ดวงใจภวินท์ - บทที่ 250ฝัน...หวาน
ในหัวใจปรากฏอารมณ์อดกลั้นจนทนไม่ไหวพลุ่งพล่านขึ้นมา ภวินท์ก้าวเดินตรงมายังห้องพักผู้ป่วยที่อยู่ข้างๆกัน และไล่มองทีละห้อง ในที่สุดก็เดินมาเจอห้องพักผู้ป่วยว่างตรงสุดทางเดิน
เขาหันหลังกลับ และอุ้มหญิงสาวบนเก้าอี้ขึ้น จากนั้นก็เดินยังห้องผู้ป่วยที่ว่างอยู่
หลังจากเขาเดินเข้าไปแล้ว เขาก็วางตัวคนลงบนเตียงนอนอย่างระมัดระวัง จังหวะที่เตรียมจะลุกขึ้นนั้น จู่ๆ ต้นคอก็ถูกคนเหนี่ยวรั้งเอาไว้
เธอตื่นแล้วเหรอ?
ภวินท์ชะงักเล็กน้อย หัวใจเต้นระรัว พลางหลุบตาลงมอง จึงเห็นหญิงสาวหลับตาสนิท และขยับตัวอย่างไม่อยู่สุข แต่ไม่ได้มีทีท่าจะตื่น
เขาถอนหายใจ และค่อยๆ ดึงแขนของเธอพลางจัดระเบียบอย่างดี จากนั้นก็ดึงผ้าห่มบางๆ ทางด้านข้างมาห่มตัวให้เธอ
หลังจากทำทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาจ้องมองแก้มของหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียง จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บปวดใจอย่างไม่รู้ตัว
หลังจากนั้นสองวินาที เขาก็มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างกะทันหัน
ทำไมเขาถึงมีปฏิกิริยาตอบสนองออกมาเช่นนี้ได้ล่ะ? นี่ไม่ใช่ลางสังหรณ์ที่ดีหรอกเหรอ
เขาย่นคิ้วหากัน จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินออกจากห้องพักผู้ป่วย พร้อมทั้งอดกลั้นกับความคิดที่จะหันศีรษะกลับไปมองอย่างหุนหันพลันแล่น โดยเดินตรงแน่วมุ่งหน้ามายังลิฟต์ทันที
เมื่อออกมาจากโรงพยาบาล ก็มีลมพัดในเวลากลางดึกนำพาความเย็นพัดเข้ามา วินาทีนั้น เขาก็ตื่นตัวขึ้นเยอะ
ความรู้สึกอันละเอียดอ่อนที่เกิดขึ้นในหัวใจเมื่อครู่นี้ อาจจะเป็นเพราะว่าเขารู้สึกติดค้างกับญาธิดาอยู่ ซึ่งไม่สามารถมีความรู้สึกอื่นของเขาเข้าไปปะปนอยู่ในนั้นด้วย
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หัวใจของเขาก็สบายขึ้นเยอะ เมื่อขึ้นรถ เขาก็ออกคำสั่งให้พายุพาเขากลับไปยังที่พัก
เช้าตรู่วันถัดมา ญาธิดาพลิกตัว เมื่อสัมผัสถึงความอ่อนนุ่มของผ้าห่มใต้ร่างกาย ยังคิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ เธอไม่ได้นอนหลับสบายขนาดนี้มาตั้งหลายคืนแล้ว…
ทว่าสัมผัสที่อยู่ใต้ร่างกายมันกลับเป็นความจริงมาก จนทำให้ลืมตาทันทีอย่างไม่รู้ตัว
ท่ามกลางความงุนงง เธอมองเห็นฝ้าเพดานสีขาว จนตกตะลึง ถึงได้ค้นพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ภายในห้องนอกจากเธอแล้ว ก็ไม่มีคนอื่น
ด้วยความที่เธอตกใจ จึงรีบลุกพรวดขึ้นมา “พ่อ แม่!”
พวกเขาไปไหนกัน? ทำไมเธอถึงมาอยู่บนเตียงได้ล่ะ?
