ดวงใจภวินท์ - บทที่ 163 บินไปที่สิงคโปร์
ญาธิดาได้ยินแล้วดึงสติกลับมา จากนั้นได้ยิ้มให้อัญมณีกับการินอย่างค่อนข้างรู้สึกผิด “ขอโทษด้วยนะ วันนี้ฉันคงจะทำงานเหนื่อยเกินไป”
การินยกมุมปากขึ้น เพื่อแสดงว่าเขาเข้าใจ “ไม่เป็นไรธิดา เดี๋ยวรอกับข้าวมาครบแล้ว เราทานข้าวเสร็จก็ส่งเธอกลับบ้านเลย พรุ่งนี้เช้าเธอยังต้องไปขึ้นเครื่องอีก กลับไปพักผ่อนเช้าๆหน่อย”
ญาธิดาพยักหน้าแล้วตอบเสียงเบา “โอเค”
อัญมณีที่อยู่ข้างๆไม่ได้ถูกหลอกง่ายๆหรอก เธอรู้จักญาธิดาดีขนาดนี้ ย่อมดูออกอยู่แล้วว่าเธอไม่ได้เหนื่อยเพราะงาน แต่ว่ามีเรื่องในใจ อาศัยช่วงจังหวะที่การินไปเข้าห้องน้ำ เธออดถามไม่ได้ “ธิดา เธอเป็นอะไรกันแน่?”
“ฉันไม่เป็นไร”
อัญมณียักคิ้ว ทำหน้าเหมือนฉันรู้ดีแก่ใจ “ไม่เป็นไร?เมื่อกี๊อยู่ที่โต๊ะทานข้าวเธอเหม่อลอยตลอดเลยนะ บอกมาตามตรงเลย เธอกำลังคิดถึงผู้ชายอยู่ใช่มั้ย?”
ฟังอัญมณีพูดแบบนี้แล้ว ญาธิดากลั้นขำไว้ไม่อยู่ แต่ที่เธอพูดดันถูกอีก เธอมักจะคิดถึงหน้ากวนประสาทของภวินท์อยู่เรื่อยเลย ทั้งๆที่ใจต่อต้าน แต่สมองกลับควบคุมไม่ได้ยังไงอย่างงั้น
ญาธิดาสูดหายใจลึกๆทีนึง จากนั้นได้โน้มตัวเข้ามาใกล้อัญมณีเล็กน้อย พร้อมเสียงถามเบา “อันอัน เธอว่าทำไมฉันถึงได้คิดถึงภวินท์อยู่เรื่อยเลยนะ?”
อัญมณีฟังแล้วได้เผยสีหน้าแววตาที่สอดรู้สอดเห็นทันที กะพริบตาใส่เธอไม่หยุด “นี่ยังต้องให้พูดอีกเหรอ?นี่ก็ชัดเจนมากแล้วไม่ใช่เหรอว่าเธอชอบเขา!”
“เหลวไหล!”สีหน้าของญาธิดาแดงก่ำขึ้นมาทันที เธอปฏิเสธทันที “จะเป็นไปได้ยังไง?”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้?”อัญมณีทำหน้ามันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว “เธอก็ลองคิดดูสิ คืนนี้ทำไมเธอไม่ไปคิดถึงการิน หรือว่าคิดถึงพี่ชายฉัน?ทำไมดันต้องไปคิดถึงภวินท์?”
คำพูดนี้ เหมือนดั่งน้ำเย็นกะละมังนึง ราดจนญาธิดาตื่นตัวขึ้นเยอะ แต่ก็มีสติขึ้นมาเยอะเลย
หลังจากหยุดชะงักไปหลายวิ เธอส่ายหัวและพูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “เป็นไปไม่ได้ ฉันเกลียดเขามาก อาจจะเพราะช่วงนี้ใกล้ชิดกับเขามากเกินไป”
ผู้ชายที่เอาแน่เอานอนไม่ได้และโปรยเสน่ห์ไปทั่วอย่างภวินท์ เธอไม่คิดพิจารณาหรอก บวกกับก่อนหน้านี้เธอกับภวินท์มีประสบการณ์การแต่งงานที่ไม่รื่นรมย์ขนาดนั้น เธอจะชอบเขาได้ยังไง?
