ดวงใจภวินท์ - บทที่ 240 คนตอแหลตัวเป็นๆ
อัญมณีตกตะลึง จึงอ้าปากพูดตามสัญชาตญาณทันที “ธิดา แกบาดเจ็บอยู่นะ!”
ญาธิดาก้มศีรษะลง พลันมองข้อศอกแวบหนึ่ง และพูดตามปกติ “เมื่อกี้ตอนล้มไม่ทันระวังเลยโดนขูดมา ไม่เป็นไรหรอก”
“ไม่เป็นไรได้ไง? จะติดเชื้อเอาน่ะสิ!” สีหน้าอัญมณีเคร่งขรึมขึ้นมาก พลางจูงเธอเดินออกทันควัน “ฉันจำได้ว่าแถวนี้มีคลินิก ฉันจะพาแกไปทำแผล”
ญาธิดาปฏิเสธไม่ได้ ทำได้เพียงไปพร้อมกับเธอ
ตลอดทาง อัญมณีบ่นต่อไปไม่หยุด เมื่อถึงคลินิกแล้ว พอได้เจอหมอ เธอถึงได้หยุดลงบ้าง
มีการพันแผลอย่างเรียบง่าย หลังจากนั้นหมอก็สั่งยาทาและผ้าก๊อซ พร้อมกับกำชับให้เธอให้เปลี่ยนยาให้ตรงเวลา
เมื่อได้ยามาแล้ว ญาธิดากับอัญมณีก็ออกมาจากคลินิก
“ธิดา เมื่อกี้ฉันมาคิดดูแล้วนะ ฉันรู้สึกว่าเรื่องที่แกเซล้มลงไปมันไม่ใช่เรื่องธรรมดา แกไม่รู้สึกว่านิวราตั้งใจเหรอ? แกลองมองท่าทางตอนที่นางซุกตัวอยู่ในอ้อมอกของภวินท์เมื่อกี้นี้ คนตอแหลตัวเป็นๆเลยแหละ”
ญาธิดาได้ยิน พลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และตอบเสียงแผ่วเบา “ฉันว่าเธอไม่เหมือนตั้งใจนะ อาจจะเป็นอุบัติเหตุก็ได้มั้ง”
“อุบัติเหตุ? ธิดาแกช่างใสซื่อเกินเหตุจริงๆ!” อัญมณีพูดอย่างไม่พอใจทันที “ยังไงฉันก็รู้สึกว่านิวราคนนี้ไม่ธรรมดาเลย แกต้องระวังไว้ด้วย”
ญาธิดาเกี่ยวแขนอัญมณี พลันกระซิบอย่างแผ่วเบา “รู้แล้วค่ะอันอัน”
เพราะว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อัญมณีพูดออกมาเช่นนี้ ทว่าในความทรงจำของเธอ นิวราเป็นผู้หญิงที่แสนอ่อนโยนและจิตใจเมตตามาก ไม่เหมือนคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นแบบนั้น
ช่างเถอะ ไม่ต้องคิดอะไรมากอีกแล้ว ในทางกลับกันภายภาคหน้าเธอกับนิวราก็จะไม่มีอะไรที่ต้องเกี่ยวกันกันแล้ว
เมื่อกลับมาถึงคอนโด เวลาค่อนคืนแล้ว ญาธิการีบล้างหน้าล้างตาอาบน้ำ จนลืมกดนาฬิกาปลุก และเข้าพักผ่อนทันที
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเธอตื่นขึ้นมา พอลืมตาก็รู้ตามสัญชาตญาณทันทีว่าเวลาเลยเถิดไม่เช้าแล้ว พลันรีบลุกทางเตียงอย่างกระหืดกระหอบ และบึ่งมายังบริษัททันที
เดิมทีเธอวางแผนว่าวันนี้จะมาลางาน ถ้าสายเกรงว่าจะทำให้หัวหน้าไม่พอใจ เช่นนั้นการพิจารณาเรื่องลางานก็จะยิ่งยากขึ้นอีก
