ดวงใจภวินท์ - บทที่ 206 ศัตรูของศัตรู
ขณะที่ปริญลังเลว่าจะทักทายดีหรือไม่ ภูผาซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นก็เป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยปากก่อน ราวกับว่าไม่ได้ยินว่าเขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่ “ปริญ บังเอิญจังเลยนะ”
ปริญไม่มีอารมณ์ เขากระตุกมุมปากยิ้มให้อย่างขอไปที และก็ต้องการเดินกลับไปที่ห้อง
เมื่อเห็นว่าปริญกำลังจะเปิดประตูห้อง จู่ๆ ภูผาจึงเรียกเขาไว้ “ปริญอยากดื่มด้วยกันไหม”
ปริญหยุดก้าวเท้า รอยยิ้มคลุมเครือปรากฏขึ้นที่มุมปาก และพูดอย่างเย็นชา “ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคนไม่มีกระดูกสันหลัง”
เรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลสถิรานนท์ในตอนนั้น ถ้าเขาเป็นภูผา เขาจะอยากจัดการภวินท์ทันที แต่เขากลับยังทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น……
เข้าใจความหมายในคำพูดของปริญ ภูผากดเก็บความเย็นชาในดวงตาและพูดว่า “นายอยากระงับข่าวไม่ใช่เหรอ ฉันช่วยนายได้นะ”
ประโยคนี้เห็นได้ชัดว่าได้ผลมากกว่าประโยคก่อนหน้า ปริญหยุดการเคลื่อนไหวและหันมาทันควัน จ้องที่เขาด้วยสายตาขุ่น “นายจะช่วยฉัน?”
เมื่อครู่ฟังน้ำเสียงที่กลัดกลุ้มของฟิล์มในสาย เขาก็ไม่ค่อยสบายใจ แต่ตอนนี้ภูผาบอกว่าช่วยเขาได้ มันทำให้เขาประหลาดใจมาก
“นายน่ะเหรอ”
เขาเป็นแค่ลูกนอกกฎหมายของตระกูลสถิรานนท์ ต่อให้แม่ของเขาจะได้เข้าอยู่ในตระกูล แต่เขาก็ยังเป็นลูกนอกกฎหมายขาพิการที่ไม่ได้รับการต้อนรับ แล้วจะมีอะไรที่สามารถช่วยเขาได้
ภูผาพยักหน้าโดยไม่ลังเล สีหน้าดูอ่อนโยนเหมือนเคย เอ่ยพูดเสียงเบาว่า “จะพูดยังไงเราก็เป็นเพื่อนกัน เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น สามารถช่วยได้ก็จะช่วย”
รังสีของความมืดแวบเข้ามาในดวงตาปริญ ในที่สุดเขาก็หันกลับมาและเดินไปหาเขา
หลังจากตามภูผาเข้าไปในห้องข้างๆ เขานั่งลงและพูดตรงๆ ว่า “ถ้านายสามารถช่วยจัดการให้ฉันได้ นายต้องการอะไรฉันจะทำให้อย่างเต็มที่”
ภูผายิ้มและโบกมือส่งสัญญาณให้ครามรินไวน์ให้ปริญ “ไม่จำเป็น ระหว่างความเป็นเพื่อน แค่ช่วยเฉยๆ เท่านั้น”
ทันทีที่ดื่มเข้าไป ปริญก็เหมือนเปิดแผ่นเสียง พูดไปเรื่อยไม่จบไม่สิ้น และไม่รู้ว่าอย่างไร หัวข้อวกกลับมาที่ภวินท์อีกครั้ง
เขาพูดหลังจากด่าไปหลายคำ “เรื่องในครั้งนี้นับว่าดวงซวย แต่เรื่องข่าวที่ถูกเอาออกมาแฉ ฉันรู้ว่าใครเป็นคนทำ”
ภูผาแววตามืดมนคลุมเครือ ขยับปากเอ่ยถามว่า “ใคร”
ปริญส่งเสียงเยาะ “นอกจากพี่ใหญ่คนดีของนายแล้วจะเป็นใครได้”
หลังจากที่คำพูดนี้ออกมา ในห้องก็เงียบไปหลายวินาที
หลังจากนั้น ภูผาหันไปมองคราม เอ่ยสั่งตรงๆ โดยไม่มีการเลี่ยงคำต่อปริญ “คราม คิดหาวิธีระงับความคิดเห็นของสาธารณชน”
ครามได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าตอบรับทันที และหันหลังออกไปจากห้อง
ทันทีที่คนอื่นออกไป ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสองคน ปริญที่ค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจ มองไปที่ภูผาและถามว่า “นายมีวิธีจัดการจริงเหรอ”
ภูผายิ้มและพูดเสียงเบา “ปริญ ถ้าฉันช่วยนายระงับเรื่องราวลงได้ นายสัญญาได้ไหมว่าจะลืมเรื่องนี้ และอย่าหาเรื่องพี่ใหญ่ของฉันอีก”
ปริญที่อยู่ตรงข้ามวางกระแทกแก้วลงบนโต๊ะด้วยความโมโห และพูดอย่างหงุดหงิดที่อีกฝ่ายไม่เป็นอย่างที่คิด “ภูผา นายมีความกล้าบ้างไหม เขาปฏิบัติต่อนายยังไง นายกลับยังคอยตามล้างตามเช็ดให้เขาอีก!”
