ดวงใจภวินท์ - บทที่ 311 ถูกย้ายกลับแผนกธุรการ
ญาธิดาเก็บสิ่งของที่อยู่ภายในห้องทำงานของตนเองมากองรวมกัน พร้อมทั้งเอาเอกสารต่างๆ มากองสุมอยู่อย่างมั่วซั่ว พร้อมทั้งจับยัดลงกล่องกระดาษเป็นลัง เธออุ้มกล่องขึ้นมา หลังจากพูดคุยกับนวิยาแล้ว จึงเดินออกจากห้องทำงาน
พายุยืนอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ไกลนัก สายตาเหลือบมองมาทางนี้ จากนั้นก็เร่งฝีเท้ามุ่งหน้าเดินมาหา และจัดการหยิบกล่องกระดาษที่อยู่ในมือของเธออย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง “คุณธิดา ผมถือเอง”
ญาธิดาไม่ได้แสดงท่าทางปฏิเสธ พลันแหงนหน้ามองเขา ดวงตาฉายความหวั่นไหว พลันอ้าปากพูดอย่างอดใจไม่ไหว “คุณภวินท์ให้คุณมาเหรอ?”
พอพายุได้ยินแววตาชะงักเล็กน้อย หลังจากหยุดอยู่สักครู่ถึงเอ่ยปากพูด “อันอันกำชับผมมา ให้ผมคอยดูแลคุณตอนอยู่ในบริษัทให้มากๆ ครับ”
คำพูดประโยคเดียว ราวกับเติมน้ำแข็งเย็นจัดลงในถาด จนทำให้หัวใจอันเย็นเฉียบที่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วพลันเย็นยะเยือกจนทะลุทะลวงไปหมดทั้งตัว
ที่แท้…เธอยังคิดว่าเป็นเขา
เธอคลี่มุมปากยิ้ม จากนั้นก็หันหน้าไปยังทางด้านหน้า และไม่ได้พูดอะไรต่อ
พายุที่อยู่ทางด้านข้างมองเห็นเหตุการณ์นั้น ถึงกลับลังเลอยู่สักพัก จึงพูดต่อว่า “คุณภวินท์ได้กำชับไว้แล้ว ถ้าคุณต้องการอะไรสามารถมาหาผมได้เลย เรื่องชุดราตรีที่จำเป็นต้องใส่ในงานพิธีหมั้น ผมจะ…”
“ไม่ต้องแล้วแหละ” เธอตัดบทตอบปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา “แค่เสื้อผ้าชุดเดียว ฉันพอจะจ่ายไหว”
เรื่องเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว เธอไม่อยากจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับภวินท์อะไรอีก
เมื่อมาถึงประตูแผนกธุรการ ญาธิดารับกล่องมาจากมือของพายุ หลังจากพูดขอบคุณเขาแล้ว จากนั้นก็หันหลังให้และเดินหน้าต่อไป โดยที่ไม่มีการหันศีรษะกลับมามองด้วยซ้ำ
พายุยืนอยู่ที่เดิม และคอยมองเธอเดินออกไปไกล ในหัวสมองกลับคิดถึงเรื่องอื่นตามความเป็นจริง
ตอนที่อยู่ที่สำนักงานCEOเมื่อกี้นี้ ทั้งๆ ที่ภวินท์ได้กำชับให้เขาคอยช่วยเหลือเธออย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ แถมยังจงใจมอบหมายงานโดยที่ไม่อนุญาตให้พูดว่านี่เป็นความคิดของเขา ดังนั้นเมื่อครู่เขาจึงเอาชื่ออันอันขึ้นมาแอบอ้าง
เห็นๆ อยู่ว่าท่านประธานสนใจเธอ แต่กลับแสดงความเฉยเมยออกมาทุกครั้ง คนหนึ่งก็เก็บซ่อนอย่างมิดชิด อีกคนก็เข้าใจผิดจนไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป ควรจะทำยังไงดีล่ะ…
ตั้งแต่วินาทีที่เดินเข้าประตูแผนกมานั้น ญาธิดาก็สัมผัสได้ถึงสายตาของเพื่อนร่วมงานที่พุ่งเป้ามาที่ตัวเธอ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ยืนหลังตรงเดินมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานทันทีแต่เพิ่งจะเดินถึงประตู ก็เห็นพิชญ์สินีเดินออกมาทางด้านข้าง
หลังจากผ่านเรื่องครั้งที่แล้วมา พิชญ์สินีกับญาธิดาก็แตกหักกันจนขาดสะบั้นกันไปแล้ว ซึ่งในเวลานี้เธอไม่ยอมปิดซ่อนและเก็บงำอีกต่อไปแล้ว จึงเดินไปดักหน้าเธอเอาไว้
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งแหงนหน้ามองเธอพลันถามทันที “มีธุระอะไร?”
