ดวงใจภวินท์ - บทที่ 376 คงจิตใจให้ผ่องใส
บทที่ 376 คงจิตใจให้ผ่องใส
“แม่ ผมอยากนั่งฮะ”
อีธานจับมือญาธิดาไว้ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ญาธิดาหายใจเข้าลึกๆ หันไปมองเอลล่า แล้วเอ่ยปากถาม “เอลล่า แล้วหนูล่ะ?”
เอลล่าพยักหน้าอย่างจริงจัง “หนูก็อยากนั่ง”
ในชั่วขณะหนึ่ง ในใจญาธิดาก็ค่อนข้างสับสน
พนักงานด้านข้างที่รอกดปุ่มเปิดเห็นเธอลังเลไม่ยอมขึ้นไป ก็เอ่ยปากถาม “จะขึ้นไหมคะ? จะเริ่มแล้วนะคะ”
ญาธิดากัดฟัน ในใจยังตัดสินใจไม่ได้
ถึงแม้เครื่องเล่นบันเทิงประเภทนี้จะมีเข็มขัดนิรภัย แต่เธอก็ยังกลัวผิดพลาด ถ้าดูแลเด็กได้คนเดียว เธอยอมไม่นั่งดีกว่า
พนักงานที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยเร่ง “จะขึ้นไหมคะ? เหลือหนึ่งนาทีแล้ว”
อีธานกับเอลล่ามองไปทางเธออย่างน่าสงสาร “แม่ เราขึ้นกันเถอะ……”
ญาธิดาหายใจเข้าลึกๆ หันไปมองพนักงาน “ไม่เป็นไรค่ะ เรารอรอบต่อไปดีกว่า”
รอรอบถัดไป พวกเขาจะเลือกที่นั่งตรงกลาง แบบนี้เธอจะได้นั่งตรงกลาง ดูแลพวกเขาสองคนได้
ความปลอดภัยของพวกเขาสองคน เป็นอยู่อันดับหนึ่งในใจเธอเสมอ
พนักงานถามอีกครั้ง “ไม่ขึ้นจริงเหรอคะ? งั้นฉันปิดประตูแล้วนะ”
ขณะที่พูด เธอก็จะปิดประตูเหล็กตรงทางเข้า
ในเวลานี้ ด้านข้างก็มีเสียงทรงพลังดังก้องของชายหนุ่มดังขึ้น “รอเดี๋ยว”
ญาธิดาตกตะลึง หันหน้ามองไปด้วยความประหลาดใจ ขณะที่เห็นภวินท์ เธอก็ยิ่งตกใจจนพูดไม่ออก “คุณ……”
เอลล่าดวงตาเป็นประกาย เรียกด้วยเสียงอ้อแอ้ “คุณอาสุดหล่อ!”
ภวินท์กระตุกมุมปาก โน้มตัวอุ้มเอลล่าขึ้นมา แล้วพูดกับพนักงานว่า “รอเดี๋ยวครับ เราจะนั่ง”
พนักงานเห็นใบหน้าเขา ดวงตาก็เปล่งประกาย พยักหน้าซ้ำๆ “ได้ค่ะ ได้ค่ะ”
ภวินท์อุ้มเอลล่าขึ้นไป แล้วหันไปมองอีธานข้างๆ แล้วเชิดคางให้เขา “ขึ้นมา”
อีธานเงยหน้ามองญาธิดา ลังเลเล็กน้อย
ญาธิดาใจอ่อน ยิ้มให้กับเขา “ขึ้นไปเถอะ”
ในเวลานี้ ถามภวินท์ว่ามาที่นี่ได้ยังไงต่อหน้าผู้คนจำนวนมากมันไม่ดีเท่าไรนัก มีเรื่องอะไรค่อยคุยหลังนั่งเรือโจรสลัดเสร็จดีกว่า
เธอจูงอีธานขึ้นเรือโจรสลัดไป รัดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยแล้ว พนักงานก็ปิดประตู กดปุ่มเริ่ม
เรือโจรสลัดค่อยๆเริ่มเคลื่อนไหว ญาธิดาจับมืออีธานไว้ มองเอลล่าที่อยู่อีกด้านด้วยความกังวล เมื่อเห็นภวินท์จับมือเอลล่าแน่นเธอก็สบายใจขึ้น
ไม่นานนัก เรือโจรสลัดก็แกว่งไปมา เด็กน้อยบนเรือเปล่งเสียงร้องกันใหญ่ ทุกครั้งที่เรือกระตุก หัวใจญาธิดาก็เครียดตาม
