ดวงใจภวินท์ - บทที่ 266 เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้
บทที่ 266 เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้
เธอยกมือขึ้น ไม่ทันรู้ตัวก็โดนที่ขมับ
ตอนที่นิ้วชี้แตะโดนเส้นเหนียวๆ รับรู้ได้ความเจ็บปวดที่บาดแผล เธอรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ตัวเริ่มสั่นโดยไม่รู้ตัว
ลูกเกดกระวนกระวายเล็กน้อย เตือนเบาๆว่า “ คุณญาธิดา แผลของคุณไม่สามารถชักช้าไปกว่านี้แล้ว เดี๋ยวจะเกิดแผลเป็น ”
ญาธิดาเงยหน้ามอง เมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความจริงใจ ความเจ็บปวดก็เปลี่ยนเป็นความอบอุ่น
เธอกับลูกเกดก็เพิ่งจะรู้จักกัน ยังไม่ถือว่าสนิท แต่หล่อนดูเป็นห่วงเธอมาก ส่วนภวินท์นั้น…..
เมื่อกะพริบตา เธอยังคงนึกถึงสายตาที่เย็นชาของชายหนุ่มเมื่อสักครู่นี้ ดูเหมือนว่าเธอเป็นแค่เลขาที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเขาที่ไม่สำคัญอะไร
ญาธิดามองไปที่ลูกเกด พูดเบาๆว่า “คุณลูกเกด เรื่องในบริษัทต้องรบกวนคุณแล้วละ ฉันไปโรงพยาบาลก่อนนะ”
ลูกเกดรีบพยักหน้า “ รีบไปเถอะ”
ญาธิดาหากระดาษทิชชูที่สะอาดเช็ดคราบเลือด กลัวทำให้คนที่ผ่านมาเห็นจะตกใจ ตั้งใจหาผ้าก๊อซติดบนปากแผลก่อน ถึงจะรีบเดินออกจากห้องทำงาน
เมื่อประตูเปิดออก เห็นเงาคนด้านนอกประตู เธอถึงกับตกใจ
“ คุณ……”
พายุรีบเดินตาม ก้มหัวลงเล็กน้อยพูดเบาๆว่า“คุณญาธิดา ผมจะไปส่งคุณที่โรงพยาบาล ”
ญาธิดารู้สึกเกร็ง ขยับริมฝีปาก ผ่านไปสองวินาทีจึงพูดว่า “ ค่ะ ”
ตอนนี้ ในเมื่อพายุเป็นฝ่ายเสนอพาเธอไปส่งที่โรงพยาบาล เธอก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง
ระหว่างที่มุ่งหน้าไปโรงพยาบาล รถวิ่งไปด้วยความเร็ว ใช้เวลาสิบกว่านาที ก็ถึงประตูด้านหน้าโรงพยาบาล
เมื่อเห็นโรงพยาบาลที่คุ้นตา ญาธิดาเกิดความลังเลเล็กน้อย
โรงพยาบาลนี้อยู่ใกล้กับบริษัทที่สุดแล้ว เป็นโรงพยาบาลที่(ดร.)ยติภัทรพักอยู่เธอกลับรู้สึกกังวลว่าต้องเจอกับพ่อและแม่ ถึงตอนนั้นถ้าพวกเขาเห็นแผลที่ศีรษะของเธอ คงถามไม่หยุดแน่ๆ
ในเมื่อเรื่องมาถึงตอนนี้ แผลที่อยู่บนศีรษะของเธอคงรีรอไม่ได้แล้ว ได้แต่ไปทำแผลก่อน
พายุส่งเธอที่ด้านนอกห้องทำแผล ดูเหมือนว่าจะตามเธอเข้าไปด้วย ญาธิดาขมวดคิ้วเล็กน้อย หันกลับมามองเขา “ คุณพายุ ขอบคุณมากที่มาส่งฉัน ต่อไปฉันอยู่คนเดียวได้ คุณกลับไปก่อนเถอะ ”
ท่าทีของเธอเย็นชามาก ท่าทีการพูดคุยแตกต่างจากวันก่อนที่คุยกับเขาที่ห้องทำงานอย่างสิ้นเชิง พายุรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง เม้มปาก พูดเบาๆว่า “ คุณญาธิดา คือคุณภวินท์…….”
