ดวงตาของเทพเจ้า God’s eyes - ตอนที่ 53
เจสันรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ทับหัวของเขาอยู่ และแน่นอนว่ามันคืออาร์เทมิส
เจสันตื่นขึ้นมาแล้วได้ลูบหัวของมัน ก่อนที่เขาจะเข้าไปสู่โลกวิญญาณเพื่อฝึกเทคนิคนรกสวรรค์ เจสันได้สังเกตเห็นว่าแกนโลกวิญญาณของเขามีขนาดเพิ่ขึ้นในขณะที่พลังวิญญาณนั้นก็แข็งแกร่งมากขึ้นเล็กน้อย
เมื่อดูจำนวณพลังวิญญาณมันเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยจนเกือบจะถึง 5 หน่วย
ความคิดแรกของเจสันคืออาร์เทมิสสามารถพัฒนาเป็นสัตว์ร้ายระดับสามดาวได้ ซึ่งเขาคิดถูก
สิ่งนี้ทำให้เจสันมีความสุขมากและก็เผลอยิ้มออกมา
เจสันไม่รู้สึกถึงความแตกต่างจากร่างกาย แต่อาจเป็นเพราะเขายังง่วงอยู่
การฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์พลังวิญญาณของเขาหมดลงอย่างรวดเร็วและเขาออกจากโลกแห่งจิตวิญญาณเพื่อมองไปที่อาร์เทมิส
ในขณะที่เจสันเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทาง เขารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย ร่างกายของเขามีอาการคันเล็กน้อย
เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แกนมานาของเขาใกล้ถึงระดับ 7 แล้วในขณะที่ร่างกายของเขาก็อยู่ในระดับที่ 6 เช่นกัน
และแกนกลางของเขาเกือบจะถึงขีดจำกัด และใกล้จะถึงจุดพัฒนาดังนั้นเขาจะสามารถเพิ่มเลเวลได้ในไม่ช้า
‘ความแข็งแกร่งของฉันก็เพิ่มขึ้นมาก รวมถึงแกนมานาของฉันด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า อาร์เทมิสและจิตวิญญาณของฉันดีมาก … ‘ เจสันมีความสุขจนได้ยินเสียงเคาะประตู
“เจสันนายตื่นรึยัง เราต้องไปกันในอีกไม่ช้า .. ถ้านายไม่ตอบฉัน ฉันจะเข้าไปปลุกนายใน 3..2..1 ”
เจสันได้ยินเสียงล้อเล่นที่คุ้นเคย
“หยุดนะเกร็ก .. ฉันตื่นแล้ว ๆ .. ฉันจะออกไปเดียวนี้ อย่างน้อยให้ฉันซักและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
เจสันออกจากห้องระหว่างทาง เจสันได้พบกับมาเลียที่สวมชุดคลุมนอนสีขาวที่ค่อนข้างโป๊จากผ้าไหมและดวงตาของเจสันโตขึ้นเกือบสองเท่าเมื่อเห็นเรือนร่างของเธอ
‘ เธอสวยจริงๆ! ‘
เจสันคิดแล้วกลืนน้ำลาย
ถึงแม่เจสันจะเพิ่งสามารถมองเห้นได้ แต่เขาก็สามารถแยกยะผู้ชายหล่อ และผู้หญิงที่สวยได้
ไม่คำทักทายใดๆ มาจากเจสัน เพราะเขายังคงชื่นชมสายตาของเขา และมาเลียมองก็มองเจสันด้วยสายตาที่เหนื่อยล้า
ก่อนที่มาเลียจะทักทายเจสัน เธอเห็นการจ้องมองแปลกๆ ของเจสัน เธอจึงมองลงไปที่ตัวของเธอ มาเลียจึงรู้สึกได้ว่าเสื้อผ้าที่เธอกำลังใส่อยู่ค่อนข้างที่จะเปิดเผยเนื้อหนัง
เธอร้องไห้ออกมาด้วยความประหลาดใจทันทีที่ มาเลียหายเข้าไปในห้องของเธอเพียงครู่เดียวก็ปรากฏตัวขึ้นในเวลาต่อมาโดยมีเสื้อผ้าบางตัวติดอยู่
แก้มของเธอแดงระเรื่อและรีบวิ่งลงไปที่ห้องนั่งเล่นโดยไม่มองเจสัน
เจสันได้แต่เดินตามเงียบ ๆ โดยคิดแค่ว่าเธอดูสวยจริงๆ
แทนที่จะรู้สึกหวั่นไหวหรือชอบ แต่เจสันกลับคิดแค่ว่ามาเลียเป็นเพื่อนของเขา
และเจสันยังเด็กเกินไปที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องแบบนั้น อย่างน้อยนั่นก็เป็นความคิดเห็นของเขา
การแข็งแกร่งขึ้นนั้นสำคัญกว่ามากสำหรับตอนนี้!
