ดวงใจภวินท์ - บทที่ 257 หลบเขา
ไม่ว่ายังไง ตอนนี้เธอไม่สามารถนั่งอยู่ตรงนี้แบบไม่ใส่เสื้อผ้ารอเขาตื่นขึ้นมาได้!
ญาธิดาลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง ย่องเบาๆ ลงจากเตียง มองเห็นเศษเสื้อผ้าที่ถูกฉีกขาดกระจายอยู่รอบเตียง แล้วนึกถึงเรื่องราวเร่าร้อนบางอย่างเมื่อคืนนี้ได้จากนั้นแก้มแดงสุดๆ
เธอไม่หยิบเสื้อผ้าขาดบนพื้นไปเลย ถือโอกาสเอาเสื้อผ้าชุดหนึ่งมาจากในตู้เสื้อผ้า เดินออกห้องไปเปลี่ยนแบบเบาๆ
เธอควรทำอย่างไรดี! นี่อยู่ในบ้านเธอเองชัดๆ เธอกลับหวาดผวาเหมือนเป็นขโมยอย่างนั้น
ญาธิดาวนเวียนอยู่ในห้องรับแขกแบบว้าวุ่น ดื่มน้ำเปล่าไปครึ่งขวดใหญ่ อารมณ์ประหม่ายังไม่ได้ลดลง สุดท้าย เธอมองดูเวลาแวบหนึ่ง ไม่มีวิธีแล้วจริงๆ ได้แต่หยิบมือถือกระเป๋ากุญแจออกไปแล้ว
เธอไม่อยากรอจนภวินท์ตื่นขึ้นมา ถึงตอนนั้นต้องกระอักกระอ่วนจนเธออยากตายแน่
ไม่สู้ ไปพึ่งพาอันอัน?
ไม่กี่วินาทีต่อมา ญาธิดาตัดสินใจเรียบร้อย ส่งข้อความไปหาอัญมณี
รออยู่ตั้งนาน ไม่ได้รอให้หล่อนส่วนข้อความกลับมา ญาธิดาเดินมาด้านนอกที่พัก ขยับเสื้อคลุมไว้แน่นสักหน่อย เดินไปข้างหน้าอย่างสับสนพอสมควร
เวลานี้ เดาว่าอันอันยังหลับอยู่ ยิ่งช่วงนี้เหมือนว่าหล่อนพักอยู่ที่บ้าน เข้าไปในเวลานี้ ไม่ใช่ว่าจะไปรบกวนแม้แต่ครอบครัวของหล่อนด้วยเหรอ?
ญาธิดาส่ายหน้า ปัดตกความคิดนี้ไป คิดว่าไม่สู้ไปโรงพยาบาลโดยตรง เหมือนกับเมื่อก่อนที่นั่งพักผ่อนตรงโถงทางเดินโรงพยาบาลสักพัก รอพ่อแม่ตื่นขึ้นมา
ตัดสินใจเสร็จ เธอเร่งฝีเท้าเดินไปทางสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน แต่ใครจะรู้เดินมาได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงแตรรถยนต์ลอยมาจากด้านหลัง
ญาธิดาตกใจ หันหน้ามองไปโดยจิตใต้สำนึก
ที่ด้านหลังเธอไม่ไกลนัก รถคันหนึ่งค่อยๆ ตามมาด้านหลังเธอ กะพริบไฟใส่เธอนั่นคือรถของภวินท์
หัวใจของญาธิดาหดแน่นฉับพลัน กำลังประหลาดใจว่าทำไมภวินท์ตามออกมาเร็วขนาดนี้ ตอนที่เธอกวาดตามองเห็นพายุที่นั่งคนขับ ถึงตอบสนองเข้ามา
พายุเข้ามา น่าจะมารับภวินท์ น่าจะเพิ่งมาถึง ก็มองเห็นเธอแล้ว
แต่พอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับภวินท์เมื่อคืน เธอก็รู้สึกไม่มีหน้าจะเจอผู้คน อย่าว่าแต่เจ้าตัวเลย แม้แต่ลูกน้องของเขาเธอก็ไม่อยากเจอ
หลบได้ก็หลบ! แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น!