ญาธิดาคิดได้เพียงเท่านี้ จนเกิดความรู้สึกร้อนใจมากกว่าเดิม จึงรีบมาบริษัทอย่างเร่งรีบ ตอนที่วิ่งมาถึงหน้าประตูลิฟต์นั้น ประจวบเหมาะกับมีลิฟต์กำลังขึ้นไปพอดี เธอเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ เวลาเหลืออีกแค่ 5นาที เวลานั้น เธอยิ่งร้อนใจมากกว่าเดิม
ตอนที่เธอกำลังร้อนใจโดยที่ไม่รู้ว่าทำยังไงดี พลางมีเสียงรองเท้าหนังดังมาจากทางด้านหลัง เธอไม่ได้สนใจ เพราะสมาธิมัวแต่จดจ่ออยู่กับตัวเลขที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนร้อนใจขึ้นมาก
เวลานี้เอง ทางด้านข้างก็มีเสียงเย็นชาดังขึ้น “ขึ้นไปด้วยกันเถอะ”
ญาธิดาหันศีรษะกลับมา ก็เห็นปากทางเข้าลิฟต์ที่มีไว้เฉพาะของท่านประธานที่อยู่ด้านข้าง ภวินท์กำลังยืนอยู่ตรงนั้น และกำลังใช้สายตาเคร่งขรึมมองมาทางเธอ
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเธอตื่นขึ้นมา พอลืมตาก็รู้ตามสัญชาตญาณทันทีว่าเวลาเลยเถิดไม่เช้าแล้ว พลันรีบลุกทางเตียงอย่างกระหืดกระหอบ และบึ่งมายังบริษัททันที
หัวใจเธอบีบรัดทันที พลางอยากจะปฏิเสธตามสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อเหลือบมองนาฬิกาข้อมือนั้น พลางกัดฟันแน่น สุดท้ายจึงก้าวเท้าเดินเข้าไปหา
แค่เรื่องแค่สองนาทีเอง อดทนเอาไว้เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว
เมื่อขึ้นลิฟต์ ประตูลิฟต์ค่อยๆ ปิดช้าๆ ต่างยืนอยู่คนละฝั่งในตำแหน่งที่ว่างกับภวินท์ ญาธิดาเริ่มตื่นเต้นเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว
ภวินท์ที่อยู่ด้านข้างหลุบตาต่ำลง แววตากวาดมองแขนเธออย่างไม่ได้ตั้งใจ สุดท้ายสายตาก็มาหยุดตรงข้อมือที่เสื้อเชิ้ต
ท่อนแขนเล็กๆ ที่โผล่ออกมา ด้านบนยังมีผ้าก๊อซพันเอาไว้ เหมือนได้รับบาดเจ็บมา
เขาขมวดคิ้วหากันตามสัญชาตญาณ สองวินาทีหลังจากนั้น ก็อดใจถามไม่ได้ “มือเป็นอะไร?”
ญาธิดาได้ยิน ก็ตัวแข็งทื่อทันที และรีบหดมือทันควัน พลันชูมือขึ้นเพื่อดึงชายแขนเสื้อ เพื่อปกปิดผ้าก๊อซ “ไม่เป็นไรค่ะ แค่ไม่ทันระวังจนไปเดินชนอะไรเข้า”
เมื่อภวินท์ได้ยิน ดวงตาหวั่นไหวเล็กน้อย ความรู้สึกไม่ชัดเจน
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มีอาการตื่นเต้นและห่อเหี่ยว เกรงว่าภวินท์จะซักไซ้ต่อ เธอหันไปหาเขา พลันเริ่มต้นถามกลับ “คุณนิวรา …เธอเป็นไงบ้างคะ?”
