ดวงใจภวินท์ - บทที่ 204 โคตรโรคจิต
แก้มของเธอร้อนผ่าว อัญมณีตบๆ แก้ม กำลังเดินไปด้วยความสับสน ทันใดนั้นก็เห็นร่างสูงใหญ่ออกมาจากลิฟต์
เป็นคนที่เธอแอบตั้งชื่อให้ว่า “ผู้ชายเฮงซวย” คิดไม่ถึงว่าจะมาชนเข้ากับเขา
อัญมณีหดศีรษะเล็กน้อย แสร้งทำเป็นไม่เห็นเขา รีบเดินก้มหน้าไปที่ลิฟต์
จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังมา “รอเดี๋ยว”
อัญมณีชะงักไปทันที หันหน้าไปมองภวินท์ แล้วมองรอบข้างที่ร้างผู้คนอีกครั้ง “คุณเรียกฉันเหรอ”
ภวินท์ส่งเสียงตอบ “อืม” บางเบา เขาหยิบนามบัตรจากกระเป๋าอย่างไม่รีบร้อนแล้วยื่นให้กับเธอ “ถ้าญาธิดามีเรื่องอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือ คุณสามารถโทรหาผมได้”
อัญมณียื่นมือออกไปรับอย่างลังเล เพิ่งคิดว่าจะเอ่ยปากถาม ใครจะรู้ว่าภวินท์หันไปแล้วและก้าวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
นี่มัน……เรื่องอะไร
หรือว่าญาธิดากับผู้ชายเฮงซวยคนนี้จะมีความสัมพันธ์อะไรที่ก้าวหน้าไปมากแล้ว หรือเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งสองคน……
อัญมณีไม่กล้าคิดให้ละเอียด ลากขาง่อยขึ้นลิฟต์ไปทันที
ถ้าเธอกลับไปแล้วพบว่าญาธิดาถูกรังแก เธอไม่จบกับภวินท์แน่นอน!
ในห้อง ขณะที่กำลังลังเลว่าจะออกไปหาอัญมณีดีหรือไม่ กริ่งประตูก็ดังขึ้น
เธอเดินไปเปิดประตูทันที เห็นอัญมณีอยู่หน้าประตูในมือถือถุงยา เธอตกใจและรีบสอบถาม “อันอันเธอเป็นอะไร”
อัญมณีส่ายหน้า แต่ดึงเธอมาสอบถามอย่างตึงเครียดแทน “ฉันไม่เป็นไร อันอันไอ้ผู้ชายเฮงซวยนั่นทำอนาจารเธอหรือเปล่า”
ญาธิดาได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างทนไม่ไหว ส่ายหน้าและพูดว่า “เปล่าเธอนั่นแหละ บาดเจ็บได้ยังไง”
เมื่อเห็นว่าญาธิดาไม่ได้เป็นอะไร อัญมณีถึงได้ถอนหายใจโล่งอก เธอกระโดดกะเผลกไปที่โซฟา และพูดอย่างเคืองๆ “เพราะพายุน่ะสิ! เขาโคตรโรคจิต!”
ได้ยินเธอด่าแบบนั้น ญาธิดาก็อดแปลกใจไม่ได้ “เกิดอะไรขึ้น”
ริ้วแดงขึ้นแก้มอัญมณีในฉับพลัน รีบแก้ตัวอย่างตะกุกตะกัก “ไม่……ไม่มีอะไรจริงสิ หม้อไฟล่ะ”
ญาธิดาได้ยินดังนั้นก็พูดไม่ออกตอบไม่ได้กะทันหัน “เอ่อ……”
อัญมณีหันกลับมามองเธอด้วยความประหลาดใจ “เธอคงจะไม่กินคนเดียวหรอกนะ”
ญาธิดากัดฟันก่อนจะพูดว่า “ที่ไหนกันล่ะ มีภวินท์ด้วย……”
“อะไรนะ” อัญมณีเบิกตากว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ มองญาธิดาพร้อมกับถามว่า “เขามาทำอะไร มาทานอาหารโดยเฉพาะเหรอ”
