ดวงใจภวินท์ - บทที่ 247 อยู่เฝ้าที่โรงพยาบาล
แววตานิวราฉายความมุ่งมั่นและเศร้าหมองออกมาเล็กน้อย จากนั้นจึงมองชนัดพลที่อยู่ตรงด้านหน้า “พ่อ หนูรู้ว่าต้องทำยังไงแล้ว”
เมื่อได้ยินเธอพูดออกมาแบบนี้ สีหน้าชนัดพลถึงได้ผ่อนคลายลง และโบกมือให้เธอ พร้อมทั้งกระซิบพูด “OK แกรู้อยู่แก่ใจ พ่อก็วางใจได้แล้ว รีบกลับขึ้นไปพักผ่อนเถอะ”
นิวราพยักหน้าอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินออกไป เพื่อกลับไปยังห้องนอน
เธอนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง อย่างไม่สบายใจ และครุ่นคิดอยู่ตลอด แถมยังเปิดช่องการสื่อสาร เพื่อส่งข้อความให้กับหมอกรณ์ “คุณหมอ วันนี้ขอบคุณสำหรับความร่วมมือมากๆ พรุ่งนี้จะโอนเงินให้ ส่วนเรื่อง “อาการป่วย” ของฉัน ไว้คราวหน้าพวกเราเจอกันค่อยคุยกันค่ะ….”
หลังจากที่ส่งข้อความออกไปแล้ว ไม่นานนัก เธอก็ได้รับข้อความตอบกลับมา ซึ่งหมอกรณ์ที่ได้แจ้งวันเวลาและสถานที่ที่นัดหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอถึงแอบถอนหายใจเบาๆ
ขอแค่ได้พี่วินมาครอง โดยไม่สนว่าจะต้องทำอะไร เธอก็ไม่เสียดายทั้งสิ้น!
ญาธิดานั่งเฝ้าอยู่นอกห้องICUอยู่ตลอดทั้งคืนและลากยาวจนถึงเช้า ยติภัทรถึงได้สติฟื้นกลับมา
หลังจากที่คุณหมอได้ทำการตรวจเช็กอาการเรียบร้อยแล้ว ถึงได้เข็นออกจากห้องICU
ญาธิดากับปภาวีพุ่งตัวเข้าหาอย่างไม่ได้นัดแนะ เพื่อสอบถามอาการ “คุณหมอคะ อาการเขาเป็นยังไงบ้างคะ?”
“ดูจากกราฟตัวเลขถือว่าปกติดีครับ พ้นช่วงวิกฤติแล้ว แต่ตอนนี้สภาพร่างกายของเขายังคงอ่อนแอมาก สภาพของหัวใจก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก จำต้องพักฟื้น”
เมื่อได้ยินคุณหมอพูดออกมาเช่นนี้ เวลานั้นญาธิดาก็ไม่รู้ว่ายินดีหรือวิตกกังวลดี เพราะอารมณ์สับสนไปหมด
ปภาวีที่อยู่ด้านข้างอดถามไม่ได้ “งั้นเมื่อไหร่จะออกจากห้องICUได้ล่ะคะ?”
“วันนี้ย้ายออกได้เลยครับ คนในครอบครัวต้องเตรียมของใช้ประจำวัน เพื่อเตรียมตัวมาเฝ้านะครับ ระยะการฟื้นตัวยังจำเป็นต้องคอยดูอาการอยู่เรื่อยๆครับ”
ปภาวีได้ยิน จึงรีบพูดทันควัน “เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะคุณหมอ”
รอให้คุณหมอเดินกลับออกไปแล้ว เธอถึงถอนหายใจโล่งอก และยกมือขึ้นแตะตัวญาธิดาอย่างแผ่วเบา พร้อมทั้งกระซิบพูด “ถือว่าวางใจไปได้เปลาะหนึ่ง”
ญาธิดาไม่ได้มองโลกในแง่ดีนัก แต่ว่าความหนักอึ้งที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจค่อยๆผ่อนเบาลงเล็กน้อย เธอยันข้างกำแพง ร่างกายอ่อนแรงเล็กน้อย
เมื่อคืนวานเธอหลับตาไม่ลง เพราะเกิดอาการตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา บวกกับเธอไม่รู้สึกหิว จึงไม่ค่อยได้กินอะไร ดังนั้นตอนนี้เธอจึงอ่อนล้าหมดเรี่ยวแรง
“ธิดา ลูกกลับไปนอนพักที่บ้านเถอะ” ปภาวียกมือขึ้นมาประคองเธอ หัวใจเจ็บปวดจนทนไม่ไหว “แล้วทางบริษัทของลูก ลูกลาสักวัน วันนี้ไม่ต้องไปแล้วแหละ”
เมื่อได้ยินปภาวีเอ่ยถึงบริษัท ญาธิดาถึงได้ฉุกคิดได้ว่าเธอยังไม่ได้ลางานกับบริษัท หากขาดงานนานโดยไร้เหตุผล ไม่แน่งานการที่ทำอยู่ก็จะไม่มีแล้ว!