ใบหน้าของภูผามีแต่ความเศร้า รอยยิ้มขมขื่นปรากฏที่มุมปาก “ไม่ว่าจะพูดยังไงเขาก็เป็นพี่ใหญ่ของฉัน เรื่องในอดีต……ก็ช่างมันเถอะ”
ยิ่งเขาพูดแบบนี้ ปริญก็ยิ่งโมโห “ฉันขอแนะนำให้นายตื่นหน่อย! นายคิดว่านายทำแบบนี้แล้วเขาจะขอบคุณนายเหรอ ไม่มีทาง!”
“ไหนจะขาของนาย……”
ทันทีที่ตื่นเต้นเขาก็จะพูดทุกอย่าง แต่ผ่านไปครึ่งคำก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสมจึงหยุดพูดทันที หยิบแก้วขึ้นดื่มไวน์รวดเดียว “รู้ไหมว่าทำไมตอนนั้นฉันถึงเลิกคบกับนาย เพราะฉันรู้สึกว่านายมันไม่มีกระดูกสันหลังเกินไป!”
ดวงตาของภูผาฉายแววเย็นชาแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงแผ่วเบาว่า “ต่อให้เขาไม่ปฏิบัติต่อฉันเหมือนพี่น้อง แต่ใจฉันก็ยังถือว่าเขาเป็นพี่ใหญ่ กับนายก็ด้วย ในใจของฉันนายเป็นเพื่อนที่ดีตลอดไป”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ปริญพลันสีหน้าซับซ้อน สุดท้ายก็คว้าแก้วข้างๆ มารินไวน์ “ด้วยคำพูดของนาย เรายังเป็นเพื่อนกัน!”
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ปริญออกจากห้องอย่างพึงพอใจ ครามปิดประตูเดินไปหาภูผา และอดไม่ได้ที่จะถามว่า “คุณชาย ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณต้องช่วยเขา”
ภูผายกมือขึ้นมาจัดผ้าห่มบนขาให้เรียบ และพูดอย่างเย็นชาว่า “ศัตรูของศัตรูก็คือเพื่อน ช่วยเขาตอนนี้ มันจะเป็นประโยชน์อย่างมากในอนาคต”
คนหัวรั้นอย่างปริญ ให้ประโยชน์ดีๆ แค่นิดน้อยก็สามารถซื้อเขาได้อย่างง่ายดายแล้ว ในขณะเดียวกัน เขาซึ่งมีความพยาบาทต้องการแก้แค้น ใช้แค่คำพูดไม่กี่คำก็สามารถยุยงให้ต่างฝ่ายต่างสู้กันเอาเป็นเอาตายได้
หมากแบบนี้ สำหรับเขาไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว
“คุณภวินท์ครับ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ข่าวบนอินเทอร์เน็ตถูกลบออกหมดแล้วครับ”
ทันทีที่การประชุมจบลง พายุก็ก้าวเข้ามาทันที รายงานที่ข้างหูภวินท์
ภวินท์คิ้วขมวด ใบหน้าหล่อเหลาปกคลุมไปด้วยความเย็นชา
ตามหลักแล้ว ข่าวพวกนั้นไม่ควรถูกลบออกได้รวดเร็วขนาดนี้ ความสามารถและวิธีการประชาสัมพันธ์ของบริษัทบริษัทวรโชติ เขาก็รู้ดีด้วย
ช่วงเวลาสั้นๆ เรื่องร้อนแรงที่เป็นที่นิยมสะสมไม่หยุดหย่อนโดนระงับแบบนี้ เว้นแต่จะมีคนที่ร้ายกาจกว่าอยู่เบื้องหลังปริญ
กลับมาที่ห้องทำงาน เขาปลดกระดุมเสื้อด้วยมือข้างหนึ่ง นั่งลงที่โต๊ะ ยกมือขึ้นกดระหว่างคิ้ว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไม่เป็นไร ก็ตามนั้น”