ญาธิดามุ่ยปากอย่างหมดหนทาง เงียบไม่ตอบคำ
ที่จริงเธอก็รู้สึกแบบนั้น
อีกด้าน ไมบัคแล่นออกจากคอนโด
พายุที่อยู่ตรงที่นั่งคนขับ รู้สึกเหมือนได้กลิ่นหม้อไฟอยู่ตลอดเวลา
ในที่สุดก็ถามอย่างอดไม่ได้ “คุณภวินท์ครับ คุณได้กลิ่นเหมือนหม้อไฟไหม”
ภวินท์แววตานิ่งไป มีสีหน้าผิดปกติไปแวบหนึ่ง และตอบหลังจากนั้นครึ่งวินาทีว่า “ไม่นี่ มีอะไร”
พายุมึนงงหนักและพูดกับตัวเองว่า “บางทีอาจเป็นความเข้าใจผิดของผมเอง……”
ภวินท์นิ่งไปก่อนจะกระแอมไอแล้วถามเสียงหนัก “ทางสื่อได้รับคำสั่งทั้งหมดแล้วใช่ไหม”
ทันทีที่พูดเรื่องงาน พายุเริ่มมีสีหน้าจริงจังและตอบทันที “ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ รอจนถึงเช้าพรุ่งนี้”
ได้ยินเช่นนี้ ภวินท์จึงส่งเสียงตอบกลับ แล้วเลื่อนสายตาขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง แววตาสลัวลงเล็กน้อย
อีกสิบกว่าชั่วโมงบริษัทวรโชติจะมีละครดีๆ ฉากหนึ่ง
เช้าวันรุ่งขึ้น ในห้องประชุมของบริษัทวรโชติ
“ตราบใดที่เราสามารถร่วมธุรกิจกันได้ รายละเอียดอื่นๆ เราสามารถพูดคุยกันที่หลังได้ จุดประสงค์ของเราคือผลประโยชน์ร่วมกันและผลลัพธ์แบบwin-win บริษัทของคุณจะไม่มีทางเสียเปรียบแน่นอน!”
ที่โต๊ะประชุม ชนัดพลให้คำมั่นสัญญาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
ประธานจิรพงษ์ที่ร่วมธุรกิจพยักหน้าและพูดว่า “ผมรู้ว่าก่อนหน้านี้ดาเซิงเคยร่วมธุรกิจกับบริษัทวรโชติของพวกคุณ แต่แผนที่คุณให้มายังไม่มีรายละเอียดเพียงพอ รวมทั้งภาพผู้บริโภคและความคาดหวังในช่วงสามปีถัดไปข้อมูลการประเมินคาดการณ์ยังไม่สมบูรณ์ เราต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจ”
“มันเป็นเรื่องปกติ นี่แค่แผนเบื้องต้น หากพวกคุณสนใจโครงการThe Riversideจริงๆ ทางเราต้องจัดทำแผนรายละเอียดเพิ่มเติมให้โดยเร็วที่สุดอย่างแน่นอน”
ชนัดพลเพิ่งพูดจบ โทรศัพท์มือถือของคุณจิรพงษ์ก็ดังขึ้น เขาเหลือบมองที่หน้าจอและยิ้มให้ชนัดพลอย่างขอโทษเล็กน้อย “ขออภัย ผมต้องรับสายนี้”
ชนัดพลยิ้มพลางส่งสัญญาณมือเชื้อเชิญ “ตามสบายครับ”
คุณจิรพงษ์เดินไปรับโทรศัพท์ เขาก็หันไปมองปริญที่หน้าตาอ่อนเพลียอยู่ข้างๆ จึงขมวดคิ้วแน่นสายตาขุ่นมัว
เมื่อวานปริญไม่กลับบ้านอีกคืน ถ้าเช้านี้ไม่ใช่เพราะมีการเจรจา บางทีเขาอาจจะไม่มาที่บริษัทเลย!
