ดวงใจภวินท์ - บทที่ 217 ให้ท้าย
เห็นเอกสารสัญญาธรรมดาที่ส่งมา ญาธิดาก็อึ้งเล็กน้อย หยิบมาพลิกดู เห็นในนั้นเขียนเงื่อนไขว่าฝ่าย ก จะรับผิดชอบค่าผ่าตัดของคุณพ่อฝ่าย ข ก็ยิ่งตกใจนิดๆ
เธอขมวดคิ้ว สีหน้าโกรธนิดหน่อย มองภวินท์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามขณะถามขึ้น “นี่มันอะไร?”
ภวินท์ขยับริมฝีปาก พูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “สัญญาที่ให้ผลประโยชน์กับเราทั้งสองฝ่าย”
“ค่าใช้จ่ายผ่าตัดทั้งหมดของอาจารย์ ฉันจะรับผิดชอบเอง ตราบใดที่เธอทำตามข้อตกลงของสัญญาได้”
ได้ยินเขาพูดแบบนี้ สีหน้าญาธิดาก็เย็นชาทันที มือเธอที่ถือเอกสารอยู่ก็กระชับแน่นเล็กน้อย กัดปากพูดขึ้น “นี่ถือเป็นการเลี้ยงดูไหม?”
เมื่อก่อนเธอเคยดูละครโทรทัศน์ที่พล็อตเรื่องคล้ายกัน เพราะนางเอกต้องการเงิน จึงเซ็นสัญญาแบบนี้ ทั้งสองฝ่ายจะได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ
เธอไม่เคยคิดเลย ว่าวันหนึ่งตัวเองจะเจอเหตุการณ์แบบนี้เหมือนกัน
“ไม่ถือ”
สีหน้าภวินท์จริงจัง น้ำเสียงมั่นใจ “เธอต้องการเงินให้พ่อผ่าตัด ฉันอยากให้เธอช่วยแสดงละครต่อหน้าคุณย่าฉัน”
ญาธิดาขมวดคิ้ว ถามอย่างไม่เข้าใจ “ทำไม?”
ดวงตาดำสนิทอันลุ่มลึกของภวินท์จ้องมองเธอ พูดขึ้นทีละคำ “เพราะตอนแรกคนที่ฉันจดทะเบียนสมรสด้วยคือเธอ และคุณย่าก็ชอบเธอมาก ฉันอยากให้เธอปลอบโยนในช่วงเวลาที่คุณย่าสุขภาพไม่ดี ดังนั้นเธอแค่ต้องร่วมมือกับฉันเพื่อแสดงละครก็เท่านั้นเอง”
เห็นญาธิดาไม่พูดอะไรอยู่นานมาก ภวินท์จึงพูดขึ้นเรียบๆ “นี่เพื่อคำนึงถึงสุขภาพของคุณย่า ถ้าเธอไม่ยินยอม ฉันก็ไม่บังคับ”
ไตร่ตรองอยู่สักพักหนึ่ง ญาธิดาก็กัดฟัน ยืนยันอีกครั้ง “จำเป็นต้องทำแบบนี้จริงๆ เหรอ?”