ทันใดนั้น ยอดเรือก็ขึ้นเนิน แล้วสไลด์ไปด้านหลังฉับพลัน ญาธิดารู้สึกถอยหลังด้วยภาวะไร้น้ำหนัก ก็ตื่นตระหนกทันที และก็กรีดร้องออกมา
เธอไม่คิดเลยว่า เรือโจรสลัดประเภทนี้จะตื่นเต้นหวาดเสียวมากขนาดนี้
ไม่นานนัก เรือก็มาถึงเนินอีกครั้ง ญาธิดาเกร็งตัว ไม่กล้าขยับไปไหน
ในเวลานี้ จู่ๆก็มีฝ่ามือใหญ่อันอบอุ่นจับที่ไหล่เธอ ราวกับมีพลังวิเศษที่มองไม่เห็น ทำให้ความกลัวในใจเธอสงบลงในพริบตาเดียว
หลังจากกลับไปกลับมาหลายรอบ เรือโจรสลัดก็หยุด พนักงานเปิดประตู กำชับให้ลูกค้าทุกท่านเข้าออกอย่างระมัดระวัง
ญาธิดาหายใจเข้าลึกๆ ลูบหน้าอก เพื่อบรรเทาความตึงเครียดของหัวใจ
เธอหันไปมองอีธานกับเอลล่าข้างกาย ถามอย่างกังวล “พวกลูกสองคนยังโอเคไหม?”
อีธานชูกำปั้นเล็กขึ้นอย่างตื่นเต้น “สุดยอดเลยครับ! ผมอยากเล่นอีกรอบ!”
“เอลล่าหนูล่ะ? กลัวไหม?”
“สนุกมากค่ะ! คุณอาสุดหล่ออยู่ข้างๆหนู หนูไม่กลัวสักนิด!”
ญาธิดาไม่คิดว่าเด็กน้อยทั้งสองจะกระปรี้กระเปร่าเช่นนี้ ทำให้พูดไม่ออกบอกไม่ถูกชั่วขณะหนึ่ง
ที่แท้ เธอก็คือคนที่ขี้ขลาดที่สุดนั่นเอง
เธอช้อนสายตาขึ้นโดยบังเอิญ เห็นภวินท์ข้างกายกำลังมองเธออยู่พอดี นัยน์ตายิ้มอย่างเลือนราง เหมือนกำลังหัวเราะเยาะที่เธอขี้ขลาด
ญาธิดาโกรธทันที รีบปลดเข็มขัดนิรภัยออก ยืนขึ้นมา “อีธาน เอลล่า! รีบลงมา พวกลูกจะไปนั่งชิงช้าสวรรค์ไม่ใช่เหรอ!”
พออีธานกับเอลล่าได้ยิน ก็ลุกขึ้นอย่างเชื่อฟังทันที
ลงมาจากกิจกรรมเรือโจรสลัด ก็มีร้านขายขนมสายไหมอยู่ข้างๆพอดี อีธานกับเอลล่าโวยวายอยากทาน เธอเข้าไปจ่ายเงินซื้อสองอัน เด็กน้อยก็ถูกดึงดูดด้วยกรรมวิธีขนมสายไหมของคนทำ ล้อมดูไม่ยอมไปไหน
ญาธิดาหันศีรษะไป เห็นภวินท์ตามหลังมา ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเอ่ยปากพูดอย่างสบายๆ “คุณภวินท์ จะว่าไปก็บังเอิญ ไม่คิดว่าเราจะมาเจอกันในที่แบบนี้”
ภวินท์ฝืนยิ้ม “ผู้ใหญ่ ก็ต้องคงความเด็กไว้ถึงจะดี”
ญาธิดาได้ยินแบบนี้ ก็ยิ้มเยาะอย่างอดไม่ได้ ไม่กี่วินาทีต่อมา เธอก็มองเขาอย่างระแวงอีกครั้ง พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ในเมื่อคุณภวินท์ก็มาเที่ยว งั้นฉันไม่รบกวนคุณแล้ว เรื่องเมื่อกี้ขอบคุณคุณมาก เราจะไปเล่นกิจกรรมอย่างอื่นต่อ”
ขณะที่พูด เธอก็จะเดินไปทางอีธานและเอลล่า
ใครจะไปรู้ว่าภวินท์จะก้าวเท้ามายืนขวางหน้าเธอ เลิกคิ้วหล่อเล็กน้อย “ญาธิดา เธอกลัวฉันขนาดนี้เลยเหรอ?”
