ดวงใจภวินท์ - บทที่ 244 ทุกอย่างเป็นเพราะเธอ
“เคร้ง—” มีเสียงหนึ่งดังลั่น มีดสั้นอันเย็นเฉียบหล่นลงพื้นทันที
ญาธิดาตกตะลึง โดยที่ยังไม่ทันได้สติกลับคืนมา ก็มองเห็นด้านข้างประตูรถยนต์คันหนึ่งเปิดออก ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ก็ลงมาจากรถ
เมื่อเห็นภวินท์ ดวงตาเธอเปล่งประกายทันที ที่แท้หัวใจที่ตุ้มๆ ต่อมๆ อยู่ก็ค่อยผ่อนคลายลง
ถึงแม้เธอไม่อยากจะยอมรับ แต่ระยะเวลาสองชั่วโมงกว่าที่ผ่านมานี้ คนที่เธอคาดหวังอยากจะเห็นหน้าที่สุดก็คือภวินท์ ซึ่งในตอนนี้ เขารีบมาช่วยเธอเอาไว้จริงๆ ด้วย!
สีหน้าชายหนุ่มเคร่งขรึมเย็นชา โดยสาวเท้ายาวๆ มาทางด้านหน้า และยื่นมือมาทางด้านหน้าเพื่อคว้าเธออย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง ยื่นมือไปดึงม้วนผ้านั้นที่ยัดปากของเธอออก
“แค่ก แค่ก!” ญาธิดาไอออกมาหลายต่อหลายครั้ง ลำคอแห้งผากเจ็บปวดทรมาน
ภวินท์ไปเอามีดมีดพับสวิสมาจากไหน เผลอแวบเดียวก็สามารถตัดเชือกที่มัดอยู่บนร่างกายของเธอออกได้อย่างรวดเร็ว
จากนั้น เขาก็กำชับกับคนที่อยู่ด้านข้างเสียงแข็ง “ไปจับตัวกณิศมา เอาอาวุธของเขา รวบรวมมาให้ทั้งหมดด้วย”
เขาพูดจบ ก็โอบหญิงสาวที่มีอาการตะลึงเล็กน้อยโดยมุ่งหน้าเดินไปยังทางด้านหน้า
หลังจากขึ้นรถมาแล้ว ญาธิดาถึงได้รู้สึกผ่อนคลายจากอาการหวาดหวั่นที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ จึงมองเห็นชายหนุ่มหยิบน้ำมาให้เธอหนึ่งขวด จู่ๆ เธอก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบหันศีรษะไปมองเขา และอ้าปากถามอย่างตื่นเต้น “พ่อฉันล่ะคะ? พ่อฉันเขาเป็นยังไงบ้าง?”
ภวินท์ขมวดคิ้วเข้าหากัน และเม้มริมฝีปากจนขีดเป็นเส้น จากนั้นก็เอ่ยพูดน้ำเสียงปกติ “อยู่ที่โรงพยาบาลนั่นแหละ ได้ยินคุณน้าท่านพูดว่าเขาเป็นลมล้มพับไป”
“อะไรนะคะ?”
ญาธิดาตกใจ อาการเคร่งเครียดจากระบบประสาทที่เพิ่งจะคลายลงเริ่มตึงเครียดกลับขึ้นมาอีกครั้ง เธอกัดริมฝีปากล่างไว้แน่น จนแสบโพรงจมูก
นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวที่สุดที่ได้ยินมา ทว่าทุกเรื่องต่างพัฒนาไปในทิศทางที่ย่ำแย่ที่สุดเสมอ
ญาธิดารู้สึกตื่นเต้น น้ำตาคลอเบ้าเปล่งประกายเต็มสองดวงตา จึงยื่นมือออกไปคว้าข้อมือของภวินท์เอาไว้ “ฉันจะไปโรงพยาบาล ส่งฉันไปโรงพยาบาลที!”