เมื่อเดินลงไปที่ห้องนั่งเล่นเจสันสังเกตว่าทุกคนนั่งอยู่ที่โต๊ะ รอเขาอยู่แล้ว
เจสันนั่งลงและทักทายทุกคน
อาหารเช้าเริ่มขึ้นและมีอาหารมากมายให้เจสันได้กิน
เขาสังเกตเห็นว่ามานาจำนวนเล็กน้อยกำลังแผ่ออกมาจากอาหารบางจาน ซึ่งทำให้เขาประหลาดใจอย่างมาก
ในมื้ออาหารเช้าทุกคนค่อนข้างเงียบ มีเพียงกาเบรียลลาเท่านั้นที่ถามเจสันว่า อาร์เทมิสต้องการอาหารหรือเปล่า แต่เจสันก็ได้ปฏิเสธอย่างสุภาพ
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จเจสันได้ขอพัสดุของเขาที่กาเบรียลลารับไว้แทนเมื่อตอนเช้า
เจสันต้องการที่จะเข้าสู่อันดับที่ 5 ของมือใหม่โดยเร็วที่สุด แต่ว่าพวกเขาจะเริ่มการเดินทางเร็ว ๆ นี้ดังนั้นเจสันจึงต้องรอจนกว่าพวกเขาจะเริ่ม
ก่อนที่การเดินทางของพวกเขาจะเริ่มขึ้น และพวกเขาทั้งหมดมีบางสิ่งที่ต้องทำ
เจสันเห็นรถบรรทุกหุ้มเกราะขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่ทางเข้าคฤหาสน์
รถบรรทุกถูกปกคลุมไปด้วยโลหะหลายชั้นและเสริมด้วยวงเวทย์และอักษรรูนที่ส่องสว่างในขณะที่ตัวรถบรรทุกนั้นลอยได้ด้วยวงเวทย์ต่อต้านแรงโน้มถ่วง
มันเป็นรถบรรทุกที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษสำหรับงานออฟโรดนอกโดมและมันจะมีประโยชน์มากเพราะภูมิประเทศไม่มีความสม่ำเสมอและเต็มไปด้วยสัตวร้าย
เจสันคาดว่าความยาวของรถบรรทุกอยู่ที่ประมาณ 25 เมตรรวมทั้งรถพ่วงที่ลอยอยู่
แม้ว่ามันจะได้รับการเสริมพลังด้วยมานาที่หนาแน่น แต่วิธีที่ง่ายที่สุดในการจัดหาสิ่งนี้คือหินมานา
เขาไม่อยากคิดเกี่ยวกับราคาที่ต้องจ่ายเพื่อเดินทางไปทั่วทั้งเกาะและเขาตัดสินใจที่จะไม่สนใจเรื่องนี้เพราะเขาไม่ต้องจ่าย
ในขณะที่นกอินทรีพายุและหมาป่าได้ยืนอยู่หน้ารถพ่วงแล้วเจสันคิดว่าลูกสุนัขจิ้งจอกน่าจะได้รับอาหารก่อนที่พวกเขาจะเริ่มการเดินทาง
เมื่อไปที่สวนหลังบ้านเจสันเห็นกรงสัตว์ร้ายที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
แม้ว่ามันจะใหญ่กว่ากรงของเดิมและมีสีฟ้าเล็กน้อย แต่มานาที่แผ่ออกมาก็ไม่ใช่เรื่องตลก
ส่วนล่างของกรงถูกอัดแน่นด้วยลูกกรงป้องกันไม่ให้ลูกสุนัขจิ้งจอกออกจากกรง
กรงสัตว์ชนิดนี้หายากมากและทำจากวัสดุพิเศษในขณะที่มันมีตัวดัดแปลงที่แตกต่างกันมากมาย รวมถึงการดัดแปลงบาร์ที่อัดแน่นซึ่งเปิดใช้งานอยู่ในขณะนี้
ภายในกรงสัตว์ร้ายเจสันสามารถมองเห็นลูกสุนัขจิ้งจอกรวมตัวกันอยู่รอบ ๆ เครื่องจักรแฟนซีขนาดใหญ่
มีขวดนมสัตว์ยื่นออกมาทำให้เหล่าลูกจิ้งจอกสามารถกินอาหารได้