พิชญ์สินีค่อยๆ เชิดปลายคางขึ้นเล็กน้อย พร้อมทั้งใช้แววตาสะใจจ้องมองเธอ “นี่แกจะไปไหน?”
ญาธิดาพูดเน้นย้ำทุกถ้อยคำ “กลับห้องทำงาน”
“แกยังมีห้องทำงานอยู่อีกเหรอ?” พิชญ์สินีเหลือบตามองเธอ พลันคลี่ยิ้มตรงมุมปาก “ตอนนี้ในแผนกธุรการนอกจากฉันแล้ว ก็ยังมีผู้ช่วยหัวหน้าแผนกอยู่อีกคน แกกลับมาก็ไม่มีตำแหน่งให้แกแล้วแหละ”
สมองของญาธิดาอื้ออึงทันที และเริ่มตกใจ จึงอ้าปากเตรียมจะถามกลับ ก็เห็นประตูห้องทำงานที่เคยเป็นของเธอมาก่อนเปิดออก จากนั้นก็มีเงาอันคุ้นเคยเดินออกมาจากด้านใน
หัวใจญาธิดาบีบรัดทันที “ชมพู่?”
พอชมพู่ที่อยู่ตรงนั้นมองเห็นญาธิดา ก็เกิดอาการตะลึงเล็กน้อย เพียงชั่วขณะ เธอก็ได้สติกลับมา จึงเดินเข้ามาสอบถามทันควัน“ธิดา แกกลับมาได้ยังไง?”
โดยที่ไม่รอให้ญาธิดาตอบคำถาม พิชญ์สินีที่อยู่ด้านข้างก็อ้าปากพูดทันที “ทนอยู่ที่สำนักงานCEOต่อไม่ไหวแล้ว เลยเสนอหน้ากลับมา”
พอชมพู่ได้ยิน จึงฉายความเคอะเขินออกมาอยู่บนใบหน้า เธอยื่นมือออกไปจับมือของญาธิดาเอาไว้ แถมพูดด้วยอาการประหม่าเล็กน้อย “ธิดา ระยะนี้งานในแผนกก็เยอะมาก พี่แนนเลยให้ฉันเลื่อนมาอยู่ในตำแหน่งผู้ช่วย ฉันก็ไม่รู้ว่าแก…”
ญาธิดาคลี่ยิ้มเล็กน้อย พร้อมทั้งตบมือชมพู่เบาๆ พร้อมทั้งพูดปลอบใจ “ไม่เป็นไรนะ เรื่องนี้โทษแกไม่ได้หรอก ฉันจะไปสอบถามพี่แนนเองว่าเธอจะจัดการกับฉันยังไง”
จากนั้นได้พูดคุยกับเธออยู่หลายประโยคเสร็จแล้ว เธอถึงหันหลังให้และมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของหัวหน้าแผนกทันที
แม้ว่ามองผิวเผินจะพูดว่าไม่เป็นไรก็ตาม แต่ในใจนั้นกลับรู้สึกไม่สบายใจอยู่ร่ำไป ซึ่งตอนนี้ชมพู่ได้มานั่งแทนที่ตำแหน่งของเธอไปแล้ว งั้นเธอจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ?
เธอเดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าประตูห้องทำงาน พร้อมทั้งชูมือขึ้นและเคาะประตู จากนั้นจึงเดินเข้าไป พี่แนนมองเธอ ซึ่งไม่ได้แสดงสีหน้าผิดแปลกอะไร พร้อมทั้งเชิญเธอนั่งลง หลังจากเข้าใจสถานการณ์เป็นอันเรียบร้อยแล้ว จึงอ้าปากพูด “งั้นเอางี้นะ เธอกับชมพู่แชร์ห้องทำงานกัน เป็นผู้ช่วยแผนกนี่แหละ รอเวลาอีกสักพักค่อยปรับระบบกันใหม่นะ”
ญาธิดาได้ยินแล้ว จึงพยักหน้าเล็กน้อย
ทุกแผนกใน STN Group ยังไม่มีผู้ช่วยหัวหน้าสามคนเลย การที่พี่แนนทำแบบนี้ ถือว่าไว้หน้าเธอแล้วแหละ
เมื่อออกมาจากห้องทำงานแล้ว ญาธิดาก็กลับไปยังห้องทำงาน หลังจากพูดอธิบายกับชมพู่เรียบร้อยแล้ว จึงเอาโต๊ะเล็กๆ มาวางในห้องทำงานที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถึงได้ถือว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เธอไม่คาดคิดเลยว่า อยู่ดีๆ เจ๊กก็ลากไปไทยก็ลากมา ทั้งที่ตัวเธอย้ายจากแผนกธุรการเพื่อเลื่อนตำแหน่งให้ไปอยู่ในสำนักงานCEO แต่สุดท้ายแล้วก็กลับมาที่แผนกธุรการอีกครั้ง แถมยังอยู่ในสถานะที่น่าขัดเขินชะมัด
ญาธิดาเก็บงำอารมณ์ที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจ และตั้งหน้าตั้งตาทำงาน กระทั่งชมพู่ได้ท้วงเตือนเธอว่าถึงเวลาเลิกงานแล้ว เธอถึงได้สติกลับมา
บางทีอาจเป็นเพราะความละอายใจ ชมพู่จึงเริ่มเอ่ยปากสอบถามก่อน “ธิดา ไปกินข้าวด้วยกันมั้ย?”
“ไม่แหละ ฉันยังมีเรื่องต้องจัดการ” ญาธิดายิ้มให้เป็นการปฏิเสธ “ไว้คราวหน้ามีเวลาว่างค่อยนัดกันใหม่นะ”
ชมพู่พยักหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก จากนั้นก็เก็บของและออกไป
ญาธิดาเดินออกมาจากประตูใหญ่ของ STN Group พลางจ้องมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้มทางด้านนอก พร้อมทั้งก้าวเท้ามุ่งหน้าไปยังStarlight Venueที่อยู่ด้านข้าง
กระทั่งต้องเข้าไปร่วมพิธีงานหมั้นหมายของภวินท์ เธอย่อมเลือกเสื้อผ้าที่สามารถออกงานได้อย่างเหมาะสมกับงาน
ถึงขั้นต้องไปงานแล้ว ก็คงไม่สามารถจะให้ใครมาดูถูกได้อีกแล้วมั้ง
Starlight Venueมีแบรนด์หรูอยู่หลายชั้น ญาธิดาเดินดูอยู่หลายร้าน เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่แสนจะธรรมดาแต่ราคากลับต้องตกใจจนอ้าปากค้าง จนเกิดความรู้สึกลังเลอยู่เล็กน้อย
พอลงมาอีกสองชั้น แบรนด์สินค้าราคาพอคบหาได้ แถมยังมีแบรนด์การดีไซน์ทั้งในและต่างประเทศจำนวนไม่น้อยอยู่หลากหลายแบบ ญาธิดาเดินดูอยู่หลายร้าน ถึงได้กล้าเข้าไปลอง