เมื่อเห็นลักษณะหญิงสาวออกอาการตื่นตระหนก หัวใจภวินท์บีบรัดแน่นขึ้น โดยออกคำสั่งให้พายุเสียงแข็ง“ขับรถตรงไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้”
พายุเลี้ยวรถทันควัน และเหยียบคันเร่งเต็มที่ โดยใช้ความเร็วที่สุดในการมุ่งหน้าไปโรงพยาบาล
ตลอดการเดินทาง ญาธิดามีอาการตึงเครียด ความรู้สึกร้อนใจจนไร้เรี่ยวแรงย้ำเตือนอยู่ในหัวใจ จนทำให้เธอนั่งไม่อยู่สุข
ภวินท์ที่อยู่ด้านข้างรับรู้ถึงความรู้สึกของเธอ จึงยื่นมือออกมาบิดฝาขวดน้ำแร่และเปิดให้ จากนั้นก็ยื่นมาให้ด้านหน้าเธอ “วางใจเถอะ อาจารย์ไม่เป็นไรหรอกครับ”
ญาธิดายื่นมือมารับอย่างงุนงง แต่ความรุ่มร้อนที่อยู่ในใจกลับไม่ได้ลดถอยน้อยลงสักนิด เวลานี้ เธอจะวางใจได้ยังไงกัน?
การขับรถด้วยความเร็วตลอดการเดินทาง จนรถยนต์มาถึงโรงพยาบาล เมื่อรถยนต์จอดสนิทหน้าประตูใหญ่ ญาธิดาก็ผลักประตูลงจากรถ และรีบวิ่งเข้าโรงพยาบาลทันที
ภวินท์ขมวดคิ้วหากัน และลงจากรถทันควัน เพื่อรีบวิ่งตามหลังไป
ญาธิดารีบวิ่งตาลีตาเหลือกมาถึงห้องพักผู้ป่วย ภายในไม่มีคนอยู่สักคน พริบตาเดียว ใจเธอราวกับถูกแขวนไว้บนเส้นด้ายอีกครั้ง ขนาดถึงขั้นสูดลมหายใจเข้าถี่มากขึ้น
“พ่อ……”
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ โดยไม่กล้าคิดไปในทางด้านเลวร้าย เธอพุ่งตัวออกห้องพักผู้ป่วย เมื่อเห็นพยาบาล จึงมุ่งหน้าไปคว้าไว้เพื่อสอบถามทันที“ขอโทษค่ะ คนไข้ที่อยู่ในห้องพักผู้ป่วยห้องนี้ล่ะคะ!”
พยาบาลคนนั้นตกใจเธอจนขวัญหนีดีฝ่อ เมื่อเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของเธอ จึงรีบพูดทันควัน “คนป่วยท่านนี้เพิ่งได้รับการช่วยชีวิตค่ะ ตอนนี้อยู่ในห้องICU ต้องคอยติดตามดูอาการอย่างใกล้ชิดตรงชั้นห้าค่ะ”
ญาธิดาได้ยิน จึงรีบพูดขอบคุณทันควัน และวิ่งขึ้นบันไดโดยไม่สนใจสิ่งใดเลย
ญาธิดาตาลีตาเหลือกรีบมาถึงชั้นห้องICUที่ต้องติดตามดูอาการ เธอมองเห็นปภาวีที่นั่งอยู่ด้านนอกอยู่ไกลๆ พริบตาเดียว ลำคอตีบตัน น้ำตาของเธอพรั่งพรูจนเอ่อล้นออกมา “แม่!”
ปภาวีนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเลื่อนลอย เมื่อได้ยินเสียง จึงหันตัวชะเง้อมองตามสัญชาตญาณ เมื่อเห็นว่าเป็นเธอ สีหน้าแววตาแสดงความยินดีออกมาจากสีหน้า จากนั้นจึงลุกพรวดเพื่อเข้าไปหา “ธิดา!”
ญาธิดาน้ำตาไหลพราก แล้วดึงปภาวีมาถาม “พ่อเป็นไงบ้างคะ?”
