ดวงใจภวินท์ - บทที่ 384 ต้องการความจริง
บทที่ 384 ต้องการความจริง
พี่โอ๊ตเห็นญาธิดาไม่พูดอะไรก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ “เป็นอะไร หน้านิ่วคิ้วขมวดเชียว”
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดอย่างสบาย ๆ ว่า “ทำไมฉันรู้สึกเหมือนว่ามันจะไม่ราบรื่นขนาดนั้นล่ะ?”
ทันทีที่เธอพูดจบ พนักงานคนหนึ่งก็เดินผ่านเข้ามา “ธิดา พี่โอ๊ต หัวหน้าผู้กำกับบอกให้พวกเธอไปหาหน่อย”
เมื่อได้ยินดังนั้น ญาธิดาก็เริ่มเป็นกังวลขึ้นมาก่อนจะหันหน้าไปสบตากับพี่โอ๊ต ก่อนจะพยักหน้าให้พนักงานที่อยู่ข้าง ๆ “โอเค พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ทันทีที่เดินเข้าไปข้าง ๆ หัวหน้าผู้กำกับ ญาธิดาก็เหลือบเห็นว่าเขากำลังเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ดูภาพตัวอย่างของอีธานกับเอลล่าที่ถ่ายเอาไว้เมื่อครู่นี้
หัวหน้าผู้กำกับเงยหน้าขึ้นมองพวกเขาแล้วพูดว่า “นั่งลงก่อนทุกคนเลย”
เมื่อเห็นทั้งสองนั่งลงแล้วเขาก็ชะงักเล็กน้อย แล้วพูดต่อว่า “อันที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอก คือภาพตัวอย่างชุดนี้ ผมได้ส่งไปให้เจ้านายดูแล้ว ทางคุณภวินท์คิดว่ายังไม่ค่อยดีอย่างที่คิดไว้ เลยอยากให้ถ่ายใหม่ทั้งหมด”
เมื่อได้ยินดังนั้น ญาธิดาก็ขมวดคิ้วแน่นโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เป็นอย่างที่คิดเลย นี่สินะคือเหตุผลที่ทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
สีหน้าของพี่โอ๊ตก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน ก่อนจะเอ่ยปากถามว่า “มีปัญหาตรงไหนเหรอครับ”
“ทางคุณภวินท์บอกว่าfeelingมันยังไม่ได้”
สีหน้าของพี่โอ๊ตเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย “feeling? เขาอยากได้feelingแบบไหน”
การถ่ายทำภาพตัวอย่างในช่วงสองวันที่ผ่านมาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย บางครั้งอีธานกับเอลล่าต้องอดทนอยู่ใต้แสงแดดจ้า แถมยังต้องอาศัยความร่วมมือจากพวกสัตว์ป่าอีกด้วย ภาพตัวอย่างนี้ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากความพยายามร่วมกันของทุกคนแล้ว มาตอนนี้เจ้านายข้างบนกลับบอกว่าfeelingมันไม่ได้ ซึ่งย่อมทำให้คนอื่นโมโหเป็นธรรมดา
สีหน้าของพี่โอ๊ตก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน ก่อนจะเอ่ยปากถามว่า “มีปัญหาตรงไหนเหรอครับ”
หัวหน้าผู้กำกับยิ้มแหย ๆ พลางพูดว่า “เรื่องนี้ในสัญญาพวกเราก็ระบุเอาไว้แล้ว ว่าถ้าหากผู้ว่าจ้างมีความต้องการหรือไม่พอใจ ผู้รับจ้างจำเป็นต้องให้ความร่วมมือในการแก้ไขและปรับเปลี่ยน”
พี่โอ๊ตขมวดคิ้วแน่น อยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าญาธิดารีบหันมองเขา พลางส่ายหน้าให้เขาไปมา ก่อนจะหันกลับไปมองหัวหน้าผู้กำกับ แล้วพูดว่า “ฉันอยากรู้ว่าคุณภวินท์อยากได้feelingแบบไหน”
หัวหน้าผู้กำกับพูดย้ำทีละคำ “การผสมผสานระหว่างความดุร้ายและความไร้เดียงสา ความกลมกลืนระหว่างตัวละครและสัตว์คือสิ่งสำคัญที่สุด”
ญาธิดานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “แผนการถ่ายทำคงต้องปรับใหม่เสียหน่อย พวกเราถ่ายเพิ่มอีกนิดเถอะ จะได้ให้คุณภวินท์ดูผลลัพธ์อีกที”
“โอเค ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มงานกันเถอะ”
ตลอดทั้งวัน แผนการถ่ายทำเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายครั้ง จนท้ายที่สุดก็ถ่ายภาพออกมาอีกสองชุดที่ดูค่อนข้างแตกต่างกันพอสมควร โดยมีหัวหน้าผู้กำกับเป็นคนส่งให้ภวินท์
หลังจากเลิกงาน คืนนั้นขณะที่ญาธิดาเพิ่งจะกลับถึงบ้าน และกล่อมเด็กทั้งสองคนเข้านอนไปไม่นาน พอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก็เห็นข้อความที่ถูกส่งมาจากหัวหน้าผู้กำกับว่า “คุณภวินท์ตอบกลับมาแล้ว บอกว่ายังรู้สึกไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ เลยให้ถ่ายทำต่อไป”
ทันทีที่เห็นประโยคนี้ ญาธิดาก็ระเบิดลงทันที
ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ถ่ายทำกันไปกว่าสามชุด แต่ก็ถูกภวินท์ปฏิเสธกลับมาทุกครั้ง โดยพูดแค่ว่า “feelingมันไม่ได้ ”แค่ประโยคเดียว ซึ่งมันน่าโมโหมาก ๆ
คิดอีกแง่หนึ่ง ภาพตัวอย่างที่พวกเขาถ่ายไปบางทีอาจจะไม่ใช่ว่าใช้ไม่ได้ แต่เป็นเพราะภวินท์จงใจหาเรื่องมากกว่า!