หลังจากสำรวจรอบๆแล้ว สุดท้ายเธอถึงจับสัมผัสได้ว่าห้องพักผู้ป่วยห้องนี้กับโครงสร้างของห้องพักผู้ป่วยของบิดามีโครงสร้างไม่เหมือนกัน ที่แท้เธอก็อยู่ในห้องพักผู้ป่วยห้องอื่น
หลังจากลงจากเตียงอย่างร้อนรน เธอถึงกลับสมองเบลอ เมื่อคืนนี้เธอนอนอยู่บนเก้าอี้ด้านนอกห้อง ทำไมพอหลับแล้วกลับมาตื่นขึ้นอยู่บนเตียงล่ะ? หรือว่าเธอนอนละเมอเหรอ?
ญาธิดาไม่กล้าจะจินตนาการต่อ และรีบพับผ้าห่มให้เรียบร้อยทันที จากนั้นก็ออกจากห้องพักผู้ป่วยอย่างกระหืดกระหอบ
เมื่อกลับมาอยู่ด้านหน้าประตูห้องพักผู้ป่วยของยติภัทร ปภาวียังไม่ตื่น เธอนั่งอยู่เก้าอี้หน้าประตูห้อง และครุ่นคิดอย่างสับสน
เมื่อคืนเธอเหมือนฝันและพอจำได้รางๆ ว่า มีผู้ชายคนหนึ่งอุ้มเธอ แถมยังได้กลิ่นเหล้าจางๆ มาจากตัวเขา และกลิ่นหอมละมุนด้วยกลิ่นต่างๆจากร่างกายของชายหนุ่ม จนกลิ่นติดปลายจมูก จากนั้นก็อุ้มเธอขึ้นเตียง…
มันคล้ายกับเป็นการ…ฝันหวาน!
ญาธิดามีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาทันควัน ร่างกายสั่นเทา แก้มร้อนผ่าวขึ้นเรื่อย!
ทำไมเธอถึงได้ฝันแบบนี้ขึ้นมาได้นะ? น่าอายชะมัด!
เวลานี้เอง ก็ได้ยินเสียงดังออกมาจากห้องพักผู้ป่วย เธอได้สติทันควัน จนตบหน้าตัวเองเล็กน้อย จากนั้นก็ผลักประตูเดินเข้าไป
ในเวลานั้น เธอแอบถอนหายใจเบาๆ โชคดีที่ฝันและจำได้รางๆ เธอมองไม่ชัดว่าเป็นใคร ไม่งั้นคงเคอะเขินขึ้นมาจริงๆ
ในขณะนั้น พระเอกที่อยู่ในฝันของญาธิดา กำลังยืนอยู่ในห้องใต้ดินสภาพมืดหม่นพื้นเปียกแฉะ
ผู้ชายคนหนึ่ง ถูกมัดทั้งตัวและถูกแขวนตัวเอาไว้ จมูกเขียวช้ำ บนร่างกายมีรอยเลือดสะดุดตา มีแผลถลอกทางด้านหลังเสื้อที่ถูกดึงจนขาดวิ่น
จากนั้นก็เงียบงันไปชั่วครู่ ภวินท์ค่อยๆ เชิดปลายคางขึ้น พร้อมทั้งส่งสัญญาณให้กับลูกน้องที่อยู่ด้านข้าง คนคนนั้นเห็นสภาพนั้นแล้ว ร่างกายก็ค่อยๆ สั่นเทาขึ้นเรื่อย เสียงแหบแห้งคล้ายกระดาษทรายที่คล้ายกำลังขัดถูสิ่งของดังออกมาจนไม่น่าฟัง “ผม…ผมไม่รู้จริง…”
ภวินท์มีสีหน้าเช่นเดิม ราวกับไม่ได้ยินอะไร ลูกน้องที่อยู่ด้านข้างก็หยิบเอาแส้ที่มีหนามที่อยู่ด้านข้างมาทางด้านหน้า พลันชูขึ้นและตวัดออกไป “เพี๊ยะ”
“อ๊าก!”