เมื่อเอ่ยถึงนิวรา สีหน้าภวินท์เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ในหัวสมองพลันฉายตอนที่นิวราพูดอยู่ในรถเมื่อคืนวาน “พี่วินคะ จริงๆ แล้วคุณญาธิดาเธอสะดุดขานิวจนนิวล้ม แต่ว่าเธอคงไม่ได้ตั้งใจมั้งคะ…”
แววตาเขาหม่นหมองลง พลันชะเง้อมองญาธิดา เมื่อเห็นสีหน้าสงบนิ่งของเธอ จึงไม่มีอาการลังเลสักนิด จากนั้นก็เผยอปากพูดออกไป “เธอไม่เป็นไร”
ญาธิดาถอนหายใจ พลันพูดอย่างแผ่วเบา “งั้นก็ดีแล้วค่ะ”
เมื่อสิ้นเสียง ประตูลิฟต์ก็เปิดออก มาถึงชั้นที่ญาธิดาทำงาน
เธอรีบโค้งตัวให้ภวินท์ จากนั้นก็รีบออกจากลิฟต์อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งวิ่งเข้าไปในเขตออฟฟิศทันที
เธอรีบวิ่งไปยังด้านหน้าเครื่องบันทึกการเข้างาน ใครจะรู้ว่าพิชญ์สินีปรากฏตัวขึ้นมาทางด้านข้าง พลันขวางเธอและถามทันที “คุณญาธิดา รายงานของไตรมาสคุณส่งขึ้นไปหรือยัง?”
“ส่งขึ้นไปแล้วค่ะ” ญาธิดาร้อนใจดั่งไฟบรรลัยกัลป์ เพื่อต้องการจะสะบัดเธอให้หลุด
แต่พิชญ์สินียังไม่ยอมลดละ พลันขวางเธอต่อ “งั้นทำไมฉันถึงไม่เห็นล่ะ?”
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางจ้องมองเธอตาไม่กะพริบ และพูดเน้นทุกถ้อยทุกคำ “ฉันเอาไปส่งให้หัวหน้าแผนกโดยตรงค่ะ”
พิชญ์สินีได้ยิน ดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ
จังหวะที่ญาธิดาผละออกจากเธอและวิ่งมาทางด้านหน้าเครื่องสแกนเข้าออกงาน ใครจะรู้ว่าเวลา9โมงตรงพอดี เธอสแกนใบหน้าด้วยระบบ AI เครื่องก็ปรากฏขึ้นมาทันที “เข้างานสาย”
ญาธิดาขมวดคิ้วไว้แน่น จนเริ่มปวดหัว ถ้าไม่ใช่ว่าพิชญ์สินีมาคอยดักทางขวางเธอเอาไว้อย่างไม่ลดราวาศอก เกรงว่าเธอก็คงไม่สาย!
การมาสายและโดนหักเงินเดือนเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ถ้าปัญหามันส่งผลกระทบไปถึงการลางานของเธอ งั้นก็ไม่ดีแน่!
ทว่าเรื่องซวยซ้ำซวยซ้อนมันพุ่งเข้ามาหา ใบลาหยุดเพิ่งส่งขึ้นไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เธอก็ได้รับแจ้งมาจากหัวหน้าแผนก “คุณญาธิดา มาห้องทำงานฉันหน่อย”
ญาธิดาสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าปอด พลันตอบรัก จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของหัวหน้าแผนกทันที
เมื่อเดินเข้าห้องทำงานแล้ว เธอก็มองเห็นพี่แนนนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะทำงาน จนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย “พี่แนน”
พี่แนนใช้ปลายคางชี้ทางเธอ “นั่งสิ”
ญาธิดาเพิ่งนั่งลง พี่แนนก็เริ่มอ้าปากถามทันที “คุณต้องการลางานห้าวัน?”
