ดวงใจภวินท์ - บทที่ 36 คุณคือพี่สะใภ้ของผม
เธอจ้องมองคุณย่า และมองกำไลข้อมือที่อยู่ในมือของเธอ พลันพูดและส่ายหน้าไปมา “คุณย่าคะ หนูรับไว้ไม่ได้ค่ะ”
คุณย่า เห็นว่าเธอปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการร้อนใจอะไร เพียงแค่เอ่ยปากสอบถามเบา ๆ “หนูรู้หรือเปล่า ว่านี่เป็นกำไลของใคร?”
ญาธิดาเดาไม่ออก พลางส่ายหน้าปฏิเสธ
หรือว่า นี่ไม่ใช่กำไลของคุณย่าเหรอ?
คุณย่าพูดอย่างไม่รีบร้อน แถมพูดเนิบนาบ “นี่เป็นของแม่ของตาวินเธอทิ้งเอาไว้ให้ เธอได้ย้ำนักย้ำหนา พูดว่าต้องให้ย่าเอาให้เมียของวินให้ได้ นี่เป็นกำไลเงินที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษของเธอ ที่ย่าเอาให้หนู เพื่อแสดงความหมายว่าย่ายอมรับในตัวหนู และแสดงความหมายว่าตระกูลสถิรานนท์ยอมรับหนูแล้ว”
เมื่อได้ยินว่าเธอเอ่ยถึงมารดาของภวินท์ขึ้นมากะทันหัน ญาธิดาตื่นเต้นทันที
เธอรู้มาจากปากของป้าจันทร์ว่าเรื่องมารดาของภวินท์เป็นหัวข้อต้องห้าม วันนี้เมื่อเห็นกำไลอันนี้ ยิ่งไม่รู้ว่าควรจะรับไว้ดีหรือไม่
ซึ่งจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นี่มันไม่ใช่กำไลที่แสนธรรมดาทั่วไป ความหมายที่ซ่อนอยู่ในนั้นหนักอึ้ง เธอไม่กล้ารับเอาไว้
แม้ว่าคุณย่าจะยอมรับในตัวเธอ ทางตระกูลสถิรานนท์ยอมรับเธอ เรื่องนี้มันจะยังไงเล่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เธอต้องได้รับการยอมรับจากภวินท์อย่างแท้จริง
คุณย่าเห็นว่าเธอไม่ยอมพูดยอมจา จึงเอ่ยปากถาม “ธิดายังคิดจะรับไว้ไหม?”
ญาธิดาดึงสติกลับมาได้ พลางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ พลางมองคุณย่าอย่างจริงจัง “คุณย่าคะ กำไลอันนี้ เกรงว่าหนูจะรับไว้ไม่ได้ค่ะ อย่างน้อย ตอนนี้หนูไม่สามารถรับไว้ได้ค่ะ”
“ทำไมล่ะ?” คุณย่าถึงกลับสมองเบลอ
“หนูเพิ่งจดทะเบียนกับได้ไม่นานเท่าไหร่ ช่วงนี้แม้ว่าจะอยู่ด้วยกัน แต่ความรู้สึกที่มีต่อกันนั้นก็ไม่ได้ลึกซึ้งมากค่ะ หนูคิดว่า รอวันที่พวกเราสองคนต่างยอมรับอีกฝ่ายแล้ว หนูค่อยมารับกำไลนี้ไว้ก็ยังไม่สายไปค่ะ”
เมื่อได้ยินเธอพูดออกมาเช่นนี้ นัยน์ตาคุณย่าปรากฏแววตาอันแปลกประหลาดออก ตอนสุดท้าย เธอยิ้มและส่ายหน้าไปมา พลันเก็บกระเป๋าผ้าสีแดงลงไป “สาวน้อยคนนี้ พูดตรงไปตรงมาและจริงใจ ดีเลย งั้นย่าจะรอถึงวันนั้นที่มาถึง”
แม้ว่าญาธิดาไม่ได้เก็บกำไลเอาไว้ ทว่าคุณย่ากลับมีความรักต่อเธอมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งสองคนต่างคุยกันอยู่นาน เมื่อผ่านไปสักพักถึงได้ค่อยๆ ลงมาจากชั้นบน
ห้องอาหารที่อยู่ชั้นล่าง เหล่าคนรับใช้ได้จัดเตรียมอาหารการกินไว้ครบครันเรียบร้อยแล้ว
ภวินท์เดินนำหน้า และคอยประคองคุณย่าอีกฝั่งหนึ่ง “คุณย่าครับ ได้เวลาทานข้าวแล้วครับ”
คุณย่าพยักหน้า พลางหันมาทางญาธิดา และพูดทันที “ไปนะธิดาพวกเราไปทานข้าวด้วยกันนะ”
ญาธิดายิ้มให้อย่างอ่อนหวาน “ค่ะคุณย่า”