ญาธิดาตะลึงเล็กน้อย ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็เห็นภวินท์ช้อนสายตาขึ้นมองไปทางอีธานกับเอลล่า พูดอย่างมีความหมายโดยนัย “หรือว่า เธอกลัวฉันเข้าใกล้พวกเขา?”
ประโยคนี้ของเขา ราวกับมีดเล่มหนึ่ง กำลังแทงหัวใจ
ใบหน้าญาธิดามีความลุกลี้ลุกลนอย่างรวดเร็ว รีบเอ่ยปากปฏิเสธ “ฉันไม่มีอะไรต้องกลัว!”
ภวินท์กระตุกมุมปากถามกลับ “แล้วทำไมเธอไม่ให้ฉันเข้าใกล้พวกเขา?”
ในขณะนี้ อีธานกับเอลล่าก็เดินถือขนมสายไหมกันมาคนละอัน ญาธิดายังไม่ทันได้เอ่ยปาก เอลล่าก็ดึงปลายเสื้อเธอ เงยหน้าถามขึ้น “จริงสิแม่ คุณอาสุดหล่อนิสัยดีขนาดนี้ ทำไมไม่พาเขาไปเที่ยวกับเราละค่ะ?”
ญาธิดาอ้าปาก ตอบไม่ออกในชั่วขณะหนึ่ง
บางครั้ง ทำอะไรชัดเจนเกินไป ก็จะกลายเป็นต้องการที่จะปกปิดแต่มันกลับยิ่งเด่นชัด
เธอหายใจเข้าลึกๆ เงยหน้าขึ้นมองภวินท์ แล้วหันไปมองอีธานเอลล่าอีกครั้ง เอ่ยปากถาม “พวกลูกทั้งหมดเห็นด้วยที่จะพาเขาไปด้วยไหม?”
เอลล่ายกมือเล็กขึ้นก่อน “หนูเห็นด้วย!”
อีธานยักไหล่ “ผมไม่มีปัญหา”
เมื่อเป็นแบบนี้ ญาธิดาก็ไม่มีเหตุผลในการปฏิเสธ “ก็ได้”
เห็นญาธิดาอ่อนข้อ เอลล่าก็ยิ้มดีใจ ดวงตาโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว “ดีจัง!”
คนกลุ่มหนึ่ง ออกมาจากร้านขนมสายไหม เดินตรงไปที่ชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่
มาถึงชิงช้าสวรรค์ ญาธิดาก็หยิบบัตรสายรุ้งออกมา พนักงานก็เชิญพวกเขาขึ้นไปทันที
กล่องชิงช้าสวรรค์ไม่ถือว่าเล็ก นั่งสี่คนได้เหลือเฟือ ภวินท์พาเอลล่านั่งข้างๆ ญาธิดาจึงต้องพาอีธานมานั่งอีกด้าน
ภายในกล่องชิงช้าสวรรค์มีเพลงด้วย มันเลื่อนขึ้นอย่างช้าๆ เห็นว่าห่างจากพื้นดินไกลขึ้นเรื่อยๆ อีธานกับเอลล่าก็มองไปนอกหน้าต่างอย่างตื่นเต้น
ไม่นานนัก พวกเขาก็ขึ้นมาถึงยอดบนสุด มองลงไปข้างล่างทั้งHappy Valleyอยู่ในสายตาทั้งหมด มันเลิศล้ำเกินคำบรรยาย
จู่ๆเอลล่าก็นึกถึงอะไรบางอย่าง “แม่ เรามาถ่ายรูปกันเถอะ!”
ญาธิดายิ้ม หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดกล้อง แล้วถ่ายรูปให้พวกเขาจำนวนไม่น้อย
ภวินท์ที่อยู่ข้างๆ เหมือนคนไร้ตัวตน ถูกละทิ้งไว้ข้างๆ เขากลับไม่โกรธ มองพวกเขาสามคนยิ้มแย้มเอะอะเสียงดัง มุมปากก็ยิ้มกว้างไม่หยุด
ทันในนั้น อีธานก็พูดขึ้น “จริงสิแม่ การบ้านของเรายังไม่ได้ทำเลย ทำยังไงดีครับ? ใกล้ถึงเวลาแล้วด้วย”
ญาธิดาตกตะลึง จู่ๆก็นึกถึงเรื่องการบ้าน
ธีทัตไม่อยู่ แล้วจะทำยังไงดีล่ะ?
ทันใดนั้น เอลล่าก็พูดขึ้นอย่างตื่นเต้น “พวกเราสี่คนถ่ายรูปด้วยกันหนึ่งใบ แล้วส่งคุณครูกันเถอะ!”