ภวินท์พยักหน้าเล็กน้อย “ตามข้อตกลงของสัญญา ระยะเวลาหนึ่งปี”
ญาธิดาเงียบ สองมือประสานกัน จิตใจคิดมากสับสน
เธอไม่รู้ว่าควรตอบตกลงไหม ถ้าเซ็นไป ภาระครอบครัวพวกเธอจะลดลงเยอะมาก และนี่ก็หวังดีกับคุณย่าด้วย ตอนแรกเธอก็พูดไปแล้วว่าจะตกลงเงื่อนไขทุกอย่างของเขา
คิดไปคิดมา หลังจากชั่งน้ำหนักอย่างจริงจัง ญาธิดาก็พลิกดูเอกสาร หลังจากนั้นสักพัก ก็ตัดสินใจพูดขึ้น “ได้ ฉันตกลง”
เพื่อคุณพ่อ เพื่อคุณย่า เธอยอมทำการแสดงกับภวินท์
ภวินท์ได้ยินดังนั้น ก็เหมือนไม่แปลกใจกับการเลือกของเธอ
ญาธิดากัดฟัน ลังเลไม่กี่วินาที สุดท้ายก็หยิบปากกาขึ้นมาเซ็นชื่อตัวเองที่บริเวณลงนาม
ขณะที่ดันเอกสารไปตรงหน้าภวินท์ ทันใดนั้นญาธิดาก็รู้สึกเหมือนขายตัวเอง หลังจากภวินท์ยกมือขึ้นเซ็นชื่อ เธอรู้ดี ไม่ว่าเธอจะเสียใจภายหลังหรือไม่ ทุกอย่างมันก็จบสิ้นแล้ว
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คุณพ่อสามารถได้รับการผ่าตัดอย่างเร็วที่สุด สำหรับเธอแล้ว มันเป็นข่าวดีที่ยากจะเกิดขึ้น
หายใจเข้าลึกๆ เธอมองดูเวลา มองไปทางภวินท์ แล้วพูดขึ้นเบาๆ “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันไปก่อนนะ”
ภวินท์เหลือบมองเธอ ตอบตกลงอย่างสบายๆ ลุกขึ้นตามเธอเดินออกไปข้างนอก
ขณะที่ลงมาข้างล่าง ญาธิดาได้ยินเสียงคุยกันที่ห้องรับแขก หลังจากเดินลงไป ก็พบว่าที่นั่นมีคนอยู่ ภูผานั่งอยู่บนรถเข็น กำลังคุยอะไรบางอย่างกับคราม ลูกน้องของเขา
ภูผาหันหน้ามาเห็นญาธิดาพอดี ดวงตาเป็นประกาย ยกยิ้มทักทายเธอ “ธิดา คุณมาได้ยังไง?”
ญาธิดายิ้มให้เขา “ฉันมาเยี่ยมคุณย่าค่ะ”
เขาควบคุมรถเข็น เข้ามาใกล้เธอ ถามขึ้นช้าๆ “นี่จะไปแล้วเหรอ?”
ญาธิดาพยักหน้า “อืม”
ภูผาเลิกคิ้ว เอ่ยปากอย่างเป็นกันเอง “งั้นให้ฉันไปส่งนะ ฉันจะออกไปข้างนอกพอดี”
ญาธิดาลังเล ไม่รู้ว่าต้องตอบตกลงไหม ทันใดนั้นด้านหลังก็มีเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้น “ไม่ต้อง”
จากนั้นไหล่เธอก็หนัก ถูกคนโอบจากด้านข้าง เสียงนั้นก็ใกล้เข้ามาอีก “ฉันจะไปส่งเธอ”
ญาธิดาหันหน้าไปมองภวินท์อย่างอึดอัดเล็กน้อย ยังไงแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดเธอก่อนต่อหน้าคนอื่น
สายตาภูผามองไปที่ไหล่ญาธิดาอย่างเป็นธรรมชาติ สองวินาทีต่อมา เขาก็ยิ้มขณะพูดขึ้น “ในเมื่อพี่ใหญ่จะไปส่งเอง งั้นฉันก็วางใจ”
ขณะที่พูด เขาก็มองไปที่ครามข้างๆ
ครามผลักรถเข็นออกไปข้างนอกทันที
ญาธิดาแอบถอนหายใจ ภวินท์และภูผาเหมือนน้ำกับไฟ ทั้งสองเข้ากันไม่ได้ เจอหน้ากันทีไรจะดุเดือดเลือดพล่านอย่างรุนแรง
ทันใดนั้น ไหล่ก็เบาลง มือชายหนุ่มเอาออกไปแล้ว “ไปกันเถอะ”
ญาธิดาอึ้ง แล้วก้าวตามไป
ภวินท์และญาธิดาขึ้นรถ แล้วขับรถออกไปก่อน
อีกด้านหนึ่ง ครามส่งภูผาขึ้นรถ เก็บรถเข็นอีกครั้งก่อนจะขึ้นรถ แล้วขับรถออกจากคฤหาสน์หลังเก่า
ภูผานั่งเบาะหลัง ดูเหมือนอารมณ์ไม่แย่ มุมปากยกยิ้มคลุมเครือไม่ชัดเจนตั้งแต่ต้นจนจบ
รถกำลังแล่นอยู่บนถนน จากมุมมองของเขาสามารถเห็นรถภวินท์ที่ขับอยู่ตรงหน้าไม่ไกลได้พอดีเลย
เขาพูดขึ้นช้าๆ “นายสังเกตเห็นไหม ภวินท์ปฏิบัติกับญาธิดาไม่ค่อยเหมือนแต่ก่อน”
ครามถามขึ้น “ไม่เหมือนยังไงครับ?”