หลังจากแน่วแน่กับความคิดแล้วญาธิดาได้รับประกันกับอัญมณีอีกครั้งว่า “ฉันไม่มีทางชอบเขาหรอก จริงๆนะ”
อัญมณีฟังแล้ว มุมปากมีรอยยิ้มที่ยากจะเข้าใจ แต่ปากล้วนพูดคล้อยตามเธอ “โอเคๆ ฉันเชื่อเธอ เธอไม่ชอบเขาอ่ะดีที่สุดแล้ว ไม่งั้นพี่ชายฉันรู้จะต้องเสียใจมากแน่ๆเลย”
ฟังอัญมณีล้อเล่นแล้ว ญาธิดาได้หัวเราะ พอเห็นการินเดินมาทางนี้ จึงไม่ได้พูดอะไรอีก
ทานอาหารค่ำเสร็จ การินเป็นฝ่ายขอไปส่งพวกเธอกลับบ้านเอง ตลอดทาง เหมือนอัญมณีคอยพูดจาไม่หยุดเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ
มาถึงหน้าชุมชนของญาธิดา เธอได้บอกให้จอดรถ หลังจากบอกลากับพวกเขา ก็ได้เปิดประตูลงจากรถ
ในขณะที่กำลังจะปิดประตู จู่ๆการินได้เรียกเธอไว้ “ธิดา”
ญาธิดาได้ยินแล้วหันไปมองเขา พร้อมถามเสียงเบาว่า “มีอะไรหรอ?”
การินอยากพูดแต่ก็หยุดเอาไว้ ดูเหมือนมีคำพูดมากมายที่อยากจะพูดกับเธอ แต่เนื่องจากในรถยังมีอัญมณีนั่งอยู่ เขาหยุดชะงักไปครู่นึง จากนั้นได้ชี้ช่อดอกไม้บนเบาะนั่งข้างคนขับแล้วพูดว่า “เธอลืมดอกไม้”
ญาธิดามองไปแล้ว เห็นช่อดอกไม้ที่วางอยู่ตรงนั้นอย่างเดียวดาย ทันใดนั้นค่อนข้างเก้อเขินจนทำอะไรไม่ถูก เธอรีบหยิบดอกไม้ขึ้นมาแล้วยิ้มให้เขาอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษด้วยนะ เมื่อกี๊มองไม่เห็น”
การินมองมาที่ญาธิดา สายตาอ่อนโยนดั่งน้ำ เขาพูดเสียงเบาว่า “ไม่เป็นไร กลับไปพักผ่อนเช้าๆนะ”
ญาธิดาพยักหน้าให้กับเขา จากนั้นได้โบกมือลาอัญมณี ทีนี้ถึงหันหลังเดินเข้าไปในชุมชน
เพิ่งเดินเข้าประตูใหญ่ของชุมชน ใครจะไปรู้ว่ามือถือได้ดัง“ดิ๊ง”ทีนึง เธอหยิบขึ้นมาดู อัญมณีส่งข้อความมาให้เธอ “แหมๆๆ การินช่างเป็นคนที่ลุ่มหลงในความรักจริงๆ”
ตามด้วยมือถือได้สั่นอีกทีนึง เธอส่งอิโมจิมาอีก
ญาธิดาดูสองข้อความนี้แล้ว แทบจะสามารถจินตนาการน้ำเสียงตอนที่อัญมณีพูดคำนี้ได้เลย
เธอยิ้มมุมปาก และไม่ได้ตอบกลับ
ในใจเธอรู้ดี เธอไม่มีใจให้การิน นี่ไม่เกี่ยวกับเวลา สองปีก่อนเป็นอย่างนี้ ตอนนี้ยิ่งเป็นอย่างนี้
สำหรับเธอแล้ว ตอนนี้แทนที่จะจดจ่อกับความรักใคร่ของชายหญิง สู้คิดเรื่องงานเยอะๆดีกว่า อีกอย่างพ่อยังต้องเข้ารับการผ่าตัด เธอจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม
พอแน่วแน่กับความคิดแล้ว ญาธิดาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น กลับมาถึงคอนโด เธอได้ตรวจสอบของที่เก็บเรียบร้อยอีกรอบ เพื่อเตรียมพร้อมกับการไปขึ้นเครื่องของพรุ่งนี้เช้า เธอได้เข้านอนแต่เช้าเลย
เช้าวันรุ่งขึ้น นาฬิกาปลุกของญาธิดายังไม่ดัง เธอก็ตื่นก่อนแล้ว หลังจากเตรียมทุกอย่างเสร็จ เธอลากกระเป๋าเดินทางแล้วนั่งรถไปที่สนามบินโดยตรง
ผ่านไปสองชั่วโมงกว่าๆ เครื่องบินได้บินมาถึงสนามบินชางงี
พอลงเครื่องพร้อมกับผู้คนที่เดินทางด้วยกัน ญาธิดาก็รู้สึกได้ว่ามีคลื่นความร้อนที่ชัดเจนรุกรานมา นั่งรับส่งมาถึงห้องโถง แค่ระยะทางสั้นๆนี้ก็ทำเอาเธอเหงื่อท่วมหัวแล้ว
ยังดีที่ตัวแทนของบริษัทฝั่งตรงข้ามมารับพวกเธอ พวกเธอได้นั่งรถที่เตรียมเอาไว้ล่วงหน้าและไปโรงแรมที่จองเอาไว้อย่างราบรื่น
มาถึงโรงแรม หลังจากทำการเช็คอินเสร็จเรียบร้อย พี่เบลล์ได้แบ่งห้องให้ทุกคน ห้องเป็นเตียงเดี่ยวทุกห้องสภาพห้องดีใช้ได้เลย ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นมาก คอยพูดเจ๊าะแจ๊ะไม่หยุด
“ธิดา รีบตามมาเร็ว ห้องของเราสองคนชนกันพอดีเลย!”