ญาธิดารีบหันกลับมาอย่างรวดเร็ว เร่งฝีเท้าให้ไว เดินไปทางสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินแบบไม่หันหน้ากลับมา
เข้าไปทางเข้ารถไฟฟ้าใต้ดินอย่างรวดเร็ว หัวใจที่พะว้าพะวังดวงนี้ของเธอถึงวางใจลงมาระดับหนึ่ง
นั่งอยู่บนรถไฟใต้ดิน ญาธิดาง่วงจนกะพริบตา แต่ว่าในใจกลับยังหนักหน่วง สับสนอยู่บ้าง
ทั้งที่เธอบอกว่าอยากขีดเส้นแบ่งกับภวินท์ให้ชัดเจน แต่เมื่อคืนนี้กลับเกิดเรื่องราวแบบนั้นขึ้น นี่คือความผิดที่ไม่มีทางชดเชยได้ พอนึกถึงนิวรา เธอยิ่งรู้สึกผิดจนเงยหน้าไม่ขึ้นกว่าเดิม
กลัดกลุ้มใจหนักจนมาถึงโรงพยาบาล ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึกๆ มองเห็นดร.ยติภัทรและคุณปภาวียังไม่ตื่นนอน เธอก็นั่งรออยู่บนเก้าอี้ที่โถงทางเดินด้านนอก
พอเธอหยุดลงมาแบบนี้ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกาย เจ็บปวดแทบไม่ไหว เหมือนโดนของอะไรทิ่มเข้า ทันใดนั้น ในหัวสมองของเธอมีภาพหลายอย่างแวบผ่านฉับไว เธอนั่งอยู่บนตัวภวินท์โยกตัวขึ้นลงแบบเหงื่อตก หรือว่าภวินท์จิกเอวของเธอไว้ออกแรงดุเดือด……
ชั่วพริบตาเดียว ญาธิดาอับอายจนยากจะรับได้ แก้มร้อนขึ้นมาในขณะนั้น สรุปเธอกำลังคิดอะไรกัน?
ญาธิดาทั้งโมโหทั้งรำคาญ เกลียดที่ตัวเองไร้ความสามารถ เพื่อให้ตื่นตัว ยกมือตบหน้าแบบไม่เบาไม่แรง ในเวลานี้เอง มีคนผลักประตูห้องคนไข้ออก ปภาวีเดินหาวออกมา ตอนมองเห็นญาธิดาตบหน้าตนเองอยู่ข้างนอก อดมึนงงไม่ได้
“ธิดา?” หล่อนตกตะลึงก้าวเท้ามาข้างหน้า ดึงมือของเธอไว้ “ลูกทำอะไร? บ้าไปแล้วเหรอ?”
ญาธิดาตกใจยกหนึ่ง รีบตอบสนองเข้ามาทันที หลบสายตาพูดโกหกว่า “ไม่……ไม่เป็นไรค่ะ หนูก็แค่ง่วงนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
“เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอ? ทำไมวันนี้มาเช้าขนาดนี้?” ปภาวีกำลังยกความผิดเป็นข้อๆ มาตำหนิ ตอนสายตากวาดลงไปอย่างไม่ตั้งใจ มองคอที่ขาวเนียนของญาธิดา จากนั้นตะลึงค้างฉับพลัน
สังเกตเห็นสายตาของหล่อน ญาธิดารีบก้มหน้าทันที มองไปตามสายตาของหล่อน นี่ถึงพบว่าบริเวณใกล้กระดูกไหปลาร้ามีรอยจูบสีชมพูเล็กๆ สองสามรอย
ญาธิดาตกใจ รีบเอามือไปปิดไว้ กำลังไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร ใครจะรู้ว่าปภาวีกลับหัวเราะแล้ว
“แม่เข้าใจแล้ว พวกคนหนุ่มสาว……” หล่อนหัวเราะแบบมีเลศนัย ราวกับรู้ทุกอย่างดี กดเสียงต่ำถามอย่างลึกลับ “ทัตก็ไม่เลวสินะ? สายตาแม่ไม่ผิดตามคาด พวกลูกสองคนควรคบหากันตั้งนานแล้ว……”
ญาธิดาตกตะลึงเบิกดวงตาโต แทบจะไม่กล้าเชื่อหูของตนเอง
เมื่อวานตอนกลางวันเธอออกไปกับธีทัต ดังนั้นปภาวีจึงคิดว่าเธอกับธีทัต……
ญาธิดาขมวดคิ้ว ไม่กล้าคิดต่อไปแล้ว ดูสายตาสืบเสาะของมารดา ทั้งอายทั้งหงุดหงิดบอกว่า “แม่ หนูกับทัตไม่ได้มีเรื่องแบบนี้……”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ลูกผู้หญิงหน้าบาง แม่เข้าใจได้!” ปภาวีทำสีหน้าเข้าใจดี แตะไหล่ของเธอแบบดีอกดีใจเต็มที่ “แม่ไปกดน้ำสักหน่อย อีกเดี๋ยวพ่อลูกก็น่าจะตื่นแล้ว……”
พูดอยู่ หล่อนก็ก้าวเท้าออก รีบเดินไปอย่างรวดเร็ว
ญาธิดามองภาพด้านหลังของเธอออกไปฉับไว ทั้งโมโหทั้งตลก พูดอะไรไม่ออกแบบจำใจ
วันนี้เธอสับสนวุ่นวาย เอาเสื้อผ้าชุดหนึ่งออกมาจากห้องนอนแล้วเปลี่ยน เดิมทีไม่ทันได้ส่องกระจก จะเห็นที่ไหนว่าคอที่เผยออกมาข้างนอกจะมีรอยจ้ำอยู่?