ภูผายิ้ม “การกระทำเขาเมื่อกี้ มันคือท่าทางให้ท้าย”
ครามไม่เข้าใจ “ทำไมผมไม่รู้สึก?”
ภูผาได้ยินดังนั้น ก็หลุดขำเงียบๆ
เขาเป็นท่อนไม้ที่ไม่เคยมีความรัก มองอะไรไม่ออกอยู่แล้วล่ะ
ไม่ตอบคำถามครามอีก เขาพูดขึ้นทันที “กลับคฤหาสน์”
จากคฤหาสน์หลังเก่าไปถึงบ้านพักของภูผา ใช้เวลาแค่สิบห้านาทีเท่านั้น
เขาไปกลับระหว่างคฤหาสน์หลังเก่ากับบ้านพักทุกวัน ที่ไม่ได้ออกไปอย่างเป็นอิสระเหมือนภวินท์ ไม่ใช่เพราะเรื่องอื่น แต่เพื่อสร้างภาพลักษณ์กตัญญูต่อหน้าคุณย่า
แต่คุณย่าปฏิบัติกับเขาธรรมดา ไม่ถึงกับชอบและไม่ถึงกับเกลียด เขารู้ตัวว่าในใจคุณย่าเขาเทียบภวินท์ไม่ได้ แต่ก็ไม่ค่อยใส่ใจนัก
ใครให้เขาเป็นลูกนอกสมรสที่สิ้นหวังกันล่ะ? เข้าตระกูลสถิรานนท์อย่างเป็นทางการเมื่ออายุสิบหกปี ขาดชีวิตวัยเด็กที่ได้อยู่เคียงข้างคุณย่า แน่นอนว่าเทียบกับภวินท์ไม่ได้อยู่แล้ว
แต่เขาก็ไม่สนใจเช่นกัน
มาถึงคฤหาสน์ ครามเข็นเขาขึ้นไปห้องฟื้นฟูชั้นสอง เมื่อผลักเปิดประตู ก็เห็นเกล้าแก้วนั่งเก้าอี้ตรงหน้าต่างบานใหญ่ มีหนังสือเล่มหนึ่งเปิดอยู่ในอ้อมแขน ศีรษะเอียงไปข้างๆ หลับสนิทไปแล้ว
มุมปากภูผายกยิ้ม ยกมือขึ้นให้ครามออกไป ควบคุมรถเข็นอัตโนมัติให้เข้าไปใกล้หญิงสาว
หยุดอยู่ข้างๆ เกล้าแก้ว ภูผาหยิบหนังสือในอ้อมแขนเธอขึ้นมาพลางกวาดสายตามอง
เกล้าแก้วข้างๆ ลืมตาขึ้นเล็กน้อย เห็นว่าจู่ๆ ก็มีคนโผล่มาข้างกาย ก็ตกใจยืนขึ้นด้วยความลุกลี้ลุกลน “คุณ…คุณภูผา! คุณกลับมาตั้งแต่เมื่อไรคะ?”
ภูผาวางหนังสือไว้ข้างๆ “ตอนน้ำลายเธอยืดลงบนคาง”
เมื่อเกล้าแก้วได้ยิน ก็หน้าแดงด้วยความละอายใจ รีบยกมือขึ้นเช็ดคาง
เอ๋? ไม่มีน้ำลายนี่?
ทำไมเขา……
เธอเงยหน้ามองภูผา รู้ตัวอีกทีก็ตอบสนองว่าตัวเองโดนแกล้งเข้าแล้ว
เธอทั้งโกรธทั้งขำ แต่พูดอะไรไม่ได้ รีบเอาหนังสือกลับไปวางบนชั้นหนังสือ
ช่วงนี้ได้พูดคุยติดต่อกัน เธอพบว่าภูผาไม่ได้เคร่งขรึมเย็นชาแปลกประหลาดเหมือนตอนแรกที่เจอ แต่บางครั้งยังล้อเล่นกับเธอด้วย
เธอเดินไปข้างหน้า เอ่ยปากเตือน “คุณภูผา วันนี้ยังไม่ได้ฝึกกายภาพเลย”
ภูผาพูดขึ้นเบาๆ “อืม เริ่มตอนนี้เลย”