เห็นได้ชัดว่ามาร์คได้ซื้อเครื่องให้อาหารอัตโนมัติสำหรับลูกที่มีเครื่องทำความร้อนและอื่น ๆ
ระบบของมันเป้นแบบอัตโนมัติโดยใช้มานาและสามารถเลี้ยงลูกสัตว์ 10 ตัวในเวลาเดียวกันได้อย่างง่ายดาย
ตอนนี้เป็นเวลาเพียง 04:30 น. เมื่อทุกอย่างถูกโหลดและตรวจสอบสองครั้งก่อนที่จะเก็บเข้ารถ และพวกเขาทั้งหมดก็ได้ขึ้นไปบนรถ
ภายในของรถบรรทุกนั้นกว้างขวางและดูล้ำยุค เกร็ก มาเลียและเจสันก็เข้ามาด้านหลังในขณะที่กาเบรียลลายังคงอยู่ข้างหน้าพร้อมกับมาร์คที่ขับรถ
เมื่อปิดประตูมาร์คก็เปิดเครื่องยนต์และพวกเขาก็ออกไป
* เหนือเมือง *
ชายชราคนหนึ่งกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าปล่อยมานาจำนวนเล็กน้อยเพื่อต่อต้านความโน้มถ่วง
ในขณะที่หญิงชรา แต่มีผมสีเงินยืนอยู่ข้างๆเขามีปีกสีงาช้างขนาดใหญ่สยายอยู่ข้างหลังเธอ
ชายชรากำลังมองลงมาและสายตาของเขาก็มองตามสมบัติที่เลือกไว้ อยุ่ในรถบรรทุกขณะที่มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขา
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเจสันไร้ประโยชน์เพราะพลังวิญญาณของเขาอ่อนแอมากและเกือบจะไม่มี ตามมาด้วยอันดับแกนมานาที่แทบจะจะไม่มีอะไรเลย แต่เมื่อเห็นการกระทำของเขาในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมาชายชรารู้สึกประหลาดใจมากขึ้นเรื่อย ๆ กับความสำเร็จของเจสัน
ยิ่งไปกว่านั้นนกฮูกเกร็ดฮิมะของเจสัน ยังสามารถพัฒนาจนทะลุขีดจำกัดของมันและพัฒนาไปในขั้นที่สูงกว่าภายในไม่กี่สัปดาหื แต่พลังวิญญาณที่อ่อนแอของเจสันยังสามารถควยคุมมันไว้ได้ แสดงว่าพลังวิญญาณของเจสันก็ต้องเพิ่มขึ้นมาแน่ๆ
หลังจากดูเจสันไม่กี่สัปดาห์ ชายชรามั่นใจว่าวิญญาณของเจสันต้องขยายเพิ่มขึ้นจำนวนมหาศาลจากจิตวิญญาณไปยังผู้เป็นเจ้าของ
จากความรู้มากมาย ชายชราได้สั่งสมมาเป็นเวลาหลายสิบปีเขารู้ว่าวิญญาณทุกดวงมีความแตกต่างกัน ซึ่งรวมถึงพลังวิญญาณ ความสัมพันธ์ของวิญญาณ การขยายวิญญาณ การเพิ่มประสิทธิภาพทางกายภาพของวิญญาณและเวลาในการเติมพลังวิญญาณ
“ เด็กคนนั้น มีค่ามากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
หญิงชราข้างๆ ถามอย่างไม่แน่ใจ
รอยยิ้มของชายชรากว้างขึ้นและตอนนี้การตัดสินใจของเขาที่จะยอมรับเจสัน ได้รับการยืนยันแล้วหลังจากสิ่งที่เขาเห็น
“ฉันหวังว่าอย่างนั้น!”
ชายชรากระซิบขณะมองลงไป
“แสดงศักยภาพของเจ้าให้ข้าเห็นมากขึ้นยิ่งขึ้น เจสัน สเตลล่า!”
ชายชรากล่าวขณะที่ทั้งคู่หายไปในอากาศเบาบาง