ทว่าในเวลานี้ เธอเก็บหอมรอมริบเพื่อหาเงินมาคืนให้แก่ภวินท์ ถ้าไม่มีงานทำมันไม่ได้จริงๆ!
เธอกัดฟันแน่น และมองปภาวีพลางถามกลับ “แม่คะ ในห้องพักผู้ป่วยมีสายชาร์จมั้ยคะ?”
“มีสิ วางไว้ตรงหัวเตียงนั่นแหละ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เธอก็มุ่งหน้าไปยังห้องพักผู้ป่วยทันที เพื่อหยิบที่ชาร์จแบตนำมาชาร์จแบตให้โทรศัพท์ที่ปิดเครื่องไปเอง
เมื่อเปิดเครื่องโทรศัพท์ ก็มีโทรศัพท์หลายสายที่ไม่ได้รับสายปรากฏอยู่ด้านใน ซึ่งพี่แนนโทรเข้ามาหาตั้งสองครั้ง!
หัวใจญาธิดาบีบรัดแน่น และไม่กล้าจะคิดอะไรมาก จึงกดโทรหาเธอทันควัน
“ฮัลโหล?”
เมื่อได้ยินเสียงของพี่แนน ญาธิดารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “พี่แนนคะ ฉัน…”
“ไม่ต้องพูดแล้วแหละ ฉันได้ข่าวมาแล้ว ที่บ้านของเธอเกิดปัญหานิดหน่อย อีกทั้งเบื้องบนอนุมัติมาแล้ว เรื่องที่บริษัทเธอวางใจเถอะ ฉันจะจัดการเอง”
น้ำเสียงของพี่แนนช่างเมตตามาก ซึ่งไม่แสดงกิริยากล่าวโทษเธอเลยสักนิด
ญาธิดาอ้าปากอย่างตกใจ และแปลกใจจนพูดไม่ออก ผ่านไปชั่วครู่ เธอถึงตั้งสติได้ จนตอบกลับไปทันควัน “ขอบคุณค่ะพี่แนน…”
“ไม่ต้องขอบอกขอบใจหรอก เธอทำธุระของเธอเถอะ แค่นี้นะ”
เมื่อโทรศัพท์โดนตัดสาย ญาธิดาก็เริ่มแสดงอาการไม่อยากจะเชื่อ ซึ่งแตกต่างกับที่เธอเจอกับพี่แนนในครั้งที่แล้วอย่างสิ้นเชิง โดยแสดงเจตคติชัดเจนมาก จู่ๆทำไมครั้งนี้ถึงได้น้ำเสียงเปลี่ยนไป แถมยังพูดว่าเบื้องบนอนุมัติแล้วอีก?
หรือว่า เพราะภวินท์เหรอ?
แต่เธอก็พูดกับภวินท์อย่างชัดเจนแล้วว่าตัดขาดจากโลกของเขาไปแล้ว และไม่มีความจำเป็นที่เขาต้องยื่นมือมาช่วยเธอ…
คำถามต่างๆ มันอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจ เธอเองก็คิดแต่ก็ไม่เข้าใจ จึงถอนหายใจออกมา พร้อมทั้งไม่อยากจะคิดมากอีกแล้ว
ผ่านไปไม่นานนัก ยติภัทรก็ออกมาจากห้องICUจนย้ายมายังห้องพักผู้ป่วย เมื่อมองเห็นบิดาที่นอนแหมะอยู่บนเตียงด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง หัวใจญาธิดาก็เจ็บจี๊ดขึ้นมาทันที
“พ่อคะ…พ่ออาการดีขึ้นหรือยังคะ?”
ญาธิดาพาดอยู่ตรงหัวเตียง พยายามฝืนกลั้นน้ำตาเอาไว้เต็มที่
ยติภัทรชูมือขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง จนสัมผัสใบหน้าของเธอ น้ำตาแห่งความปลื้มปริ่มฉายออกมาดวงตา “ธิดา…ลูกไม่เป็นก็ดีแล้ว ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว…”
ญาธิดาจับสัมผัสได้ จึงรีบพูดทันควัน “พ่อ หนูไม่เป็นไรค่ะ พ่อไม่ต้องห่วงหนูหรอกค่ะ”
ยติภัทรเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา ระบบประสาทยังไม่ค่อยสู้ดี ผ่านไปไม่นานนักก็ต้องพักผ่อนต่อ เมื่อมองเห็นคนที่อยู่บนเตียงนอนหลับไปแล้ว ปภาวีก็ดึงญาธิดาออกมายังด้านนอกห้องพักผู้ป่วย
ประตูห้องปิดลง ปภาวีอดใจจนอดถามไม่ได้ “ธิดา เรื่องที่บริษัทเป็นไงบ้าง?”
