ดวงใจภวินท์ - บทที่ 235 เธอหลับไปแล้ว
อัญมณีเหลือบมองเขา พลันก้มศีรษะลงเพราะหัวใจห่อเหี่ยว “ดูเหมือนว่าฉันก่อเรื่องให้ธิดาต้องเจ็บตัวแล้วค่ะ…”
ธีทัตเหลือบมองใบหน้าที่ค่อยๆ บวมปูดของญาธิดา แววตาวูบวาบ จึงรีบถามไถ่ทันควัน “ธิดา หน้าคุณไปทำอะไรมา?”
ญาธิดาเบนใบหน้าด้านข้างที่ถูกตบไปทางอื่น แววตาหวั่นไหว “ไม่เป็นไรค่ะ อันอัน ดื่มจนเมาแอ๋ คุณพาเธอกลับไปเถอะค่ะ”
ธีทัตเห็นเหตุการณ์ จึงไม่ได้ถามไถ่มากนัก ในใจก็พอจะเดาได้ พลันยื่นมือออกไปรับตัวอัญมณีทันที
เขาชัดเจนถึงนิสัยของน้องสาวตัวเองมากที่สุด ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้เธอไปเที่ยวผับบาร์สถานที่ท่องเที่ยวตอนกลางคืน เหตุเพราะกลัวว่าเธอจะไปก่อเรื่องจนได้ ซึ่งครั้งนี้กว่าจะอนุมัติให้สักครั้งก็ยากเย็นพอตัว สถานที่ไปก็เป็นบาร์ร้านนั่งฟังเพลงของเพื่อนสนิท ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องขึ้น
เขาย่นคิ้วให้ พลันหันหลังไปมองลูกน้องที่อยู่ทางด้านหลังที่อยู่ไม่ไกลนัก พร้อมทั้งออกคำสั่งเสียงเย็นเฉียบ “เรียกรถส่งเธอกลับบ้าน”
ลูกน้องพยักหน้า พลางประคองอัญมณีที่อยู่ด้านข้างรถแท็กซี่
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลันยกมุมปาก “คุณก็กลับไปเถอะ ฉันกลับบ้านเองได้ค่ะ”
“ผมส่งคุณกลับบ้านเอง”
น้ำเสียงธีทัตแน่วแน่มาก พลันจ้องมองใบหน้าครึ่งซีกที่ค่อยๆ บวมขึ้นเรื่อย จนเกิดความรู้สึกเจ็บใจจนพรรณนาไม่ถูก
จะมีผู้ชายคนไหนเล่าที่อดทนได้เมื่อเห็นหญิงสาวคนที่ตนเองรักได้รับบาดเจ็บมาล่ะ?
ญาธิดาช้อนตาขึ้น และเตรียมจะปฏิเสธทางอ้อม “ไม่ต้อง…”
ใครเล่าจะรู้ จู่ๆ ธีทัตคว้าแขนเธอ และลากจูงเดินไปทางด้านข้างทันที
กลิ่นหอมอ่อนๆ ติดตัวแผ่ออกมาจากร่างกายของชายหนุ่ม จนทำให้เธอสบายใจมากขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
การถูกเขาจูงมือและเดินตัดผ่านถนนเส้นหนึ่ง จนกระทั่งมาหยุดหน้าประตูร้านขายยาแห่งหนึ่ง
ธีทัตปล่อยมือลง และหันศีรษะกลับไปมองเธอ “คุณรอผมอยู่ที่นี่นะ ผมจะไปซื้อยา”
เขาพูดจบ ก็ก้าวเท้าเข้าไปในร้านขายยา ไม่นานนัก ตอนที่เขากลับมาอีกครั้งนั้น ในมือก็มีครีมทาแก้อาการบวมช้ำและก้านไม้พันสำลี
หัวใจญาธิดาอบอุ่นขึ้นมาทันที ไม่คิดเลยว่าเขาจะพาเธอมาซื้อยาก่อน
ธีทัตยิ้มให้เธอ พลันพูดอย่างอ่อนโยน “ไปเถอะ ขึ้นรถแล้วค่อยทา ที่นี่คนเยอะ”
เมื่อได้ยิน ญาธิดาตะลึงเล็กน้อย
ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า อ่อนโยนและเอาอกเอาใจมากกว่าเธอคิดเอาไว้อีกเยอะ
เธอเดินตามเขาอย่างเชื่อฟัง และขึ้นรถตามเขา
เมื่อขึ้นรถ ธีทัตกระซิบพูดเสียงเบา “นิสัยแบบนั้นของอันอันผมเข้าใจดี เธอยังอ่อนโลก โชคดีที่คุณช่วยเธอเอาไว้”
เวลานี้ ญาธิดาหายโกรธไปเกินครึ่ง เธอยกมุมปากหัวเราะร่า “โทษเธอไม่ได้หรอกค่ะ แค่เธอดื่มหนักมากไปหน่อย”
อีกอย่างเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้แองจี้มาหาเรื่องจริงๆ ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่สามารถโทษอันอันได้เลย