หลังจากนั้นก็มีเสียงโอดโอยของชายหนุ่มดังตามมาติดๆ เมื่อแส้ฟาดลง และรุนแรงขึ้นกว่าเดิม เสื้อผ้าที่ขาดวิ่นจนหมดสภาพเป็นทุนเดิมอยู่แล้วยิ่งขาดจนไม่มีชิ้นดี
ภวินท์ก้าวฝีเท้าเดินออกไป อย่างไร้ความรู้สึก
หลุยส์กำลังสูบบุหรี่และพิงปากทางบันไดตรงทางเข้าห้องใต้ดิน เมื่อได้ยินเสียงร้องที่ดังสะท้อนจนเข้าหู สีหน้าก็ยังคงเดิม
เขายกมุมปากขึ้นทันที จากนั้นค่อยๆ พ่นหวันจางออกมา และมองภวินท์ พลันกระซิบพูด “ฉันคิดว่ามันน่าจะไม่รู้เรื่องจริงๆ”
คนที่อยู่ในห้องใต้ดิน ก็คือกณิศ
สีหน้าภวินท์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร และเผยอริมฝีปาก จากนั้นก็พูดอย่างเย็นชา “ฉันรู้”
ซึ่งตามคำสารภาพของกณิศ โดยเริ่มแรกมีคนติดต่อเขาทางอินเทอร์เน็ต ให้เขาช่วยเป็นธุระให้ และโอนเงินให้เขาเป็นเงินมัดจำมาก้อนหนึ่ง เพื่อให้เขาไปลงมือกับรถของเขา หลังจากทำเรื่องนี้แล้วเสร็จก็จะจ่ายเงินก้อนสุดท้ายมาให้ โดยตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ เขากับคนนั้นต่างใช้วิธีการติดต่อกันในสายโทรศัพท์เท่านั้น ไม่เคยเจอหน้าเจอตา เสียงที่พูดคุยกันก็มีการดัดแปลงเสียง เบอร์โทรศัพท์ก็ใช้เอกสารปลอม เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตอนนี้ก็ถูกตัดข้อมูลคนที่คอยชักจูงอยู่ทางด้านหลังไปทั้งหมดแล้ว
เขาไม่ได้โง่ และย่อมรู้ว่าในเวลานี้กณิศไม่สามารถพูดโกหกอีกแล้ว
หลุยส์เลิกคิ้วขึ้น และอัดบุหรี่เข้าปอดพลางถามทันที “งั้นแกทำแบบนี้ต่อไปเรื่อย ไม่กลัวว่าจะทำร้ายมันจนตายเหรอ?”
แววตาภวินท์หม่นหมองลง จากนั้นก็พูดเสียงเฉยเมย” สมน้ำหน้ามัน”
เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทุกอย่างก็เป็นเพราะว่ากณิศเป็นคนก่อขึ้นมาเอง แม้ว่าเขาจะรู้ว่าการทำร้ายต่อไปก็ไม่ได้รับข้อมูลใดๆ ที่เกิดประโยชน์มาจากตัวของกณิศได้ แต่เมื่อฉุกคิดในสิ่งที่เขาทำกับญาธิดา เขาก็โมโหจนอยากจะปลิดชีวิตของมันมา
เมี่อเห็นภวินท์หยิบผ้าเปียกขึ้นมาเช็ดมือ หลุยส์ก็บี้บุหรี่ที่อยู่ในมือตาม และเดินมาทางด้านหน้าเพื่อพูดออกมา “ระวังหน่อย ยังต้องให้มันไปส่งข่าวต่อ”
ดวงตาอันเย็นชาของภวินท์หวั่นไหวเล็กน้อย “ฉันมีขอบเขตมากพอ”
ทั้งสองคนเดินเคียงข้างออกจากห้องใต้ดินพร้อมกัน เมื่อเดินออกจากห้องเก็บของ ด้านนอกก็เป็นห้องรับแขกอันกว้างขวาง ต้นนั่งอยู่ด้านหน้าคอมพิวเตอร์ และใช้นิ้วมือพิมพ์ลงบนแป้นพิมพ์
เมื่อเดินได้ไม่กี่ก้าว หลุยส์ก็อดถามไม่ได้ “แกคิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นมั้ย?”
