ดวงใจภวินท์ - บทที่ 350 สองชั่วโมงสุดท้าย
บทที่ 350 สองชั่วโมงสุดท้าย
ออกมาจากเขตหมู่บ้าน ญาธิดาลากกระเป๋าเดินทางเดินมาข้างถนน รอธีทัตมาหา
รออย่างใจจดจ่อ รออยู่ครึ่งวันแล้วก็ไม่เห็นมีใครมา ญาธิดากำลังลังเลว่าจะต้องโทรไปถามหรือไม่ ตอนนั้นก็มีรถเก๋งสีดำขับตรงมาทางเธอ
รถคันนั้นมาหยุดตรงหน้าเธอพอดี ลดกระจกรถลง สิ่งที่ญาธิดาเห็นคือใบหน้าของคนแปลกหน้า
ผู้ชายที่นั่งตรงคนขับได้เอ่ยปากถามมาก่อนว่า “ขอโทษครับ คุณคือคุณญาธิดาใช่ไหมครับ”
ญาธิดาพยักหน้าด้วยความลังเล “ใช่ฉันเอง มีธุระอะไรไหม”
ผู้ชายคนนั้นอธิบายอย่างช้าๆ ว่า “ทางบริษัทมีเรื่องต้องจัดการนิดหน่อย คุณธีทัตยังปลีกตัวมาไม่ได้ ก็เลยให้ผมมารับคุณก่อนครับ”
ญาธิดาลังเลอยู่ชั่วครู่ หันไปมองนาฬิกาข้อมือ เวลาก็ไม่เช้าแล้วถึงจะเอ่ยพูดว่า “โอเค”
เมื่อผู้ชายบนรถได้ยิน รีบลงรถทันที รับกระเป๋าเดินทางจากในมือของญาธิดา ไปใส่ไว้ที่ช่องท้ายรถ
ญาธิดาได้แต่มองโทรศัพท์ ตอนที่ลังเลว่าจะต้องส่งข้อความไปถามธีทัตสักหน่อยไหม คนขับรถก็เปิดประตูรถให้เธอ ทำสัญลักษณ์มือเชิญเธอขึ้นรถ
ญาธิดาไม่อยากเสียเวลาอีก ได้แต่ยิ้มให้คนขับรถแล้วขึ้นรถ
หลังจากขึ้นรถ เธอเงยมองไปที่คนขับรถที่ตำแหน่งคนขับที่อยู่แถวหน้า หายใจเข้าลึกๆถามว่า “คุณเป็นคนขับรถที่มาใหม่เหรอก่อนหน้านี้ทำไมไม่เคยเห็นคุณเลย”
คนขับรถหัวเราะพูดว่า “ผมไม่ได้มาใหม่ครับ ก่อนหน้านี้หลักๆรับผิดชอบเรื่องที่บริษัท คุณไม่คุ้นหน้าผมเป็นเรื่องปกติครับ”
รถได้หยุดตรงทางแยกพอดี หยุดรอไฟแดงอยู่พักหนึ่ง คนขับรถหยิบน้ำแร่หนึ่งขวดออกมาจากด้านข้าง หันกลับไปส่งให้เธอ “น้ำครับ”
ญาธิดายิ้มพร้อมกับรับไว้ ตอบกลับด้วยมารยาท “ขอบคุณค่ะ”
แต่ในตอนนี้เอง ตาขวาของเธอ “ ตุบตุบ ”กระตุกสองครั้ง ชั่วพริบตาเดียว รู้สึกแปลกๆไม่สบายใจขึ้นมาในใจ เธอจึงมองไปที่คนขับรถโดยไม่รู้ตัว อดไม่ได้ที่จะหยิบมือถือที่อยู่ข้างๆขึ้นมา ส่งข้อความหาธีทัตหนึ่งฉบับ
“คุณยุ่งอยู่รึเปล่า”
ไม่กี่นาทีจากนั้น มือถือของเธอก็มีเสียง “ติ๊งต๊อง” ดังขึ้น คือเสียงเตือนที่ได้รับข้อความฉบับใหม่ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เห็นข้อความที่ธีทัตตอบกลับมาหาเธอ
“ฉันกำลังไป คุณลงมาหรือยัง”
ทันทีที่เห็นข้อความบรรทัดนั้น ในใจญาธิดารู้สึกเกร็ง รีบมองไปที่คนขับรถด้านหน้า กำลังจะอ้าปากพูด ใครจะไปรู้จู่ ๆก็มีกลิ่นหอมแปลกๆออกมาจากด้านข้าง
เธอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูด ก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะขึ้นมาพักหนึ่ง ไม่กี่วินาทีต่อมา ตรงหน้าเธอมืดมน ร่างกายอ่อนเพลีย ทรุดตัวลงที่เบาะหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว
คนขับรถที่นั่งอยู่ด้านหน้าเงยหน้ามอง มองผ่านกระจกมองหลัง เห็นสถานการณ์ทั้งหมดที่อยู่ด้านหลัง เห็นคนล้มตัวลง เขายิ้มมุมปาก เหยียบคันเร่ง เมื่อถึงแยกถัดไป ก็หันหัวรถกลับ ขับไปทางทิศตะวันออกของเมืองJ…………
STN Group
ไม่ทันรู้ตัว ก็ถึงตอนบ่ายแล้ว ชมพู่ก็ทำตามที่ญาธิดาสั่งไว้ หยิบแฟ้มเอกสารนั้นขึ้นมา ตรงไปยังสำนักงานCEO
ถึงสำนักงานCEO หล่อนมองไปรอบๆไม่มีคน ได้เพียงแต่เดินไปยังประตูห้องทำงานสำนักงานCEO ยกมือขึ้นมาบิดประตู
ไม่มีคนตอบรับ ในห้องไม่มีเสียงแม้แต่น้อย
ขณะที่เธอกำลังจะยกมือเคาะประตูครั้งที่สองพอดี จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากด้านหลัง ทันใดนั้น เสียงของนวิยาก็ดังขึ้นว่า “มีธุระอะไรเหรอ”
ชมพู่ตกใจ หันกลับมาโดยไม่รู้ตัว ตอนที่เห็นนวิยายืนห่างออกไปสองเมตร รู้สึกเครียดเล็กน้อย “คุณนวิยา คุณภวินท์ไม่อยู่เหรอคะ ฉันมีเอกสารที่ต้องส่งให้เขาค่ะ”
เมื่อนวิยาได้ยิน ก็มองดูเอกสารที่อยู่ในมือของหล่น ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พูดเลียบๆว่า “คุณภวินท์มีธุระ ไม่อยู่ที่บริษัท ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ ถ้าคุณอยากส่งเอกสารอะไร วางไว้ที่บนโต๊ะเลยก็ได้แล้ว”
ชมพู่ลังเลอยู่ชั่วครู่หนึ่ง เงยหน้ามองนวิยา พยักหน้า “โอเค งั้นฉันเอาเอกสารวางไว้บนโต๊ะแล้วกัน”
เห็นนวิยาพยักหน้า ชมพู่ถึงจะกล้าหันกลับไป ผลักประตูห้องทำงานสำนักงานCEO ออก หล่อนรีบเดินเข้าไป เอาเอกสารที่อยู่ในมือวางไว้บนสุดของกองเอกสารบนโต๊ะ
ทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย หล่อนเดินออกไปจากห้องทำงาน ยิ้มกับนวิยา ก้าวเดินออกไปจากสำนักงานCEO
กลับไปถึงแผนกธุรการ ชมพู่หยิบมือถือขึ้นมา ส่งข้อความให้ญาธิดาหนึ่งฉบับ “ธิดา เอกสารส่งเรียบร้อยแล้ว แกวางใจได้”
อีกด้านหนึ่ง ข้อความส่งมา เสียงสั่นของโทรศัพท์ก็ดังขึ้น“ตืด ตืด” ทันใดนั้น ก็มีมือใหญ่เอื้อมมาข้างหนึ่ง หยิบมือถือไปเลย
และด้านข้าง ญาธิดาที่อยู่ในสภาพสลบไสลโดนมัดมือมัดเท้าไว้แน่น ถึงแม้ว่าเธอตื่นขึ้นมาก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
คนขับรถคนนั้น ยืนอยู่ด้านนอกรถ มองไปยังทะเลที่อยู่ไม่ไกล สายตาที่อำมหิต หลังจากนั้น เขาก็พูดใส่หูฟังว่า “รีบๆหน่อย ฟ้าจะมืดแล้ว”
ขณะที่พูด ที่ที่เป็นท้องฟ้ากับทะเลอยู่ใกล้กัน เมฆก้อนใหญ่ครึ้มฟ้าครึ้มฝนกำลังจะลับหายไป ราวกับว่ามีหายนะกำลังเกิดขึ้น อยากที่จะกลืนเอาความมืดมนและความสกปรกทั้งหมดเข้าไปด้วย
ญาธิดาหนาวจนรู้สึกตื่น
ทันทีที่เธอลืมตา ก็ตกใจกับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าทันที ขาของเธอโดนคลื่นทะเลซัดเข้ามาที่ทีละลูกๆ เมื่อมองไปด้านหน้าก็เป็นผืนน้ำทะเล พอมองตรงไปอีกก็เห็นเป็นชายหาดอยู่เลือนราง……