“ผมทายาให้คุณนะ”
ธีทัตทั้งพูด และหยิบไม้ก้านพันสำลีปาดครีมยาทา และโน้มตัวเข้าใกล้เธอ
เดิมทีภายในตัวรถยนต์ก็เป็นพื้นที่มิดชิด ยิ่งเขาเขยิบเข้าใกล้ ระยะห่างระหว่างคนสองคนก็ใกล้กันทันที ญาธิดาหันหน้าทางด้านข้างให้ พลางสูดลมหายใจเข้าเบาๆ อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ธีทัตจับก้านไม้พันสำลี พลางมองใบหน้าด้านข้างของหญิงสาวที่อยู่ด้านหน้า พลันรู้สึกตื่นเต้นอย่างอธิบายไม่ถูก
เมื่อครีมยาเย็นๆ สัมผัสแก้มของเธอ โดยทายางบางๆ ชั้นหนึ่ง แม้ว่าจะเจ็บแสบเล็กน้อย ทว่าญาธิดาก็อดสูดปากจนเปล่งเสียงออกมาไม่ได้
“เสร็จแล้วครับ”
ในที่สุด ธีทัตก็ทาครีมเสร็จ พลันดึงมือกลับไป โดยที่ทั้งสองคนแอบถอนหายใจโล่งอกอย่างไม่รู้ตัว
ใบหูธีทัตเริ่มแดงระเรื่อง พลางสตาร์ทรถ และพูดกระซิบ “คุณพักผ่อนสักหน่อย ผมจะส่งคุณกลับบ้านเอง”
“ค่ะ”
ญาธิดาเบนสายตาออก เพื่อมองนอกกระจกรถ ร่างกายที่เกร็งไปทั่วค่อยๆ ผ่อนคลายลงบ้าง
ฤทธิ์สุราแก้วนั้นที่เพิ่งดื่มมาจากในบาร์ร้านเหล้าค่อยๆ ออกฤทธิ์ โดยเธอเริ่มง่วงนอนเล็กน้อย จึงซุกพิงกับที่นั่งเบาะหลังอันอ่อนนุ่ม และค่อยๆ หลับไปอย่างไม่รู้ตัว
ธีทัตพิจารณามองใบหน้าหญิงสาวที่อยู่ด้านข้าง พลันยกมุมปากขึ้นอย่างอดไว้เสียไม่ได้ แถมยังจงใจลดความเร็วของรถยนต์ โดยขับรถให้นิ่มมากขึ้น
เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าชั่วขณะนี้เวลาจะยาวนานกว่าเดิม
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ตอนที่ใกล้ถึงประตูของเขตคอนโดนั้น โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าที่วางไว้ด้านข้าง ก็ส่องแสงกะพริบขึ้นมา
หน้าจอโทรศัพท์กะพริบไปมา และสั่นไม่หยุด ธีทัตได้ยิน เกรงว่าจะเป็นการปลุกญาธิดาให้ตื่น จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันควัน
วินาทีเตรียมจะดับหน้าจอนั้น แววตาของเขากวาดตามองตามสัญชาตญาณ ตอนที่เห็นตัวอักษร “ภวินท์” ฝ่ามือกำหมัดแน่น
เขาหันศีรษะเล็กน้อย เพื่อเหล่มองญาธิดาที่กำลังหลับสนิทอยู่ด้านข้าง จนเกิดความรู้สึกสับสน
หลังจากนั้นสองวินาที เขาก็กดรับสาย และแนบข้างหู “ฮัลโหล? มีธุระอะไรมั้ย?”
ภวินท์ที่อยู่ปลายสายได้ยินแล้วตกตะลึงเล็กน้อย วินาทีต่อมาหัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากันแน่น “นายเป็นใคร?”
ธีทัตย่นคิ้ว พลันพูดเสียงทุ้มต่ำ “เพื่อนเธอ เธอนอนหลับอยู่บนรถ มีธุระอะไรไว้วันอื่นคุณค่อยโทรมาใหม่แล้วกัน”
พูดจบ ก็ไม่รอให้ภวินท์พูดว่าอะไรต่อ เขาตัดสายทิ้งทันที
อีกฝั่ง สีหน้าภวินท์หม่นหมองลงทันควัน
เธอกวาดตามองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายทิ้ง สายตาเหล่ตามองเวลา และเกิดความรำคาญใจ มันตีขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก
ทำไมเขาจะฟังไม่ออกว่าเป็นเสียงของธีทัต ดึกป่านนี้แล้ว พวกเขายังจะอยู่ด้วยกัน!
อีกอย่างญาธิดายังนอนหลับใหลอยู่บนรถของเขาอีก!
นี่เธอโง่เง่าหรือว่าใสซื่อกันแน่? ที่ทำเรื่องเสี่ยงแบบนี้!
ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้แจ้งเนื้อหาที่อยู่ในสัญญากับเธออย่างชัดเจน ทว่าเธอทำเป็นหูทวนลมกับคำพูดของเขาจนเห็นได้อย่างชัดเจน!
ความรู้สึกอัดอั้นอยู่ในหัวใจจนมันพูดไม่ออก มือของภวินท์กำโทรศัพท์เอาไว้เริ่มกำแน่นขึ้นเรื่อย
จนสุดท้าย นัยน์ตาของเขาก็ฉายแววตาอันเย็นชาออกมาแวบหนึ่ง พลันเรียกลูกน้องที่อยู่นอกประตู พร้อมทั้งพูดกำชับเอาไว้ “ติดต่อผู้อำนวยการของโรงพยาบาลสงฆ์ พรุ่งนี้ฉันจะย้ายไปที่โรงพยาบาลพวกเขาด้วย”
ลูกน้องตกใจเล็กน้อย พลันอดถามอย่างอดใจไว้ไม่ได้ “ติดต่อตอนนี้เลยมั้ยครับ?”
สีหน้าของชายหนุ่มราวกับปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งอันหนาวเหน็บอีกชั้น “จัดการเดี๋ยวนี้!”
อีกทาง ญาธิดาเพิ่งตื่นขึ้นมา พลางมองนอกหน้าต่างแวบหนึ่ง ซึ่งถึงใต้ตึกคอนโดแล้ว จนรีบลุกพรวดขึ้นมาทันควัน
“ขอโทษค่ะ” เธอยิ้มให้ธีทัตเป็นการขอโทษขอโพย “ฉันเผลอหลับไปเลย คุณรออยู่นานแล้วใช่มั้ยคะ?”
ธีทัตหัวเราะร่า “ก็ไม่นะ เพิ่งถึงเอง”
ญาธิดายิ้มให้เขา พลันหยิบกระเป๋ากับโทรศัพท์ที่อยู่ด้านข้าง จึงผลักประตูลงจากรถ “งั้นต้องขอบคุณคุณด้วยค่ะ คุณรีบกลับบ้านเถอะค่ะ”
ธีทัตอยากจะพูดต่อแต่ยั้งปากเอาไว้ ซึ่งเตรียมจะพูดถึงเรื่องว่าตนเองได้รับโทรศัพท์ให้เมื่อครู่นี้ ทว่าใครจะไปรู้ว่าญาธิดาลงจากรถไปแล้ว ก็ปิดประตูรถทันที แถมโบกไม้โบกมือให้เขา และหันตัวเดินจากไป
ธีทัตยิ้มให้อย่างหมดคำพูด สายตาจับจ้องมองอยู่บนร่างกายของหญิงสาวอยู่สองนาที ถึงได้ตั้งสติกลับมาและสตาร์ทรถยนต์ออกไป
ความจริง หากพูดถึงความเห็นแก่ตัว เขาเองก็มีเช่นเดียวกัน
ตอนที่เขาพบกับภวินท์เป็นครั้งแรก ก็เกิดความรู้สึกตงิดใจว่าเขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา อาจจะเป็นด้านธุรกิจ หรือด้านความรัก
ซึ่งหลายปีที่ผ่านมานี้ มีคนอยู่ไม่มากนักที่เขาจะหมายหัวว่าเป็นอริศัตรู นั่นก็คือผู้ชายคนนั้น
ญาธิดาผล็อยหลับไปหนึ่งตื่น จนเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นมาก เมื่อกลับถึงบ้าน ก็อาบน้ำอาบท่า และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาคุณปภาวีทันที
“นอนหรือยังคะ?”
ไม่นานนัก ทางนั้นก็ตอบข้อความกลับมา “พ่อแกนอนหลับไปแล้ว แม่ก็เตรียมจะพักแล้ว”
“ค่ะ รีบพักเถอะค่ะ พรุ่งนี้หนูจะไปเยี่ยมพ่อกับแม่นะ”
เมื่อส่งข้อความไปเรียบร้อยแล้ว ญาธิดารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาก ช่วงนี้หลายวันติด เธอก็คุ้นเคยกับการสอบถามสภาพต่างๆ ของบิดามารดา
อีกไม่กี่วันต่อจากนี้ รอจนถึงวันที่บิดาเข้ารับการผ่าตัดแล้ว คุณหมอเธียรชัยได้กำชับเป็นมั่นเป็นเหมาะ ก่อนที่จะทำการผ่าตัดนั้น สภาพของคนไข้ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เธอย่อมต้องใส่ใจอยู่ตลอดเวลาตามธรรมดา
ขอแค่การผ่าตัดในครั้งนี้ประสบผลสำเร็จ งั้นความพากเพียรของเธอในระยะนี้ก็จะไม่สูญเปล่าไปแล้ว ฉะนั้นการเซ็นสัญญาฉบับนั้นถือว่าไม่ได้เสียเปล่า