ปภาวีย่นคิ้วหากัน และหันไปมองยังห้องICUอยู่ทางด้านข้าง “ยังนอนอยู่ด้านใน หมอบอกว่าต้องคอยดูอาการอย่างใกล้ชิด เพื่อรอให้เขาฟื้นก่อน”
ญาธิดาได้ยิน หัวใจบีบหดไว้แน่น ทั้งละอายใจและเสียใจ จึงรีบวิ่งไปยังห้องICUทันที โดยมีหน้าต่างกระจกกั้น เมื่อเห็นบิดาถูกใส่ท่อเครื่องช่วยหายใจเอาไว้ น้ำตาของเธอก็พรั่งพรูลงมาอย่างควบคุมไม่ได้
เธอทำได้แต่กัดฟันทน กับความละอายใจที่อัดแน่นอยู่ลึกๆ เต็มหัวใจ และอารมณ์เสียเป็นร้อยเป็นพันเท่า
หากไม่ใช่เพราะว่าเธอ บิดาก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพนี้หรอก!
ปภาวียืนอยู่ด้านข้าง จึงลังเลอยู่สักพัก ริมฝีปากสั่นเทา และอ้าปากถามทันที “ธิดา ตกลงว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับลูก?”
เสื้อผ้าที่อยู่บนตัวของเธอสกปรกเลอะเทอะทั้งตัว ใบหน้าทั้งสองข้างบวมฉึ่งเล็กน้อย แต่ที่เห็นอย่างชัดเจนก็คือตรงมุมปากของเธอยังมีรอยเขียวช้ำอยู่จางๆ ลักษณะคล้ายว่าโดนทำร้ายมา
เมื่อถูกปภาวีซักถามออกมาแบบนี้ ญาธิดารู้สึกไม่สบายใจหนักกว่าเดิม จมูกเธอแสบ จนก้มศีรษะและพูดเสียงสะอึกสะอื้น “แม่ ผิดที่หนูเอง ทั้งหมดมันเป็นเพราะว่าหนู…”
ปภาวีมองภาพเหตุการณ์นี้แล้ว ทั้งตื่นตระหนกและทำตัวไม่ถูก เธอยื่นมือออกไปตบหัวไหล่ของญาธิดาอย่างแผ่วเบา “อย่าร้อง อย่าร้องนะ…”
ญาธิดาเงยหน้าขึ้นอย่างทันท่วงที และมองเธอด้วยน้ำตาไหลพราก “แม่ แม่ไม่รู้เหรอคะ ที่พ่อตกอยู่ในสภาพนี้…”
คำพูดที่หลงเหลืออยู่ยิ่งเบาลงเรื่อยๆ จนตัวเธอเองพูดต่อไม่ไหว
ในช่วงเวลานี้เอง จึงมีเสียงแน่วแน่อันทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังขึ้นมาทางด้านข้าง “เรื่องนี้ มันไม่เกี่ยวกับคุณ ผิดที่ผมเองครับ”
ปภาวียิ่งไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี จึงชะเง้อมองภวินท์อย่างแปลกใจ “วิน …ตกลงว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ญาธิดาหันหน้าไปเพื่อมองชายหนุ่มที่ทำหน้าตาเคร่งขรึม และรู้สึกไม่สบายใจหนักกว่าเดิม
แท้จริงแล้วเมื่อพูดกันตรงๆ หากว่าตอนนั้นเธอไม่เข้าไปยุ่งเรื่องภวินท์ตั้งแต่แรก ก็คงไม่เกิดเหตุการณ์อย่างวันนี้หรอก สิ่งที่กณิศพูดออกมาไม่ผิดสักนิด เธอชอบแส่หาเรื่องใส่ตัว จนได้ผลลัพธ์แบบนี้ตามมา
ญาธิดากัดริมฝีปากไว้แน่น และส่ายหน้าไปมา “แม่คะ แม่อยากถามเลยนะ”
