ดวงใจภวินท์ - บทที่ 138 ล้วนกำลังแสดง
ญาธิดาใกล้เข้าไป มองดูภาพแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไป
ความจริงแล้ว อัญมณีจะถ่ายรูปก็ไม่เป็นอะไร แต่ตอนนี้ เธอกับธีทัตเป็นแค่เพื่อนกันธรรมดา ในรูป เขาใส่สร้อยคอให้เธอ การกระทำของเขาดูสนิทสนมจนอาจทำให้คนเข้าใจผิดได้
เธอมองดูอัญมณี แล้วพูดเบาๆ ว่า “อย่าเล่นสิ ลบทิ้งซะอันอัน”
อัญมณีกำโทรศัพท์แน่นไม่ยอมลบ “ภาพนี้ถ่ายสวยจะตาย สวยจนทำใจลบไม่ได้เลย!”
ธีทัตสังเกตเห็นสีหน้าที่ผิดปกติของญาธิดา ก็ทำสีหน้าจริงจัง เอื้อมมือไปหาอัญมณี
อัญมณีทำหน้ามุ่ย แม้ว่าจะไม่เต็มใจ แต่ก็ยังยื่นโทรศัพท์ให้
ธีทัตรับโทรศัพท์มา มองภาพบนหน้าจอแล้วก็ชะงักก่อนจะกดปุ่มลบ รูปนี้สวยจริงๆ แสงสวย ถ่ายได้อย่างเป็นธรรมชาติ
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งทัตก็กดแชร์ส่งให้ตัวเองผ่านไลน์ของอัญมณี แล้วก็ลบรูปนั้นทิ้งไป
หลังจากทำเสร็จ เขาก็คืนโทรศัพท์ให้อัญมณีโดยไม่พูดอะไร ญาธิดาเห็นแล้วคิดว่ารูปถูกลบไปแล้ว ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก
จู่ๆ ธีทัตก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ก็มองมาที่เธอแล้วถามว่า “ใช่แล้วธิดา วันนี้จะให้ผมไปส่งที่Seremban Hotelไหม”
ญาธิดายิ้มให้เขา พูดปฏิเสธอ้อมๆ “ไม่ต้องหรอกค่ะ งานเลี้ยงเริ่มดึก ฉันไปเองดีกว่า”
อัญมณีเดินมาที่ข้างญาธิดา คว้าเอไว้ “ธิดา ตอนแรกฉันว่าจะไปด้วย เราจะได้อยู่ด้วยกัน แต่ใครจะรู้ว่าวันนี้ที่บ้านจะมีธุระ ฉันกับพี่ไปไม่ได้เลย”
ญาธิดาบีบมือเธอแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม , “เธอทำธุระเถอะ คราวหน้ายังมีอีกแหละ”
ความจริงอัญมณีไม่ไปก็ดีแล้ว ไม่งั้นเธอต้องอธิบายให้หล่อนฟังอีกถ้าเธอทำอะไรไปในงานเลี้ยง ยังไงซะวันนี้เธอก็ไม่ได้แค่ไปร่วมสังสรรค์ในงานวันเกิดท่านสุวิทย์ซะเมื่อไหร่กัน
ออกจากบ้านตระกูลกรเวชแล้ว ญาธิดาก็นั่งแท็กซี่กลับบ้าน กลับถึงบ้าน แต่งหน้าทำผมก็ถึงเวลาอดี
งานเลี้ยงวันเกิดท่านสุวิทย์จัดขึ้นที่Seremban Hotel จัดทั้งหมด3ชั้น ชั้นแรกเป็นห้องโถง ชั้นสองเป็นที่นั่งวีไอพี และชั้นสามเป็นห้องส่วนตัว ห้องโถงสว่างและกว้างขวาง โคมระย้าที่ส่องแสงเจิดจ้าจัดวางอาหารบุฟเฟ่ต์ไว้ทั้งสองข้างทาง ดูเหมือนงานเลี้ยงค็อกเทล ชั้น2เป็นสถานที่สำหรับอาหารค่ำ และชั้น3เป็นห้องสำหรับพักผ่อน