ก้อยที่อยู่แผนกการตลาดดึงมือเธอเข้าลิฟต์อย่างกระตือรือร้น
หลังจากเข้าลิฟต์ มีคนถามทันที ว่า “พี่เบลล์ บ่ายนี้กับคืนนี้พวกเราต้องทำอะไรกันบ้างคะ?”
“ช่วงบ่ายทุกคนพักผ่อนตามสบาย ช่วงค่ำบริษัทของฝั่งตรงข้ามจะมาต้อนรับพวกเราไปทานข้าวด้วยกัน ไม่ต้องใส่ทางการมากเป็นพิเศษ ทุกคนมารวมตัวกันที่ห้องโถงในเวลาหนึ่งทุ่มตรงนะ”
“รับทราบค่ะ!”
“ไมค์ ช่วงบ่ายจะออกไปช้อปปิ้งด้วยกันหรือเปล่า?”
“ได้สิ ปุ๊ก เธอไปหรือเปล่า?”
“……”
พอทุกคนได้ยินว่าช่วงบ่ายพักผ่อนตามอัธยาศัยแล้ว ต่างก็เริ่มวางแผนด้วยความตื่นเต้น ญาธิดามองดูผู้คนที่รื่นรมย์แล้ว ก็ได้ยกมุมปากขึ้นตามด้วย
ก้อยที่อยู่ข้างๆหันมามองญาธิดาแล้วถามว่า “ธิดา เธอจะไปหรือเปล่า?”
ญาธิดาส่ายหัวและพูดอย่างเรียบเฉย “ฉันไม่ไปแล้ว ฉันอยากพักผ่อนหน่อย”
หลังจากกลับมาที่ห้อง ในที่สุดก็สงบลงเยอะ ญาธิดาไปอาบน้ำอาบท่าก่อน จากนั้นได้ปิดผ้าม่านแล้วเริ่มนอนหลับ พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็หกโมงเย็นแล้ว เธอแต่งเนื้อแต่งตัวอย่างเรียบเฉยก็ได้ไปรวมตัวที่ห้องโถงเลย
งานเลี้ยงของคืนนี้มีคนรับรองของบริษัทฝ่ายตรงข้ามเป็นเจ้าภาพ เพราะต่างก็เป็นคนพูดภาษาเดียวกัน ทุกคนสื่อสารก็ไม่ได้มีความขัดข้องอะไร บรรยากาศครื้นเครงมาก หลังจากหนึ่งชั่วโมงกว่าๆก็จบแล้ว
ออกมาจากร้านอาหาร ทุกคนเกาะกันเป็นกลุ่มและพักผ่อนตามอัธยาศัย ก้อยได้ดึงตัวญาธิดาไว้แล้วถามว่า “ธิดา เธอจะกลับโรงแรมหรือเปล่า?”
ญาธิดายิ้มให้เธอแล้วพูดเสียงเบาว่า “เธอกลับก่อนเลย ฉันไปซื้อซิมการ์ดใบนึง”
ถึงแม้อยู่สิงคโปร์แค่ไม่กี่วัน แต่เธอก็ยังเป็นห่วงดร.ยติภัทรกับคุณปภาวีจนไม่อาจวางใจได้อยู่ดี อยากโทรคุยกับพวกท่าน
หลังจากแยกกับก้อย ญาธิดาหาร้านค้าที่ขายซิมการ์ดจากในแผนที่ จากนั้นได้โบกรถแท็กซี่คันนึง ให้คนขับพาเธอไป
ทั้งไปและกลับ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
รถได้จอดลงที่หน้าโรงแรม ก่อนลงจากรถ ญาธิดาได้สอบถามค่ารถ “พี่คะ เท่าไหร่คะ?”
คนขับรถแท็กซี่ได้ทำท่าทางให้เธอพร้อมพูดว่า “40”
ญาธิดาฟังแล้วค่อนข้างมึนตึ๊บทันที
40ดอลลาร์สิงคโปร์เกือบจะ1000บาทเลยนะ เธอไปและกลับ ล้วนเป็นระยะทางสั้นๆในตัวเมือง ใช้เงินเยอะขนาดนี้ที่ไหนกัน?
อีกอย่าง เธอไม่ได้พกเงินไทยติดตัวเท่าไหร่เลย เมื่อกี๊ซื้อซิมการ์ดใช้ไปส่วนนึง ตอนนี้เหลือไม่ถึง300บาทแล้ว
หรือว่าคนขับเห็นเธอเป็นต่างชาติ เลยจงใจอัพราคาเธอ?