เธอพูด พร้อมทั้งเดินไปนั่งลงตรงเก้าอี้ทางด้านข้าง ด้วยอารมณ์ทุกข์ระทมอย่างถึงที่สุด
หากครั้งนี้บิดาเป็นอะไรไปจริงๆ เกรงว่าชีวิตนี้ของเธอก็คงไร้วิธีในการอภัยให้ตนเอง
ปภาวีที่อยู่ด้านข้างมองเห็นลักษณะอาการของเธอเป็นเช่นนี้ จนอดวิตกกังวลไม่ได้ เมื่อมองเห็นรอยเชือกตรงข้อมือของเธอ เจ็บจี๊ดจริงๆ “ธิดา ลูกนั่งอยู่ตรงนี้สักพักนะ แม่จะไปหาพยาบาลให้มาทำแผลให้ลูกเอง”
เธอพูด พร้อมทั้งเหลือบมองภวินท์อย่างลึกซึ้ง และหันหลังให้เพื่อเดินจากไป
ภวินท์ที่อยู่ด้านข้างเข้าใจความหมาย และสาวเท้ามาด้านหน้า พร้อมทั้งอ้าปากพูดด้วยเสียงทุ้ม “เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้คุณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย มันเป็นความผิดของผมเอง”
ญาธิดาได้ยินดังนั้น แพขนตาสั่นเทา ความรู้สึกพลุ่งพล่านที่อยู่ในหัวใจผ่อนคลายลงเล็กน้อย
นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ได้ยินภวินท์เป็นคนออกปากพูดยอมรับว่าเป็นความผิดของเขา
เสียงของชายหนุ่มดังอยู่เหนือหัว “ญาธิดา คุณเข้มแข็งไว้นะ ไม่งั้นถ้าตอนอาจารย์ฟื้นขึ้นมา แล้วเห็นคุณอยู่ในสภาพนี้ แล้วเขาจะคิดยังไง?”
ญาธิดาก้มศีรษะลง แต่ไม่ได้พูดอะไร
บรรยากาศเงียบงันเป็นเป่าสาก ไม่นานนัก ปภาวีก็พาพยาบาลมาด้วย
เมื่อพยาบาลเห็นแผลบนใบหน้าและบนตัวของญาธิดา จึงกระซิบพูดทันที “บาดแผลของคุณต้องได้รับการทำความสะอาดสักหน่อย รบกวนไปห้องทำแผลกับดิฉันหน่อยค่ะ”
ญาธิดาก้มศีรษะลง พลันกัดริมฝีปาก หลังจากนั้นไม่นานนัก เธอก็ส่ายหน้าไปมา และดึงมือตนเองกลับ จากนั้นก็กระซิบพูดออกมา “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องทำอะไรหรอกค่ะ”
เมื่อปภาวีได้ยิน ตอนที่เตรียมจะอ้าปากเกลี้ยกล่อมเธอ ใครจะรู้ว่าภวินท์ที่อยู่ด้านข้างจู่ๆ จะลุกพรวดขึ้นมาทันที พร้อมทั้งฉุดมือของเธอขึ้น เพื่อให้เธอลุกพรวดออกมาจากเก้าอี้
ญาธิดาแสดงปฏิกิริยาถอยหนีเป็นการตอบโต้ พร้อมทั้งใช้ดวงตาระแวดระวังและตั้งป้อมจ้องมองเขา “คุณจะทำอะไร!”
“ภวินท์ย่นคิ้วหากัน และสบตาเธอพร้อมกัน จู่ๆ ในใจก็เกิดความรู้สึกโกรธจนพลุ่งพล่านไปทั่ว เขามองเธอลงมาจากด้านบน ปะปนมาด้วยอำนาจอย่างเต็มเปี่ยม และพูดเสียงแข็ง “ไปทำแผลซะ ไม่งั้นผมจะแบกคุณขึ้นพาดบ่าไป”