มีเสียงดังหึ่งๆในหัวของญาธิดา รีบมาดักข้างหน้าเขาและพูดแทรกว่า “ ฉันอยู่คนเดียวได้ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ เชิญกลับไปเถอะ ”
น้ำเสียงของเธอหนักแน่นและเย็นชา ที่เต็มไปด้วยความห่างเหิน
เมื่อพายุได้ยิน ก็เลยไม่บังคับอีกต่อไป พยักหน้า แล้วก็หันกลับไป
รอให้เขาเดินออกไปไกลๆ ญาธิดาจึงถอนหายใจโล่งออกมา
เธอไม่อยากได้ยินการมอบหมายงานที่เกี่ยวข้องกับภวินท์อีกแล้ว และไม่ต้องการความช่วยเหลืออะไรจากเขาทั้งนั้น ตั้งแต่อยู่ที่ห้องรับแขกเมื่อสักครู่นี้ภวินท์กับชนัดพลดูเข้าขากันได้ดี ใจของเธอเย็นชาเกินพอแล้ว
เสียแรงที่เธอยังคิดแบบไร้เดียงสา ที่ภวินท์อยู่ใกล้เธอแต่ละครั้ง ช่วยเหลือดูแลเธอแต่ละครั้ง น่าจะยังสนใจเธออยู่บ้าง
แต่ความจริงกลับไม่ใช่ ไม่ใช่แม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าเธอเลือดไหลเต็มศีรษะ น้อยใจถึงที่สุด เมื่ออยู่ต่อหน้านิวราหรือคนที่เกี่ยวข้องกับนิวรา เขาไม่มองดูเธอเลยสักนิด
เธอมองออกมาตั้งนานแล้ว คือตัวเธอเองที่โกหกตัวเองอยู่ทุกครั้ง
สูดหายใจเข้าลึกๆ ญาธิดาจึงเดินเข้าไปที่ห้องทำแผล
เมื่อคุณหมอเห็นแผลบนศีรษะของเธอ ขมวดคิ้วทันที “ คุณผู้หญิง คุณไปทำอะไรมา แผลที่อยู่บนหน้านี้ ถ้ารักษาไม่ดีจะเกิดแผลเป็น…. ”
ญาธิดากุมมือเย็นๆทั้งสองข้าง ได้ยิ้มเจื่อนๆกลับไป ไม่พูดอะไร
แผลเป็นก็ดี อย่างน้อยจะได้เตือนเธอทุกครั้งที่ส่องกระจก เธอไม่ได้อยู่ในใจของภวินท์
ในเวลาเดียวกัน ด้านนอกของห้องทำแผล พายุได้ยืนแอบอยู่ที่มุมเสา คอยสังเกตดูสถานการณ์ในห้องทำแผลเป็นช่วงๆ
เขายกมือขึ้น เรียบเรียงข้อความหนึ่งฉบับ ทำการรายงานต่อภวินท์
ไม่นาน โทรศัพท์ของเขาก็มีเสียงติ๊งต่อง ได้รับข้อความ “ เฝ้าดูต่อไป ให้แน่ใจว่าเธอถึงบ้านอย่างปลอดภัย”
และคนที่ส่งข้อความฉบับนี้ กำลังนั่งอยู่บนโซฟาของโต๊ะทำงาน ยิ้มอ่อนๆที่มุมปาก หันไปเผชิญหน้ากับชนัดพล
จากเมื่อกี้ถึงตอนนี้ ชนัดพลได้อาละวาดมาพักใหญ่แล้ว ภวินท์เข้าใจดี ไม่ช้า เขาจึงเปิดโปงออกมา
“ คุณลุง ดื่มชาสักหน่อย จะได้ชุ่มคอ”
ภวินท์ยกกาน้ำชาที่อยู่ข้างๆขึ้นมา เติมน้ำชาให้ชนัดพล ต่อมา เขาค่อยๆวางกาน้ำชาลง รีบเอ่ยปากถึงประเด็นสำคัญ “ คุณลุง สองวันนี้บริษัทวรโชติดูวุ่นวายอยู่ไม่น้อย มีวิธีรับมืออะไรไหมครับ”
ชนัดพลแปลกใจเล็กน้อย ดูเหมือนจะคิดไม่ถึงว่าภวินท์จะเป็นคนเอ่ยปากพูดเรื่องแบบนี้ก่อน เขาชะงักไปชั่วครู่ แสดงสีหน้าที่เศร้าโศกอย่างรวดเร็ว ถอนหายใจ “ เฮ้อ ไม่ปิดบังละกัน ที่ฉันมาครั้งนี้ คืออยากจะ……..”