ทั้งสามคนนั่งลงบนเก้าอี้ด้านหน้าโต๊ะทานข้าว ยังไม่ทันได้หยิบตะเกียบขึ้นมา พลางมีบ่าวคนหนึ่งเดินมาอยู่ด้านข้างคุณย่า และกระซิบเสียงทุ้มต่ำ “นายท่านคะ เขาบอกว่าขี้เกียจมาฟังเรื่องคุยกันเสียงดัง เลยไม่ยอมลงมาค่ะ ให้เอาอาหารขึ้นไปส่งข้างบนหนึ่งชุดก็พอแล้วค่ะ”
คุณย่าได้ยินแล้ว พลางพยักหน้าเล็กน้อย และไม่ได้พูดเรื่องอื่น
ญาธิดาที่อยู่ข้างเดียวกับคนรับใช้ได้ยินเต็มสองรูหู จนรู้สึกงงอยู่ในใจ
เมื่อได้ยินความหมายที่อยู่ในคำพูดของคนรับใช้ หรือว่าในบ้านยังมีคนอื่นอยู่อีกเหรอ? ทว่าเมื่อครู่เธอเดินเป็นเพื่อนกับคุณย่าวนดูแล้วหนึ่งรอบ แต่กลับไม่ได้ยินเธอเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา และก็ไม่ได้เห็นว่ามีคนอื่นอีก
ตอนที่เธอกำลังสงสัยและไม่เข้าใจอยู่นั้น และคิดหลายตลบก็ยังไม่เข้าใจ จู่ ๆ คุณย่าก็คีบซี่โครงหมูให้เธอชิ้นหนึ่ง “ธิดาลองชิมซี่โครงอันนี้สิ”
ญาธิดาตั้งสติกลับมา และยิ้มตอบรับ และไม่ได้คิดมากับเรื่องเมื่อครู่นี้แล้ว
เธอชิมซี่โครงหมูไปหนึ่งคำ ทันใดนั้นก็ทำตาแพรวพราวขึ้นมา น้ำซอสกลิ่นหอมซึมเข้าตัวซี่โครง ทั้งเด้งทั้งละลายในปาก รสชาติช่างไม่ได้คุยโม้โอ้อวดเลยทีเดียว!
“อร่อยมากเลยค่ะ คุณย่า!”
คุณย่าได้ยินแล้ว ถึงกลับหัวเราะร่า “พ่อครัวของตระกูลสถิรานนท์อยู่กับเรามาสิบกว่าปีแล้ว ฝีมือในการทำอาการเลิศรสไม่เป็นสองรองใคร ถ้าหนูชอบ ต่อไปก็มาหาย่าบ่อยๆ นะ”
ญาธิดาราวกับพยักหน้าอย่างโดยไม่คิดเลยด้วยซ้ำ “ตกลงค่ะ หนูจะมาบ่อยๆ!”
เธอพูดไป ก็จัดยัดซี่โครงที่เหลืออยู่เกินครึ่งใส่ปากทันที จู่ ๆ ก็รู้สึกมีสายตาหนึ่งกำลังมองเธออยู่ พอเธอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นภวินท์กำลังจ้องมองเธออยู่ นัยน์ตาปรากฏรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
ญาธิดาชะงักทันที อาการเคี้ยวอยู่จึงค้างเติ่งทันที “คุณ…มองฉันทำไมคะ?”
ภวินท์โดนเธอถามออกมาเช่นนี้ จนยิ้มหนักกว่าเดิม ราวกับจงใจกลั้นเอาไว้ด้วย “คุณชอบ ก็กินเยอะๆ นะครับ”
พูดไป เขาก็หยิบตะเกียบคีบผัดผักขึ้นมาชิ้นหนึ่ง และจัดการคีบใส่ปากด้วยท่าทางสง่างาม
ในการเอามาเปรียบเทียบกันเช่นนี้ ญาธิดาถึงกลับมีท่าทางตอบสนองกลับอย่างรุนแรง สายตาเปล่งประกายของผู้ชายที่อยู่ตรงข้าม แม้ว่าเขาจะใส่เสื้อผ้าชุดลำลองแค่ชุดเดียว หรือแม้ว่าเขาทำแสดงท่าทางที่แสนธรรมดาที่สุดออกมา แต่กลับเป็นความสง่างามอย่างอธิบายไม่ถูก
เมื่อเอาทั้งคู่มาเปรียบเทียบกัน ญาธิดากลับรู้สึกว่าตนเองดูหยาบกร้านจนไม่น่ามอง ถึงขนาดไม่กล้ากินเนื้อสัตว์อีกแล้ว จึงใช้ตะเกียบคีบผักขึ้นมา แถมยังแสดงท่าทางที่เชื่องช้ามาก
คุณย่าที่อยู่ด้านข้างมองพฤติกรรมของทั้งสองคนทุกสายตา และเกิดรอยยิ้มออกมาทางบริเวณดวงตาอย่างไม่รู้ตัว เธอกระแอมคอเล็กน้อย และคอยหนุนหลังให้หลานสะใภ้ “ธิดา ปกติเขาก็เต๊ะท่าแบบนี้อยู่ตลอดเวลา เวลากินก็เหมือนกินอาหารแมว กินน้อยแถมจืดชืด! พวกเราสองคนกินตามสะดวก ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอกน่า!”