ญาธิดาเข้าไปในงานพร้อมกับการ์ดเชิญ หลังจากฟังคำแนะนำจากพนักงานต้อนรับ ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
โลกของเศรษฐีช่างเหนือจินตนาการจริงๆ ไม่มีใครรู้ว่าจัดงานคืนเดียวนี้ต้องใช้เงินเท่าไหร่กัน
ในห้องโถง ผู้คนจำนวนมากมาถึงแล้ว ผู้คนครึกครื้น งานครื้นเครงมาก
ญาธิดาไม่ได้นั่งเฉยๆ เดินไปรอบ ๆ หาบันไดและทางเดิน จนรู้ตรอกซอกซอย
ออกจากบ้านตระกูลกรเวชแล้ว ญาธิดาก็นั่งแท็กซี่กลับบ้าน กลับถึงบ้าน แต่งหน้าทำผมก็ถึงเวลาอดี
เวลาใกล้มาถึงแล้ว เมื่อเทียบกับเมื่อกี้ คนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ท่านสุวิทย์ปรากฏตัวขึ้นแล้ว ได้รับคำอวยพรจากทุกคนในที่รวมกันอยู่กลางห้องโถง
เมื่อคนเยอะขึ้น ก็จะลำบากที่จะหาใครสักคน ญาธิดา มองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นภวินท์
เธอได้คุยกับเขาล่วงหน้าว่าเธอจะต้องอยู่ในสายตาของเขา รวมทั้งการกระทำของเธอ และต้องได้รับอนุญาตจากเขาก่อนถึงจะเริ่มทำอะไร เพื่อความปลอดภัยของเธอ
ในที่สุด ภวินท์ในชุดสูทสีเทาเข้มก็เดินเข้ามาพร้อม ๆ กับเสียงเซ็งแซ่ที่ทางเข้าห้องโถง ร่างของเขาสูงโปร่ง เดินมาพร้อมกับออร่า ทำให้ผู้คนที่พบเห็นต้องหลีกทางให้โดยพร้อมกัน ภวินท์เดินไปตามทาง
ญาธิดามองดูชายหนุ่มที่อยู่ในฝูงชน อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่คิดเลยว่าเขาจะเปล่งประกายขนาดนั้นในฝูงชนราวกับว่าทุกสายตาถูกเขาดึงดูดไว้อย่างนั้นแหละ ทำให้เธอมองไปหาใครไม่ได้อีก
ภวินท์พาพายุมาด้วย เดินตรงไปหาท่านสุวิทย์ที่อยู่ตรงกลาง ในไม่ช้า ท่านสุวิทย์ก็สังเกตเห็นคนที่เดินมาแล้วก็ยิ้มทันที
ภวินท์ก้าวไปข้างหน้า เอนตัวไปเล็กน้อย แล้วกล่าวสวัสดีท่านสุวิทย์ “คุณลุง ขอให้คุณลุงอายุยืนยาวครับ”
ท่านสุวิทย์ยิ้มและพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “ดี ดีเลย นายมาได้ ฉันก็ดีใจมากแล้วล่ะ”
“รู้ว่าลุงไม่ได้ขาดเหลืออะไร ผมจึงตั้งใจหาของเล็กๆน้อยๆมาให้ครับ”
ภวินท์พูดพลางมองพายุที่อยู่ข้างๆ
พายุรับทราบ รีบส่งกล่องในมือไปให้
ที่ผ่านมา ทุกคนก็ได้มอบของขวัญให้เขาแล้วมากมาย หยกหรูอี้ ลูกพีชสีทอง ล้วนเป็นของปกติสำหรับชายชรา ไม่ได้อยากได้อะไรเป็นพิเศษ
ตอนนี้ภวินท์กำลังจะให้ของขวัญ ทุกคนก็อยากรู้ว่าเป็นอะไรกันแน่
กล่องถูกนำไปข้างหน้าท่านสุวิทย์เขาเอื้อมมือไปเปิดฝา เพียงแค่เหลือบมองเพียงเล็กน้อย แววตาของเขาก็ลุกวาว