“สวัสดีค่ะ ฉันอยากจะลองชุดนี้ค่ะ”
พนักงานในร้านพาเธอไปยังประตูห้องลองเสื้อ ญาธิดาผลักประตูเข้าไป จากนั้นก็เริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที
กระโปรงเนื้อผ้าอ่อนนุ่มทาบลงบนตัว ช่างเหมาะสมมาก แต่ญาธิดามักรู้สึกว่ายังไม่เป็นทางการเท่าที่ควร จึงเปลี่ยนอยู่หลายชุด แถมมีอาการลังเลจนตัดสินใจไม่ได้
จู่ๆ เธอก็มองเห็นกระโปรงยาวสีดำที่อยู่ทางด้านข้าง เป็นดีไซน์เก็บช่วงเอว ยาวและธรรมดามาก ซึ่งไม่ใช่รุ่นที่คนทั่วสามารถสวมใส่ได้
ญาธิดาหวั่นใจเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปพูดกับพนักงาน “รบกวนคุณช่วยหยิบตัวนั้นให้หน่อยค่ะ ฉันอยากลอง”
“ได้ค่ะ สักครู่นะคะ”
จังหวะที่ญาธิดาหยิบกระโปรงเข้าไปในห้องลองเสื้อ เขยิบขึ้นมาอีกชั้นในห้างสรรพสินค้า คณินกำลังตามหาตัวคนจนรู้สึกปวดหัว
เขาได้รับการฝากฝังจากพ่อแม่ ว่าให้พาลูกพี่ลูกน้องที่มีศักดิ์เป็นน้องสาวญาติห่างๆ ที่อยู่ในบ้านมาเดินเที่ยวเล่น ไม่คิดเลยว่าผ่านไปไม่นานนัก ก็ไม่เห็นคนแล้ว เขาหาอยู่นาน ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
เดิมทีน้องสาวก็มีนิสัยดื้อรั้น อายุ17-18 ก็ชอบทำตาขวางใส่พี่ชายคนนี้ ซึ่งอยู่ดีๆ ก็หายตัวไป เป็นการตั้งใจแอบหลบแน่ๆ
ถ้าเขาทำให้คนหายตัวไป พอกลับบ้านไปก็ไม่มีวิธีจะไปบอกกับผู้ใหญ่ได้
เวลานั้นเอง จู่ๆ โทรศัพท์ของเขาก็สั่นเท่าขึ้นมา เขาหยิบออกมาดู จึงมองเห็นข้อความหนึ่งเด้งเข้ามา “เธออยู่ห้องลองเสื้อผ้าที่ร้านbojoตรงชั้นสาม”
คณินตะลึงเล็กน้อย เมื่อกดเบอร์นั้น ก็เห็นว่าเป็นเลขยาวมั่วๆ เขาขมวดหัวคิ้วหากัน และลังเลอยู่สักพัก พร้อมทั้งก้าวเท้ามุ่งหน้าเดินไปทางลิฟต์ทันที
ซึ่งไม่สนใจว่าใครเป็นคนส่งข้อความมา ยังไงสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาในเวลานี้ก็คือการตามหาตัวแม่น้องสาวตัวดีที่ไม่เชื่อฟังคนนั้น!
ตั้งแต่ลงลิฟต์จากชั้นบนจนมาถึงชั้นสาม คณินเดินวนดูรอบหนึ่ง จนมองเห็นร้านเสื้อผ้าbojo เขาก้าวเท้าเดินเข้าไป ก็เห็นพนักงานในร้านเข้ามาต้อนรับ จึงเอ่ยปากถามทันที “ห้องลองเสื้ออยู่ตรงไหนครับ?”
พนักงานแสดงอาการลังเลสักพัก พลางชี้ไปยังทิศนั้น และสอบถามทันที “มีอะไรให้ดิฉันช่วยมั้ยคะ?”
คณินหมดความอดทน “ในห้องลองเสื้อมีเด็กผู้หญิงอยู่ใช่มั้ย ผมยาว ผอมๆ หน่อย”
พนักงานยังคงลังเลแต่ก็พยักหน้าให้
คณินเห็นเหตุการณ์ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็ก้าวเท้ายาวๆ มุ่งหน้าไปยังห้องลองเสื้อทันที