ร่างกายของเธอโดนมัดติดกับบันไดของประภาคารในทะเล ขาทั้งสองของเธอจมอยู่ในน้ำทะเล นอกจากศีรษะแล้ว ครึ่งท่อนบนของเธอ ครึ่งท่อนล่างล้วนถูกมัดเอาไว้แน่นหนา ไม่มีทางขยับตัวได้เลย
สมองของเธอราวกับว่าไฟฟ้าลัดวงจร ญาธิดารู้สึกว่าตัวเองเหมือนกับกำลังฝันไป
เธอมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง คนขับรถคนนั้นเป็นคนของใคร หรือว่านิวราเป็นคนบงการ สุดท้ายแล้วพวกเขาต้องการทำอะไร
คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัวของเธอ เพียงชั่วครู่ทุกอย่างกลับไม่มีการตอบรับ ลมและคลื่นทะเลค่อยๆสลับกันพัดเข้ามาแทนที่ ความหนาวทำให้เธออดไม่ได้ที่จะหนาวสะท้าน
ถ้าพวกเขาอยากจะฆ่าเธอจริงๆ ทำไมไม่ทำให้จบๆไปเลย เอาเธอมามัดที่ประภาคารในทะเลทำไมอีก
ญาธิดากัดฟัน พยายามดึงสติกลับมา มองไปยังชายหาดที่อยู่ไม่ไกล ในใจกลับไร้ความหวัง
ประภาคารนี้อยู่ไม่ไกลจากชายฝั่งทะเล แต่เธอว่ายน้ำไม่เป็นเลย ถึงแม้ว่าดิ้นหลุดออกจากเชือก เธอจะออกจากประภาคารถึงชายหาดได้ยังไง
หลังจากที่เกิดความคิดที่จะช่วยเหลือตัวเองทั้งหมดถูกยกเลิกอีกครั้ง ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึกๆ ยิ่งรู้สึกสิ้นหวัง
ในตอนนี้ ญาธิดามองเห็นเรือเร็วลำหนึ่งขับมาทางนี้ พริบตาเดียว ก็เกิดความรู้สึกมีหวังออกมา
หรือว่ามีคนมาช่วยเธอเหรอ
แต่ตอนที่เรือเร็วค่อยๆเข้ามาใกล้ ร่างของญาธิดาถูกกลืนเข้าไปในความเย็นอีกครั้ง หมดสิ้นความหวัง
ผู้ชายคนนั้นที่อยู่บนเรือเร็ว เป็นคนขับรถคนนั้นที่ลักพาตัวเธอนี่ นอกจากเขา ยังมีผู้ชายอีกคน เหมือนจะเป็นลูกน้องเขา ควบคุมเรือเร็ว พุ่งตรงใกล้มาทางนี้
บนเรือเร็ว คนขับกำลังมองญาธิดา ยิ้มด้วยความอำมหิต “คุณญาธิดา บรรยากาศในทะเลเป็นยังไงบ้าง”
ริมฝีปากของญาธิดาเย็นจนรู้สึกได้ อดทนกับอาการตัวสั่นอย่างมาก จ้องไปที่เขา “ตกลงว่าคุณเป็นใครกันแน่”
“อันนี้ไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือแกอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ และ……”
ขณะเขาพูด สายตาก็กวาดมาที่ท้องน้อยของญาธิดา “และแกก็อยากที่จะป้องกันลูกในท้องของแก”
ญาธิดาตกใจ เลือดสูบฉีดไปทั่วร่างกาย เธอกัดฟันแน่น จ้องไปที่คนขับคนนั้น “แกเป็นคนของนิวรา ใช่มั้ย”
คนขับหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ตอบแบบจริงจัง เขาหันไปมองลูกน้องที่อยู่ข้างๆครู่หนึ่ง ลูกน้องคนนั้นเข้าใจในทันที หยิบโทรศัพท์ออกมาเล็งที่ญาธิดา
ญาธิดาโกรธจนตัวสั่นไปทั้งตัว “ตกลงพวกแกจะทำอะไร”
คนขับหัวเราะที่มุมปาก “คุณญาธิดา ที่ฉันมาเนี่ย ก็อยากจะบอกแก ตอนนี้น้ำเริ่มจะขึ้นแล้ว เดี๋ยวอีกสองชั่วโมง แกก็ถูกจมอยู่ใต้น้ำ ในสองชั่วโมงนี้ อาจจะเป็นสองชั่วโมงสุดท้ายที่แกอยู่บนโลกนี้”