“หนูลางานแล้วค่ะ” ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ช่วงนี้หนูจะอยู่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนพ่อค่ะ พ่ออาการกลับมาดีขึ้นเมื่อไหร่หนูถึงวางใจได้ค่ะ”
ปภาวีได้ยิน แววตาหวั่นไหว และพูดออกมาด้วยความรู้สึกเศร้าจนยากแก่การบรรยาย “ธิดา อยู่ที่นี่ก็ลำบากมากเหลือเกิน ขนาดที่จะนอนก็ไม่มี แม่ว่านะ….”
ญาธิดาได้ยินความหมายเกลี้ยกล่อมเธอที่ซ่อนอยู่ในคำพูด จึงไม่รอให้เธอได้พูดจบ เธอก็ยื่นมือออกไปคว้ามารดาเอาไว้ “แม่คะ หนูไม่กลัวความลำบาก ขอแค่เห็นว่าพ่อฟื้นตัวดีขึ้น หนูก็ไม่มีปัญหาแล้วค่ะ”
เมื่อเห็นท่าทางเด็ดเดี่ยวเกินคาดของเธอ ปภาวีก็ไม่สามารถจะพูดอะไรได้อีกแล้ว ทำได้เพียงพยักหน้า “ตกลง”
ในใจเธอย่อมรู้แก่ใจว่าญาธิดาเป็นคนกตัญญูมาก แต่การดูแลคนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แบบนั้น แล้วทำไมเธอจะไม่สงสารลูกล่ะ?
ช่างเถอะ รอให้ผ่านไปสักสองวัน ให้เธอได้ลิ้มลองสักหน่อย ถึงเวลานั้นค่อยเกลี้ยกล่อมเธออีกครั้งไม่แน่อาจจะเกลี้ยกล่อมเธอก็ได้
ทว่าใครเล่าจะรู้ว่า ผ่านมาสองวันแล้ว ญาธิดาตื่นเร็วที่สุด นอนน้อยที่สุด พร้อมทั้งดูแลยติภัทรอย่างตรากตรำ และนอนอยู่บนเก้าอี้มาตั้งสองวัน จนบริเวณขอบใต้ตาบนใบหน้าเป็นรอยคล้ำที่จนจะเป็นหมีแพนด้าอยู่แล้ว แต่เธอก็ยังคงไม่เคยเอ่ยปากบ่นว่าเหนื่อยออกมาจากปากสักคำ
ในที่สุด ปภาวีทนดูไม่ไหวแล้ว จึงหาวิธีเกลี้ยกล่อมญาธิดาให้กลับไปพักผ่อนที่บ้าน “ธิดา นี่สองวันแล้วนะ กลับไปอาบน้ำนอนที่บ้านสักตื่น พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
“แม่ หนูไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงหนูหรอก”
ญาธิดายิ้มให้ จากนั้นก็หยิบกระติกรักษาความร้อนขึ้นมาและเดินออกจากห้องพักผู้ป่วย
เธอรู้อยู่แก่ใจ ปภาวีอยากให้เธอพักผ่อนถึงได้พูดออกมาแบบนี้
เพิ่งเดินได้ไม่กี่ก้าว โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าก็ดังขึ้นมาทันที ญาธิดาชะงักเล็กน้อย จึงหยิบออกมาดู อัญมณีโทรมาหา
เธอลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็กดรับสาย โดยแนบไว้ข้างหู “ฮัลโหล?”
อัญมณีที่อยู่ปลายสายก็เริ่มต่อว่าต่อขานทันที “ธิดา แกเป็นอะไร? สองสามวันนี้ทำอย่างกับหายหัวไปเลย ติดต่อไม่ได้!”
ญาธิดาได้ยิน จนเริ่มตอบคำถามไม่ทัน
สองวันนี้เธอแทบไม่หยิบโทรศัพท์เลย กระทั่งเห็นของความของอันอันส่งมา เธอก็ไม่มีกะจิตกะใจจะตอบกลับ
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลันอธิบายเสียงแผ่วเบา “ขอโทษนะ อันอัน พ่อฉันเพิ่งจะผ่าตัด สองวันนี้ฉันอยู่เฝ้าที่โรงพยาบาลตลอดเลย…”
อัญมณีที่อยู่อีกฝั่งอึ้งทันที และรีบอ้าปากถามทันควัน “คุณลุงเป็นอะไร? แกยังOKอยู่ใช่มั้ย? ฉันฟังจากน้ำเสียงดูไม่ค่อยดี เหนื่อยมากใช่มั้ย?”
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง ฉันจะไปหาแกกับคุณลุงเดี๋ยวนี้ แกส่งโลเคชั่นมาให้ฉันหน่อยสิ…”
อัญมณีพูดพล่ามเป็นชุด ญาธิดาหัวเราะอย่างหมดสภาพ จนเธอฉุกคิดอะไรได้ พลันพูดทันที “ได้สิ อันอัน แกช่วยอะไรฉันสักอย่างได้มั้ย?”