“ไม่น่า” ภวินท์ตอบอย่างเย็นชา “ก็เห็นชัดว่าไม่ได้ทำคนเดียว”
คนที่คอยบงการให้กณิศแสดงพฤติกรรมหุนหันพลันแล่นจนขาดสติ โดยแสดงเป้าหมายที่ชัดเจนว่าต้องการจะทำร้ายเขา ส่วนเขาอยากจะเปิดเผยบุคคลนั้น ซึ่งซ่อนตัวไว้ลึกมาก คงไม่โง่ดักดานพอที่จะใช้วิธีการนี้ในการเปิดเผยตัวตน
ในเวลานี้เอง จู่ๆ ต้นก็อ้าปากพูด “ผิดปกติมาก”
เมื่อเขาเอ่ยคำพูดนี้ออกไป ภวินท์กับหลุยส์ก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมมาลงทันที พร้อมทั้งก้าวเท้ามุ่งหน้าเดินไปทางเขา
“เกิดอะไรขึ้น?”
“มีบ่อแสของมาร์ติน ถ้าผมเดาไม่ผิด เขาเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว”
ต้นนำบ่อแสทุกอย่างของมาร์ตินที่หลงเหลือมาทำการสรุปข้อมูล ทุกการเคลื่อนไหวโดยเน้นศูนย์กลางทางเขตตะวันออกของเมืองJที่แสดงอย่างชัดเจน โดยขยายไปยังบริเวณรอบๆ ส่วนทางนั้น การเดินทางโดยทางน้ำหรือทางเท้ายาวถึงเขตเมืองที่อยู่ห่างไกล จนได้ตำแหน่งที่น่าสงสัยมากที่สุด
สีหน้าของหลุยส์เคร่งขรึมมากกว่าเดิม พลางย่นคิ้วพร้อมทั้งแอบสบถด่า “ไอ้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์มันหนีออกจากสิงคโปร์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีแน่ ไม่แน่มันมาดูลาดเลาก่อน”
ภวินท์ขมวดคิ้ว เมื่อเดินมานั่งลงทางด้านข้าง ก็ไม่ได้พูดจากันอยู่นาน
เรื่องมันสับสนมาก เหนือกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ เขาต้องสงบสติอารมณ์ไว้ให้ได้ เช่นนี้ถึงสามารถเผชิญหน้าได้อย่างถูกต้อง
เวลากลางวันผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้ายามค่ำคืนแผ่บริเวณอย่างไร้จุดหมาย ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีในการซ่อนความสกปรกทุกอย่าง
โกดังชานเมืองในเขตตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองJ หากยื่นมือออกไปก็ไม่สามารถมองเห็นนิ้วมือทั้งห้าได้อย่างชัดเจน ซึ่งมีรถยนต์หลายคันซ่อนอยู่บริเวณโดยรอบ และคอยจับตามองบริเวณรอบๆ โกดังทุกวินาที
ซึ่งไม่รู้ว่าผ่านไปนานขนาดไหนแล้ว จากนั้นก็มีรถยนต์คันหนึ่งขับมุ่งหน้ามาทางนี้ แสงดวงไฟที่สว่างจ้าราวกับดวงตาสองดวงของสัตว์ ส่ายไปส่ายมา แหวกความมืดหม่น
รถยนต์ขับทะยานเข้าโกดัง ผ่านไปไม่นานนัก จึงขับรถเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา โดยยังขับได้ไม่ไกลนัก ก็มีเสียง “ฟิ้ว” จู่ๆ รถยนต์ก็ตกหล่ม ถัดมา ตัวรถก็เอียง
บนรถ สีหน้ามาร์ตินเปลี่ยนไป พลางเหลือบมองรอบๆ อย่างระแวดระวัง จากนั้นก็ใช้มือขวางคลำบริเวณเอวตามสัญชาตญาณ
“ไอ้เหี้ย เกิดห่าอะไรขึ้นวะ!”
คนขับรถทรงผมหัวเกรียนสบถด่าออกมาประโยค ตอนที่กำลังด่าทออยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงอันเย็นเฉียบของมาร์ตินดังขึ้นมา “หุบปากซะ!”
ดวงตาคู่นั้นของมาร์ตินท่ามกลางความมืดมิดภายในตัวรถยนต์ทอประกายความเย็นชาออกมา พร้อมทั้งได้กลิ่นบรรยากาศที่ดูหวาดระแวงในทุกอย่าง
แปลก บรรยากาศมันผิดปกติ!
วินาทีต่อมาจึงมีเสียงแหลมดังขึ้น ทำลายความสงบของยามค่ำคืน!