เมื่อคิดได้แบบนั้น ญาธิดาก็ยิ่งโมโหจนกัดฟันเข้าหากันแน่น แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความไปให้ภวินท์ทันที “คุณไม่พอใจอะไรฉันทำไมไม่พูดกันตรงๆ ล่ะ ทำแบบนี้สนุกนักหรือไง”
หลังจากส่งข้อความเสร็จ เธอก็โยนโทรศัพท์ออกไปอีกทาง ไม่อยากแม้แต่จะมองมันอีกเลย
วันรุ่งขึ้น ตะวันโด่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ญาธิดาปลุกอีธานกับเอลล่าให้ลุกจากที่นอน หลังจากให้พวกเขาทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยก็เตรียมตัวจะพาพวกเขาไปที่ซาฟารีปาร์คเพื่อถ่ายทำต่อในวันนี้
แม้ว่าภาพตัวอย่างจะถูกภวินท์ปฏิเสธไปหลายครั้ง แต่งานที่ต้องทำเธอจะขาดไม่ได้เด็ดขาด
และเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง เธอถึงขนาดเอารถที่ดร.ยติภัทรเอาไว้ขับออกไปจ่ายตลาดคันนั้นออกมาขับแทน ทันทีที่รถแล่นออกจากมา เธอก็เหลือบเห็นมายบัคสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ไม่ไกล
รถหรูราคาแพงแบบนั้น แค่มองปราดเดียวเธอก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นของใคร
เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ เดิมทีเธออยากจะเหยียบคันเร่งขับตรงออกไปเลย แต่ใครจะรู้ว่าจู่ ๆ รถคันนั้นจะกระพริบไฟใส่เธอ ก่อนที่ประตูรถจะเปิดออก ตามด้วยขาเรียวยาวของภินท์ที่ก้าวลงมาจากรถ
อีธานกับเอลล่ากำลังเกาะอยู่ขอบหน้าต่างมองออกไปด้านนอก ทันทีที่เห็นภวินท์ เอลล่าก็เอ่ยปากร้องทักเขาทันที “คุณอาสุดหล่อ!”
อีธานเองก็ตื่นเต้นเล็กน้อยเหมือนกัน “แม่ครับ ทำไมคุณอาถึงมาอยู่ที่นี่”
ญาธิดาสีหน้าอึมครึม บนใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ยิ่งเห็นภวินท์โบกมือให้เอลล่าแบบนั้น เธอยิ่งรู้สึกหงุดหงิด
คนที่จงใจทำให้เด็ก ๆ ต้องลำบากคือเขา แล้วคนที่เสแสร้งทำตัวเป็นคนดีในตอนนี้ก็คือเขา!
เธอตัดสินใจเด็กขาด ไม่มีท่าทีว่าจะลดความเร็วรถลงเลยสักนิด เดิมทีก็อยากจะขับตรงผ่านไปจากข้างถนน แต่ใครจะรู้ว่าจู่ ๆ ภวินท์จะเดินออกมากลางถนน
ทั้ง ๆ ที่เห็นว่ารถกำลังแล่นเข้าไปหาเขา แต่เขากลับไม่มีท่าทีตื่นตระหนกเลยสักนิด แถมไม่หลบอีกต่างหาก
ญาธิดาตกใจ ก่อนจะรีบเหยียบเบรกรถทันที
รถหยุดลงอย่างกะทันหัน เด็กทั้งสองคนที่นั่งอยู่แถวหลังต่างพากันกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ
ญาธิดาเงยหน้าขึ้น ความโกรธในใจปะทุอย่างรุนแรง
ตอนนี้เธอไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าภวินท์ต้องการทำอะไรกันแน่!
เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ กัดฟันแน่นก่อนจะหันไปกำชับอีธานกับเอลล่าที่นั่งอยู่แถวหลัง “เด็ก ๆ ไม่ต้องลงไปนะ นั่งรอแม่อยู่ในรถ”
พูดจบ เธอก็ปลดเข็มขัดนิรภัย ผลักประตู แล้วลงจากรถทันที
ภวินท์ที่ยืนอยู่ข้างหน้าก็ดูเหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าเธอจะลงมาจากรถ พอเห็นท่าทางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟของเธอ เขาก็เลิกคิ้วขึ้นพลางเอ่ยถามด้วยเสียงนิ่ง ๆ “ใครทำเธอโมโหมาแต่เช้าเหรอ?”
เพียงประโยคเดียวก็ทำให้ความโกรธของญาธิดาพุ่งกระฉูดทันที “คุณคิดว่าใครล่ะ ภวินท์ ทำแบบนี้สนุกมากเหรอ เรื่องภาพตัวอย่างนายจงใจทำแบบนั้นไม่ใช่หรือไง”
ได้ยินดังนั้น ภวินท์ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่แค่เล็กน้อยเท่านั้น
เรื่องภาพตัวอย่างมันออกมาจากความเห็นแก่ตัวของเขาก็จริง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็อยากได้งานที่มีคุณภาพมากกว่านี้ เลยได้แค่บีบบังคับเธอ เธอถึงจะยอมแสดงความสามารถที่แท้จริงของตัวเองออกมา
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มยิ้มแต่กลับไม่พูดอะไร ญาธิดาก็ยิ่งอึดอัด เธอกัดฟันแน่น และพูดด้วยนัยน์ตาแข็งกร้าว “ภวินท์ นายต้องการอะไรกันแน่!”
ได้ฟังดังนั้น ภวินท์ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าเริ่มจริงจังขึ้น แล้วพูดว่า “ฉันต้องการความจริง”
ญาธิดาขมวดคิ้ว “ความจริงอะไร”
ทันทีที่เธอพูดจบ ผู้ชายตรงหน้าก็ก้าวเข้ามาหาเธออย่างกะทันหัน บีบตัวเข้าไปใกล้เธออีก
ร่างสูงโปร่งของเขา พอก้มศีรษะลง เงาของเขาก็สามารถปกคลุดร่างเล็ก ๆ ของญาธิดาเอาไว้จนมิด
ท่าทีของญาธิดาเริ่มอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว
ภวินท์ขมวดคิ้วเล็กน้อย นัยน์ตาเคร่งขรึม “ฉันอยากรู้ว่าเธอกับธีทัตมีความสัมพันธ์อะไรกันแน่”
ญาธิดาสูดลมหายใจ แกล้งทำเป็นใจเย็น แล้วตอบว่า “ยังต้องถามอีกเหรอ พวกเราเป็นสามีภรรยากันไง”
เมื่อได้ยินดังนั้น ภวินท์ก็แค่นหัวเราะออกมา “จริงเหรอ”
ชายหนุ่มโน้มตัวเข้ามาใกล้ “ในเมื่อเป็นสามีภรรยากัน แล้วทำไมต้องนอนแยกห้องกันด้วย”
ประโยคนี้ราวกับสายฟ้าฟาด “เปรี้ยง” ในใจของเธอ ทำเอาหัวสมองของญาธิดาว่างเปล่า เธอได้แต่อ้าปากแต่พูดอะไรไม่ออก
ไม่นาน เธอก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับความตื่นตระหนกเล็กน้อยบนใบหน้าของเธอ “คุณ…พูดเหลวไหลอะไรเนี่ย”
นัยน์ตาของภวินท์เย็นชาลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดย้ำทีละคำว่า “เอลล่าเป็นคนบอกกับฉันเอง แบบนี้ยังจะบอกว่าเหลวไหลอีกเหรอ”
ญาธิดาได้ยินดังนั้นก็อึ้งไปครู่หนึ่ง จนพูดอะไรไม่ออก
ตอนที่เธออยู่อเมริกา เธอกับธีทัตแยกห้องกันนอนจริง ๆ แต่เธอคิดไม่ถึงว่าเอลล่าจะบอกเรื่องพวกนี้กับภวินท์!