เมื่อได้ยินคุณย่าพูดออกมาเช่นนี้ ญาธิดาอดกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ พลันเงยหน้ามองภวินท์ที่อยู่ตรงข้าม นัยน์ตาปรากฏรอยยิ้มการเยาะเย้ยออกออกมา
จากนั้น เธอจึงพยักหน้าให้กับคุณย่า และพูดตอบรับ “คุณย่าคะ หนูรู้แล้วค่ะ!”
พูดไป เธอก็คีบหมูแดงอบขึ้นมายัดใส่ปากชิ้นหนึ่ง แถมยังไม่ลืมโดยการทำท่าทางประสงค์ร้ายโดยจงใจคีบขึ้นมาชิ้นหนึ่งให้ภวินท์ด้วย “คุณก็ต้องกินเยอะๆ นะ!”
เมื่อเห็นท่าทางอันปัญญาอ่อนของหญิงสาว ภวินท์ถึงกลับโมโหทั้งหัวเราะไปพร้อมกัน ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ต่อหน้าคุณย่า จึงคีบขึ้นมากิน
ข้าวมื้อหนึ่ง เสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงที่อยู่บนโต๊ะมีมาไม่ขาดสาย โดยส่วนใหญ่คือคุณย่ากับญาธิดาร่วมมือแกล้งแหย่ภวินท์ แถมยังบีบบังคับให้เขากินข้าวมากกว่าทุกวันตั้งครึ่งถ้วย
เมื่อทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณย่าจูงญาธิดามาเดินเล่นในสนาม ทั้งเดินและพูดคุยไปพร้อมกัน ทว่าไม่นานนัก คุณย่าก็เริ่มง่วงเหงาหาวนอนแล้ว บ่าวรับใช้ที่คอยเดิมตามอยู่ด้านข้างเห็นภาพตามนั้น จึงเดินมาดักหน้าและอธิบายให้ญาธิดาฟัง “คุณญาธิดาคะ ปกติแล้วนายท่านชินกับการนอนกลางวันค่ะ”
ญาธิดาได้ยิน จึงเข้าใจทันที จึงช่วยคนรับใช้ในการเกลี้ยกล่อมคุณย่า และส่งเธอกลับไปห้องนอน หลังจากกล่อมให้เธอนอนหลับแล้ว ถึงได้ออกมาจากห้อง
เมื่อปิดประตูห้องนอนอย่างแผ่วเบาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ญาธิดาถึงได้ถอนหายใจโล่งอก เดิมเธอยังคิดว่าคุณย่าไม่ชอบเธอ ซึ่งในมองจากวันนี้แล้ว ราวกับเธอทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว
พลันฉุกคิดได้ว่าภวินท์ยังคุยโทรศัพท์ทำงานอยู่ที่ระเบียงตรงชั้นล่าง เธอรีบสาวเท้าเดินทันที ทว่าใครจะไปรู้ว่ายังเดินไปถึงทางลงบันไดด้วยซ้ำ ประตูห้องข้างห้องนอนก็เปิดออกทันที
ญาธิดาหยุดฝีเท้า และหันไปมองตามสัญชาตญาณ จึงมองเห็นเก้าอี้รถเข็นคันหนึ่งออกมาจากห้องนอน และนั่งมีผู้ชายนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น แถมหน้าตาดูคุ้นหูคุ้นตาอยู่บ้าง…
เธอหรี่ตาลง และมองเห็นผู้ชายคนนั้นคลี่ยิ้มให้เธอ วินาทีนั้น จู่ ๆ เธอก็เกิดนึกขึ้นได้ ผู้ชายคนนี้ที่เป็นคนเอาปากกาให้เธอที่เจอกันในห้องสรรพสินค้าในวันนั้น!
วินาทีต่อมา คำถามก็พุ่งมาอยู่ในหัวใจทันที แล้วทำไมเขาถึงได้มาอยู่ในตระกูลสถิรานนท์ได้ล่ะ?
“ญาธิดาเหรอ?”
ชายคนนั้นเริ่มขยับเก้าอี้รถเข็นอัตโนมัติเอง และเขยิบเข้าใกล้ญาธิดา และยังเรียกชื่อเธอเน้นอย่างชัดเจน
ญาธิดาตกใจทันที “ทะ…ทำไมคุณรู้จักชื่อฉันด้วยคะ?”
ชายคนนั้นยิ้มให้อย่างงดงาม “เมื่อครู่ได้ยินแม่บ้านพูด ว่าพี่สะใภ้ของผม แต่ ไม่คิดว่าจะเป็นคุณ”
“พี่สะใภ้เหรอ?”
ญาธิดาถึงกลับงงเป็นไก่ตาแตก พลางกะพริบตาปริบๆ ถึงได้ค่อยๆ ตั้งสติได้“คุณคือ…น้องชายของภวินท์งั้นเหรอ?”
ชายคนนั้นพยักหน้าเล็กน้อย รอยยิ้มที่อยู่ในดวงตายังคงไม่จางหาย และเอ่ยปากพูดอย่างมองโลกในแง่ดี “ครับ ผมชื่อภูผาครับ”