมนุษย์ แต่พวกเขาต้องจ่ายราคา 20% ของราคาตลาด และอีก 20%จากอุปกรณ์ต่างๆ ภายในที่นี่ ซึ่งฉันรับเป็นสตาร์โน๊ตและหินมานาเท่านั้น”
เชนกล่าวด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่เจสันมองเห็นความโลภในดวงตาของเชน
เมื่อพิจารณาว่าสัตว์เหล่านี้มีความอยากที่จะมีชีวิตต่อนั้นน้อยมาก 20%จึงถือว่าเป็นราคามหาศาล
เจสันพบว่าราคา 20% ของเหล่าสัตว์นั้นเป็นเพียงข้ออ้าง ในขณะที่ 20% สำหรับสิ่งของและอุปกรณ์นั้นดูจริงกว่า
ยิ่งไปกว่านั้นก็มีปัญหาอื่นๆ ปรากฏขึ้นในใจของเจสัน
“ผมคิดว่าอย่างที่สองพวกเขาอาจจะยอมรับ แต่อย่างแรกผมคิดว่าไม่นะ และจะเป็นยังไงหากเขารับปากว่าจะให้คุณ แต่สุดท้ายเขาไม่ให้คุณละ”
“ง่ายๆ ฉันแข็งแกร่งที่สุดในที่นี่ และพวกเขาจะได้เห็นว่าไม่ควรที่จะผิดคำพูดกับฉัน ปละข้อเสนอแรกนั้นก็ไม่ได้เลวร้ายและมีค่าควรที่จะพิจารณา ”
เชนพูด
เจสันทำได้เพียงพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ และก็มีหน้าจอโฮโลแกรมปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา เชนเปิดดูและพบว่าทิลล์กลับไปอยู่ที่เมืองแล้ว
เจสันโทรหาทิลล์ เมื่อรับสายทิลล์รู้สึกประหลาดใจกับข้อมูลที่เจสันให้มา เขายอมรับเงื่อไขที่ระบุมาทั้งหมดอย่างไม่เต็มใจ แต่เชนก็ได้ช่วยเมืองเอาไว้และเรื่องที่มีแสงประหลาดต่อสู้กับไฮอร์คคงกระจายไปทั่วเมืองแล้ว
ผู้เฒ่าเดร็กที่ยืนข้างๆ ทิลล์เขาก็ยอมรับในข้อเสนอเช่นกัน และทุกที่ก็ปลอดภัยจากฝูงก็อบบลิน ยกเว้นบางพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบการจากบุกรุกของเหล่าก็อบบลิน
แต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีสัตว์จำนวนมากที่ถูกขังอยู่ในห้องใต้ดินของอาณาจักก็อบบลิน และพวกเขาต้องเสียเงินจำนวนมหาศาลหลังจากยอมรับเงื่อนไขของเชน เจสันได้ส่งพิกัดไปให้ ในขณะที่เชนหัวเราะออกมาด้วยความปิติ
“ฮ่าๆ ปกติแล้วฉันจะไม่สามารถขายสัตว์พวกนี้ได้ แต่ตอนนี้ฉันรวยแล้ว ฮ่าๆ “
เจสันขวมดคิ้วและมันก็เป็นเรื่องจริง เชนไม่สามารถเคลื่อนย้ายสัตว์เหล่านี้ไปยังเมืองไวโรได้ โดยไม่ทำให้เกิดโกลาหลและเขาก็ไม่สามารถขายพวกมันได้ในเมืองเนื่องจากเขาไม่ใช่พ่อค้าขายสัตวื และเขายังถูกหมายหัวจากครอบครัวใหญ่ต่างๆ
แต่ที่เจสันเป็นสื่อกลางในการต่อรอง ทำให้เชนสามารถได้รับโชคลาภมากมาย ทำให้เขามีความสุข
“ไปกันเถอะ พวกเรายังเหลือเวลาอีกมาก กว่าพวกกูภัยจะมาถึง”
เชนตะโกน ขณะที่อุ้มเจสันขึ้นและลอยผ่านอุไมงค์ไปถัดไป