แม้ว่าข่าวจะลบออกไปแล้วก็ตาม แต่เรื่องราวมันก็แพร่ออกไปแล้ว คนที่ควรรู้ก็รู้แล้ว แบบนี้ ในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้จะไม่มีบริษัทไหนกล้าร่วมธุรกิจกับบริษัทวรโชติแน่นอน
นับว่าบรรลุวัตถุประสงค์
พายุพยักหน้า ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นได้ พูดว่า “คุณภวินท์ครับ งานกิจกรรมออฟไลน์ของยีโบรุยครั้งนี้นับว่าสำเร็จลุล่วงไปแล้ว จำนวนเงินโบนัสที่ตั้งไว้คือเท่าไรครับ”
งานกิจกรรมแบบนี้เดิมทีโบนัสทั้งหมดเป็นเหมือนรางวัลตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่คราวนี้ภวินท์รู้ว่าญาธิดากำลังขาดเงิน ดังนั้นจึงให้เธอเข้าร่วมในการวางแผนงานเป็นพิเศษ และบอกว่ามีโบนัสก้อนโต ตอนนี้งานกิจกรรมจบลงแล้ว ก็ควรถึงเวลากำหนดจำนวนโบนัสที่แน่นอน
ทันทีที่นึกถึงว่าตอนนี้ดร.ยติภัทรยังคงนอนอยู่ในโรงพยาบาล ภวินท์ก็ขมวดคิ้วแน่น และพูดบางเบา “ให้เธอเข้ามา”
พายุส่งเสียงตอบรับและออกไปทำตามทันที
สิบนาทีต่อมา ญาธิดารีบจากออกจากฝ่ายธุรการไปยังห้องทำงานประธาน รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย
ทุกครั้งที่เธอถูกภวินท์เรียกให้ไปห้องทำงาน เธอกลัวมาก บวกกับเรื่องทุกครั้งที่เกิดขึ้นของพวกเขาก่อนหน้านี้ ตอนนี้ต้องไปพบเขาตามลำพังใจจึงยิ่งหวั่นกลัว
เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูห้องทำงาน ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะเคาะประตูแล้วผลักเข้าไป
ทันทีที่เธอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นภวินท์ยืนหันหลังให้อยู่ตรงหน้าต่างบานยาว รูปร่างสูงใหญ่ แผ่รังสีแห่งความสง่าผ่าเผย แค่มองด้านหลังก็พาให้คนใจสั่นอย่างช่วยไม่ได้
ญาธิดาอดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจ ดูดีทุกมุมมองเลย ก็แบบนี้แหละนะสำหรับบางคน แม้แต่หลังคอก็ยังดูดีกว่าคนปกติ
ไม่สมเหตุสมผลจริงๆ
เมื่อได้ยินเสียง ชายหนุ่มจึงหันกลับมา ญาธิดาจึงฉวยโอกาสถอนสายตากลับ
ภวินท์มองไปที่ญาธิดา เหลือบมองมือที่พันผ้าก๊อซและพูดเสียงอ่อน “งานกิจกรรมของโบรุยครั้งนี้ทำได้ไม่เลว นั่นเป็นโบนัสสำหรับคุณ”
ญาธิดามองตามสายตาของเขา เมื่อเห็นซองจดหมายที่วางอยู่มุมโต๊ะ ในใจก็รู้สึกแปลกๆ
ปกติถ้าบริษัทแจกโบนัสสำหรับโครงการใดๆ มันจะถูกแจกไปพร้อมกับเงินเดือนของเดือนถัดไป แล้วทำไมไม่ให้ไปที่ฝ่ายการเงิน แต่ประธานบริษัทมาจ่ายเงินให้แทนล่ะ
นิ่งไปครู่หนึ่ง ญาธิดากุมมือสองข้างแน่น ลดสายตาลงแล้วพูดว่า “ฉันไม่เอา”