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลันกัดฟัน และสบตาพลางพูดกับเธอ “ใช่ค่ะ พ่อฉันจะต้องผ่าตัด ฉันอยากจะอยู่ข้างกายเขา”
ก่อนที่จะได้รับการผ่าตัด ระหว่างผ่าตัด บวกกับหลังจากผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอต้องการเวลาหลายวันเพื่ออยู่เป็นเพื่อนในทุกขั้นตอน
ในใจของเธอนั้น ครอบครัวถือว่าเป็นที่หนึ่ง ฉะนั้นการลาหยุดย่อมเป็นสิ่งที่ควรทำ
พี่แนนแสดงสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย “ลางานไม่มีปัญญาหรอก แต่คุณรู้หรือเปล่าว่าตั้งแต่ครึ่งเดือนหลังมานี้คุณมาสายและออกก่อนหลายครั้งนะ?”
ญาธิดาประสานมือเข้าหากัน เพราะรู้สึกไม่สงบใจ
การมาสายในวันนี้ บวกกับอาทิตย์ที่แล้วก็มาสาย รวมถึงครั้งที่แล้วที่เธอวิ่งไปขวางรถให้ภวินท์อีก จนลากยาวไปถึงตอนบ่าย ถือว่าหลายครั้งจริงๆ
“ญาธิดา ถึงแม้ปกติคุณจะเป็นคนตั้งใจทำงานมาก แต่เรื่องเหล่านี้มันก็เป็นความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ขอโทษนะ การขอหยุดงานครั้งนี้ฉันไร้วิธีจะอนุมัติให้คุณได้”
พี่แนนพูด พลันดันใบลากิจของเธอมาทางด้านหน้าเธอ
ญาธิดากัดฟันแน่น และเข้าใจดี
ทางบริษัทมีเงื่อนไขเช่นนี้จริงๆ การลากิจสามวันต้องดูเงื่อนไขในการอนุมัติ
พี่แนนเหลือบมองเธอ พลางกระซิบพูด “ถ้าคุณต้องการจริงๆ สามารถขึ้นไปยื่นใบลาได้ เมื่อผู้บริหารอนุมัติลงมาแล้ว ทางฉันก็สามารถอนุมัติได้เช่นกัน”
“ฉันทราบแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะพี่แนน”
ญาธิดาเดินออกจากห้องทำงานอย่างหมดหวัง โดยไรหนทางในเวลานั้น
หรือว่า ตอนนี้เธอทำได้เพียงไปขอร้องให้ภวินท์ได้พิจารณาลางานใช่มั้ย?
ญาธิดาคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอหาเหตุผลที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว เมื่อถึงตอนสุดท้าย เธอทำได้เพียงรวบรวมความกล้า เพื่อวางแผนจะไปหาภวินท์โดยพูดเรื่องการลางาน
พริบตาเดียวเวลาก็มาถึงตอนบ่าย ญาธิดามาถึงสำนักงานCEOซึ่งอยู่ในช่วงที่กำลังลังเลว่าจะเคาะประตูดีมั้ย ใครจะไปรู้อยู่ดีๆ นวิยาก็เดินมาหา และถามทันที “มาหาคุณภวินท์เหรอ?”
ญาธิดาพยักหน้า
นวิยาตอบอย่างเป็นทางการ “ตอนนี้คุณภวินท์ไม่อยู่ วันนี้น่าจะไม่กลับเข้ามาแล้ว พรุ่งนี้คุณค่อยมาใหม่นะ”
ญาธิดาได้ยิน พลันพยักหน้าอย่างลังเล พลางหันหลังและค่อยๆ เดินไปทางลิฟต์
จุดทางออกทางหนีไฟตรงบันไดที่อยู่ไม่ไกลนัก ผู้ชายคนหนึ่งเพ่งมองไปทางนั้นอย่างไม่ตั้งใจ จึงกวาดตามองเห็นตัวญาธิดา นัยน์ตาเขาฉายความเย็นชาออกมา พอหันหลังให้ ร่างกายที่อยู่ตรงทางบันไดนั้นก็ไม่อยู่แล้ว