ต้องโทษภวินท์!
ญาธิดาคิดอย่างโมโหเดือดดาล ทันใดนั้นนึกถึงเรื่องพวกนั้นที่ปภาวีพูดเมื่อสักครู่ ถ้าเมื่อสักครู่เธอยืนหยัดบอกว่าไม่ใช่ธีทัต ปภาวีถามต่อขึ้นมา ถึงตอนนั้นรู้ว่าเป็นภวินท์ จะคิดอย่างไร?
ช่างเถอะๆ ให้เข้าใจผิดแบบนี้ ปิดไว้ก่อนเถอะ
ญาธิดาถอนหายใจทีหนึ่ง วิ่งไปในห้องน้ำ หยิบแป้งพับในกระเป๋าออกมาปกปิดที่คอแล้ว
ตอนที่กลับมาถึงห้องคนไข้ ยติภัทรก็ตื่นแล้ว วันนี้อากาศไม่เลว อารมณ์ของเขาเหมือนจะดีตามไปด้วย ดึงญาธิดามาพูดคุยด้วยสักพัก และเวลานี้เธอไม่รู้ว่า ในห้องรับแขกของคอนโดเธอ มีชายหนุ่มที่โกรธเคืองพอสมควรคนหนึ่งยืนอยู่
ภวินท์นึกไม่ถึงว่าพอตื่นขึ้นมา คนข้างกายจะหายตัวไปไม่เห็นแม้แต่เงา เขาลุกขึ้นมาหารอบห้อง ก็ไม่เจอเงาคนสักนิด
ทันใดนั้น ความโกรธที่ถูกหักหลังเกิดขึ้นในอก
ภวินท์มองสูทที่เปื้อนสิ่งสกปรก รีบต่อสายโทรศัพท์ให้พายุส่งชุดใหม่มาให้
เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ภวินท์เดินออกมาจากห้อง ระหว่างคิ้วและหัวตายังมีความใจร้อนและเย็นชาระดับหนึ่ง ทั่วทั้งตัวล้วนเผยกลิ่นอาย“อย่ามาใกล้ฉัน”ออกมาอยู่
พายุประมาณว่าในใจ เดาได้แล้วว่าเพราะอะไร บวกกับเมื่อเช้าเขายังเจอหญิงสาวที่รีบร้อนหนีไปด้วย
“คุณภวินท์ครับ ตอนที่ผมเข้ามา ผมเห็นคุณญาธิดาออกไปตอนหกโมงกว่าๆ ครับ”
ภวินท์ได้ยิน ขมวดคิ้วแน่น สีหน้าอึมครึมเล็กน้อย “ที่ไหน? ทำไมไม่ขวางเธอไว้?”
เธอได้กันแล้วก็หนี เอาหน้าเขาไปไว้ที่ไหน?
“ถนนใกล้ๆ หน้าประตูคอนโดครับ ผมขับรถอยู่ บีบแตรใส่เธอแล้ว เธอน่าจะมองเห็น แต่ว่าวิ่งเข้าไปสถานีรถไฟใต้ดินเฉยเลยครับ”
พายุนิ่งไปครู่หนึ่ง พูดเบาๆ ว่า “ดูท่าทาง เหมือนกำลังหลบหนี”
“หลบ?” ภวินท์ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจอยู่บ้าง
ทำไมเธอถึงหลบเขา? เขาน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ? ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคืนนี้เธอใจกล้าอ่อยเขาขนาดนั้น วันนี้เช้าตรู่ตื่นขึ้นมา ก็ไม่รับผิดชอบ ก็หนีไปแบบนี้แล้ว?
ภวินท์ยิ่งคิดยิ่งโมโห สีหน้าก็ยิ่งอึมครึม พายุที่อยู่ด้านข้างพูดเตือน “คุณภวินท์ครับ ต่อให้เธอหลบไปอย่างไร สุดท้ายก็ยังเป็นพนักงานของSTN Group หลบไปไม่ได้ถึงไหนหรอกครับ”
คำพูดประโยคหนึ่ง ชั่วพริบตาเดียวก็ดึงสติภวินท์ได้บ้าง
ที่พายุพูดมาไม่ผิด ต่อให้เธอจะหลบไปสุดขอบหล้าฟ้าเขียว ถึงตอนท้ายยังไม่ใช่ว่าต้องกลับมาทำงานที่เขาทางนั้นเหรอ?
ภวินท์ยักคิ้วแล้ว หัวเราะเยาะ
หญิงสาวคนนี้เล่นกับเขา ยังอ่อนหัดเกินไปหน่อย