ชนัดพลพ่นลมจนเครากระดิกด้วยความโมโห แต่เพราะมีผู้ร่วมธุรกิจอยู่ด้วย จึงไม่ง่ายที่จะโกรธ ได้แค่อดกลั้นเอาไว้
ปริญไม่รู้ตัว พลิกแผนตรงหน้า พร้อมกับหาวเหมือนแถวนั้นไม่มีใครอยู่
เวลานี้ คุณจิรพงษ์วางสายแล้วเดินเข้ามา มองที่ชนัดพลและยิ้มอย่างขอโทษ “คุณชนัดพล สถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง พวกเราอาจไม่มีทางร่วมธุรกิจกันต่อได้แล้ว”
“อะไรนะ”
ทันทีที่ชนัดพลได้ยินก็พลันดวงตาเบิกกว้าง เขาลุกขึ้นพรวด “คุณจิรพงษ์ หรือว่ามีตรงไหนที่มันไม่เหมาะสม”
คุณจิรพงษ์ตัดสินใจแล้ว และส่ายหน้าโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ ให้ลูกน้องสองคนเก็บของแล้วเดินออกจากห้องประชุมไป
ชนัดพลคิ้วกดต่ำ นิ่งไปครู่หนึ่ง สั่งให้ผู้ช่วยไปส่งพวกคุณจิรพงษ์ด้วยความเย็นชา
ทันทีที่พวกเขาจากไป ปริญที่อยู่อีกฝั่งก็ลุกขึ้นยืนทันที และด่าอย่างอดไม่ได้ “บัดซบ! คนบริษัทบริษัทดาเซิงทำบ้าอะไร จะมาก็มาจะไปก็ไป เห็นบริษัทวรโชติเราเป็นตลาดขายผักเหรอ”
ชนัดพลสีหน้ามืดมนหนัก เม้มริมฝีปากไม่พูดอะไร เวลานั้นเอง เลขาคนหนึ่งเดินเข้ามาข้างในหน้าตาตื่นตระหนก รายงานด้วยเสียงต่ำ “คุณชนัดพลเกิดเรื่องแล้วค่ะ”
เธอพูดพร้อมกับยื่นแท็ปเล็ตในมือให้ชนัดพล
ชนัดพลที่สีหน้าขุ่นมัวรับมาดู เมื่อเห็นพาดหัวข่าวบนหน้าจอ สีหน้าก็ซีดไปทันควัน เขาใช้นิ้วเลื่อนดูรูปที่แนบมาด้านล่าง มือที่ถือแท็ปเล็ตสั่นเล็กน้อย
ปริญที่ไม่รู้สถานการณ์ จึงก้าวเข้าไปพร้อมกับถามว่า “คุณพ่อ มีอะไรเหรอ”
เขายังพูดไม่ทันจบประโยคดี ชนัดพลก็หันหลังกลับมา ยกมือขึ้นตวัดตบหน้าปริญอย่างแรง
“เพี๊ยะ!” เสียงดังฟังชัด เลขาที่อยู่ข้างๆ สะดุ้งตกใจจนก้มหน้าถอยหลังไปสองก้าว
ปริญอยู่ในสภาพมึนงง หลังจากโดนตบไปหนึ่งที จึงมองสีหน้าที่โกรธเคืองของชนัดพล ยังไม่ทันได้ถาม ชนัดพลก็ขว้างแท็ปเล็ตใส่เขาเสียก่อน “ไอ้ลูกไม่ได้เรื่อง! ดูสิ่งที่แกทำลงไปสิ!”
ปริญได้สติกลับมา หยิบแท็บเล็ตที่พื้นทันที เมื่อเห็นข่าวก็พลันตกตะลึงใน
“คุณชายแห่งบริษัทวรโชตินัดพบนางแบบสาวยามวิกาล เสพสุขกันในบ้านพักส่วนตัว!”
ภาพด้านล่างเป็นภาพของเขากับไอซ์ที่เดินเข้าไปในบ้านพักแนบสนิทชิดเชื้ออย่างกับแฝด!
เขากัดฟันอย่างโมโห “แม่งเอ๊ย ไอ้พวกปาปารัสซี่!”
ข้างๆ ใบหน้าที่โกรธเคืองของชนัดพลบิดเบี้ยวเล็กน้อย เขายื่นเหยียดมือออกชี้อย่างสั่นเทา “ปริญ เรื่องนี้ ฉันอยากดูว่าแกจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง!”
เขาทิ้งประโยคนี้แล้วสะบัดแขนและก้าวยาวเดินออกไป
ไม่ง่ายที่เขาจะหาบริษัทที่มีแนวโน้มจะร่วมธุรกิจด้วยได้ คิดไม่ถึงว่ายังไม่บรรลุข้อตกลง เรื่องอื้อฉาวคาวโลกีย์ของปริญก็แดงออกมา เป็นผลให้ชื่อเสียงตระกูลวรโชติเสียหาย แล้วใครยังจะกล้าร่วมธุรกิจกับพวกเขาอีก!
ปริญยืนอยู่ที่เดิม แก้วหูสั่นจากการถูกตบ เขากำหมัดแน่น ยิ่งคิดยิ่งโกรธ
เขากับไอซ์คบกันมาระยะหนึ่งแล้ว ทำไมเรื่องเพิ่งมาแดงเอาตอนนี้
ไม่ถูก! มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!
ทันใดนั้น ในสมองเขาก็มีภาพหนึ่งผุดขึ้นมาฉับพลัน