เขาไม่ทันพูดจบ ภวินท์ก็เอ่ยปากพูดทันที ด้วยน้ำเสียงสดใส “ คุณลุง ความจริงเรื่องนี้ คนอื่นช่วยอะไรท่านไม่ได้หรอก ในใจของท่านก็รู้ดีไม่ใช่เหรอ โบราณท่านว่า ใครเรียนผูกคนนั้นก็ต้องเรียนแก้ ตอนนี้ ตระกูลวรโชติสามารถแก้ไขวิกฤตได้ไหม ต้องดูให้หมดว่าท่านจะทำยังไง”
คำพูดเขาแบบนี้ ทำให้ชนัดพลเอ่ยปากพูดขอความช่วยเหลือไม่ทันถึงกับพูดไม่ออก
ชนัดพลสีหน้าแสดงอาการ นิ่งไปครู่หนึ่ง จะใส่อารมณ์อีกก็คงดูไม่ดี ถอนหายใจพูดว่า “ ตอนนี้มันไม่ง่ายแบบนั้นแล้ว”
“ ที่แท้” ภวินท์ได้หรี่ตามอง พูดชัดถ้อยชัดคำว่า “ วันนั้นที่เกิดเรื่อง เป็นจังหวะดีที่สุดแล้วที่บริษัทวรโชติได้แสดงจุดยืน พวกคุณแค่จำเป็นต้องขอโทษต่อสาธารณะ มีมาตรการที่แก้ปัญหาสมเหตุสมผล และสัญญาว่าจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกในภายหลัง ยังสามารถกอบกู้ความเสียหายไว้ได้ทัน แต่ว่าตอนนี้คงสายไปแล้ว”
“ ตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็พร้อมยื่นมือช่วยเหลือตระกูลวรโชติ มีเจตนาโจมตีเป้าหมายใหม่ คุณลุง เหตุผลนี้พอจะเข้าใจไหมครับ”
ภวินท์ได้พูดอ้อมๆตั้งแต่ตอนแรก เพื่อที่จะให้พูดความจริงของเรื่องออกมา จริงๆแล้ว ชนัดพลมีสีหน้าที่ไม่ดีสักเท่าไหร่
เขาได้พูดชัดเจนแล้ว แสดงให้เห็นว่าไม่ได้คิดจะช่วยเหลือบริษัทวรโชติเลย
“ คุณลุง ผมขอแนะนำท่านสักนิด ในตอนนี้ ถ้าได้ขอโทษต่อสาธารณะ ให้เงินทดแทนกับแรงงานก่อสร้างเหล่านั้นก็เป็นวิธีเดียวสำหรับทางนี้ ถึงแม้ว่าผลที่ได้จะไม่เป็นไปตามแผน แต่ก็ดูเข้าท่ากว่าการที่จะไม่ทำอะไรเลย ”
ชนัดพลกระตุกคิ้ว สายตาเริ่มลังเล ในที่สุดท้าย ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ท่าทีของภวินท์ก็ทำเห็นได้ชัดขึ้น เขาจะไม่ให้การช่วยเหลือตระกูลวรโชติแน่ๆ แต่คนที่สามารถช่วยตระกูลวรโชติ มีแค่ตัวเขาเอง
ผ่านไปห้านาที ภวินท์ได้มองไปที่โซฟาที่ว่างเปล่าอยู่ตรงหน้า สายตาจ้องไปที่แก้วน้ำชาที่มีไอความร้อนลอยขึ้นมา
ดูจากสายตา และสีหน้าที่ค่อยๆเย็นลงทีละนิด จนสุดท้าย เหลือแค่แววตาสีหน้าหม่นหมองและเคร่งเครียด
เขาจะช่วยจิ้งจอกเฒ่าชนัดพลตัวนั้นได้อย่างไร ยังไม่พูดว่าก่อนหน้านี้ที่เขาทำเรื่องเหล่านั้นกับตระกูลวรโชติ ก็รวมกับวันนี้เขาก็ก่อเรื่องกับญาธิดา เขาก็บันทึกไว้ในบัญชีตลอด
ชายหนุ่มที่มีคิ้วขมวด ยกมือขึ้นมาโบก หยิบอุปกรณ์ชาบนโต๊ะที่ชนัดพลดื่มเมื่อสักครู่นี้โยนลงในถังขยะที่อยู่ข้างๆ
ญาธิดาได้ทำแผลเรียบร้อยแล้ว บนหน้าผากมีเม็ดเล็กๆเหงื่อไหลออกมาเป็นทาง
ว่าแต่ แผลนี้ก็เจ็บใช้ได้อยู่เหมือนกัน
“ ได้จ่ายยาทาให้คุณไปหนึ่งหลอด รอแผลตกสะเก็ด คุณค่อยทาเบาๆ วันละสองครั้ง ”
คุณหมอได้กำชับอยู่สองสามประโยค ญาธิดาจดบันทึกไว้ทั้งหมด ถึงจะหยิบใบรายการสั่งยาไปล็อบบี้ชั้นหนึ่งชำระเงินและรับยา
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุแผลที่อยู่บนศีรษะหรือไม่ จู่ๆ เธอรู้สึกสมองเลอะเลือนเล็กน้อย แขนขาอ่อนแรง ง่วงนอนมากๆ
เธอต่อแถวรับยาแล้ว หันกลับจะเดินไปที่ประตูทางเข้า จู่ๆ ก็มีเสียงอบอุ่นของผู้ชายดังมาจากข้างๆ
“ ธิดา”
เมื่อได้ยินเป็นเสียงที่คุ้นเคย ญาธิดาจึงหันไปตามเสียง ไม่คิดว่าธีทัตจะยืนอยู่ไม่ไกล มองเขาอย่างประหลาดใจเล็กน้อย