ไม่รู้ว่าใครในฝูงชนพูดขึ้นว่า “มันคือป้านจื่อซาทำมือจากอาจารย์โก้”
ทุกคนต่างเซอร์ไพรส์เมื่อได้ยินแบบนั้น
ใครๆก็รู้ว่า ท่านสุวิทย์ชอบกาน้ำชาดินเผา และเขาก็ชอบสะสมผลงานของอาจารย์ที่มีชื่อเสียง แต่งานฝีมือของอาจารย์โก้นั้นไม่ใช่ได้มาง่ายๆ และมันอาจจะไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน
แน่นอนว่า ท่านสุวิทย์ ดูร่าเริงขึ้น เขาให้ลูกน้องเก็บป้านจื่อซาไว้ให้ดี แล้วยิ้มพูดกับภวินท์ว่า “ภวินท์ นายใส่ใจในการเตรียมของขวัญอย่างดีนี่ ฉันชอบมาก ”
หลังจากพูดทักทายกัน ภวินท์ก็กลายเป็นศูนย์กลางของฝูงชนท่านสุวิทย์พูดกับเขาต่อไปเรื่อยๆ
ญาธิดายืนอยู่ข้างนอกวง มองดูพวกเขาคุยกันอย่างมีความสุขจากระยะไกล แต่ในใจกำลังคิดเกี่ยวกับแผนการ
นี่ก็ผ่านมานานมากแล้ว เธอไม่ได้เห็นนีราภาเลย เธอเลยหวั่นๆ
เมื่อมองดูในฝูงชน ญาธิดาก็ยังคงไม่เห็นร่างของนีราภา แต่พบบุคคลสำคัญอีกคนหนึ่งคือมาร์ติน
ศศิเดินเคียงข้างเขา ทั้งสองก็เป็นเหมือนสามีภรรยาต้นแบบ ยิ้มและพูดทักทายทุกคน ดูแล้วเหมือนจะรักกันดี
แต่เธอได้ยินจากภวินท์ว่าการสมรสระหว่างมาร์ตินกับศศินั้นพังไปนานแล้วเหลือแต่ในนามเท่านั้น มาร์ตินนอกใจมาหลายปี ศศิก็ออกไปจับเมียน้อยแบบคนเสียสติ
แต่คนที่ไม่รู้สถานการณ์ มองดูสองคนตอนนี้ คงไม่คิดว่าชีวิตส่วนตัวของพวกเขาจะเป็นแบบนี้แน่
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันหน้ามองไปทางอื่น เดิมต้องการจะหานีราภา แต่จู่ๆก็มีเสียงผู้หญิงดังมาจากข้างหลังเธอ
“ญาธิดา คุณมาด้วยเหรอเนี่ย”
ทันทีที่เธอหันหน้าไป ก็เห็นนีราภาเดินเข้ามาหาเธอ สวมชุดสีดำ หน้าอกเปิดกว้าง หน้าอกของเธอส่ายไปมา เธอแต่งหน้าเข้มกว่าปกติเยอะเลย
ไม่น่าแปลกใจที่เธอหาหล่อนไม่พบ เพราะว่าหล่อนแต่งตัววันนี้ต่างไปจากเดิมในชีวิตประจำวันมากจนแทบจำไม่ได้
เมื่อเห็นนีราภาแสร้งทำเป็นแปลกใจ ญาธิดาก็ยิ้มแล้วพูดเบาๆ “คุณนีราภา สวัสดีค่ะ”
นีราภาเดินมาข้างๆเธอ เหลือบมองไปรอบๆ เธอแล้วพูดถามว่า “ทำไมมาอยู่คนเดียวตรงนี้ล่ะ”
“ไม่มีใครมาด้วยค่ะ” ญาธิดาหยิบถ้วยผลไม้ ยิ้มแล้วมองดูนีราภา “คุณนีราภาก็อยู่คนเดียวนี่คะ”
นีราภายิ้ม โดยไม่ได้สบตา พูดว่า ” ฉันยังมีเพื่อนอยู่ตรงโน้น ไปก่อนนะ”
พูดจบเธอก็หันหลังและเดินไปอีกฝั่ง
ญาธิดามองดูเธอจากไป และรอยยิ้มในดวงตาของเธอก็ค่อยๆ เย็นชาขึ้น
ขณะนี้ ทั้งคู่กำลังแสดงอยู่ และยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย