ดวงใจภวินท์ - บทที่ 391 เป็นผู้จัดการของเขา
บทที่ 391 เป็นผู้จัดการของเขา
คิรินเชิดปลายคางขึ้น จนมีรอยยิ้มกว้างอยู่บนใบหน้า ส่งเสียงพึมพำ “แหงแหละ? คุณนึกว่าใครเหรอครับ?”
ญาธิดาตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นสักพัก เธอหันหัวเหลือบมองรถยนต์ของตนเองที่อยู่นอกหน้าต่าง ในหัวสมองกลับฉายความสงสัยขึ้นมา
เธอไม่เชื่อว่าพวกเขาจะมีพรหมลิขิตได้ขนาดนี้ อยู่ใกล้แค่เอื้อมก็ยังไม่เจอหน้า แต่กลับมาเจอหน้ากันในตรอกซอกซอยแคบๆ เนี่ยนะ
“รถยนต์เมื่อกี้นี้…”
คิรินได้ยิน จึงยิ้มให้ จนนัยน์ตาฉายความเจ้าเล่ห์ พร้อมทั้งขยิบตาให้เธอ “วางใจเถอะ ผมไม่ต้องการให้คุณชดใช้เงินคืนหรอกน่า!”
เขาพูด และหันหัวกลับ มองไปที่บอดี้การ์ดที่ยืนอยู่นอกประตูรถ สั่งว่า “คุณขับรถยนต์ของเธอส่งไปซ่อมรอยขีดข่วนที่ร้าน 4s ที”
พอบอดี้การ์ดได้ยิน จึงพยักหน้ารับทราบทันที พลางเอื้อมมือออกไปดึงบานประตูปิดลง
ถัดจากนั้น คนขับรถที่นั่งอยู่ด้านหน้าคล้ายกับได้รับคำสั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงสตาร์ทรถยนต์ เคลื่อนรถยนต์มุ่งหน้าออกไปทางด้านหน้าทันที
ญาธิดาคาดไม่ถึงเลย เธอหันไปมองคิริน และถามด้วยความรู้สึกงุนงง “นี่คุณกำลังพาฉันไปไหน?”
“ไม่ได้เจอหน้ากันตั้งหลายปีแล้ว ย่อมระลึกความหลังสักหน่อย”
คิรินยกมุมปากยิ้มให้เธอ นัยน์ตาปรากฏความรู้สึกอันคลุมเครือไม่ชัดเจน
ไม่รู้เพราะว่าเหตุใด นอกจากญาธิดาจะรู้สึกหวั่นวิตกที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว เวลาที่ห่างมาตั้งห้าปี ไม่คิดเลยว่าคนอย่างคิรินระดับนี้ยังจดจำเธอได้
เมื่อเห็นว่ารถยนต์ขับเคลื่อนไปทางด้านหน้าอย่างรวดเร็ว หัวใจญาธิดาตื่นตระหนกขึ้นมาบ้าง “คิริน นี่คุณบ้าหรือเปล่า ถ้าบรรดาแฟนคลับคุณเห็นเข้า พวกเขาจะฉีกฉันเป็นชิ้นๆ มั้ยเนี่ย?”
คิรินกลับไม่ได้รู้สึกอะไรเลย หันไปยิ้มให้เธอ “วางใจเถอะ ผมจะพาคุณไปที่สงบๆเลย ”
เมื่อญาธิดาเหลือบมองลักษณะท่าทางเช่นนี้ตามคำที่เขาพูดออกมา ญาธิดาตัวสั่นขึ้น จนบริเวณแขนขนลุก
คำพูดคำนี้ ทำไมเธอฟังดูแล้วถึงได้รู้สึกคิดไม่ซื่อแบบนั้นนะ?
ไม่นานนัก รถยนต์ขับออกจากตรอก และเคลื่อนตัวทะยานเข้าสู่ทางหลัก ญาธิดารู้ดีว่าถ้าเธอตอนนี้ร้องไห้โวยวายต้องการลงจากรถมันก็สายเกินไปแล้ว หลังจากปรับอารมณ์ได้แล้ว จึงค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลงได้
คิรินที่อยู่ด้านข้างเห็นสภาพนั้นแล้ว แต่รู้สึกแปลกประหลาดอยู่บ้าง เขาเอนตัวพิงเบาะหลัง จับจ้องมองใบหน้าด้านข้างอันงดงามของหญิงสาว และหรี่ตาลงเล็กน้อย “หลายปีที่ผ่านมา คุณเปลี่ยนไปไม่น้อยเลยนะครับ”
เมื่อเปรียบเทียบกับสาวน้อยที่ดื้อรั้นคนก่อน ซึ่งญาธิดาในตอนนี้ ช่างสง่างามและภูมิฐานมากขึ้น มีความเป็นผู้หญิงเต็มตัวมากขึ้น
ญาธิดาหันหัว ก็เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ใช้น้ำเสียงตามปกติในการตอบกลับ “คุณก็เหมือนกันนะ”
คิรินเคยเป็นชายหนุ่มรูปหล่อและดังอย่างไร้ที่ติมาก่อน แค่ใบหน้าหล่อๆก็สามารถดึงดูดสาวน้อยนับหมื่นนับพัน ซึ่งในเวลานี้เขากลายเป็นนักแสดงทรงพลังที่ประสบผลสำเร็จ แม้ว่าสไตล์จะเปลี่ยนไป แต่หน้าตาของเขา กลับไม่มีร่องรอยของอายุที่เพิ่มขึ้นตามกาลเวลาสักนิด
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จู่ๆ ก็เขยิบเข้ามาเรื่อยๆ มองแก้มของชายหนุ่ม จนอดออกปากถามไม่ได้ “วันนี้คุณใช้ครีมรองพื้นยี่ห้ออะไรคะ? ดูผิวดีมากๆ เลย”
ผิวพรรณผุดผ่องเนียนละเอียด ดูดีกว่าผู้หญิงส่วนใหญ่เสียอีก
พอคิรินได้ยิน ดวงตาฉายความภาคภูมิใจขึ้นมาเล็กน้อย พลันยกมุมปากและเอ่ยขึ้น “นี่มันเป็นผิวที่ติดตัวผมมาตั้งแต่เกิดเลยนะครับ”
จังหวะที่เห็นญาธิดากลอกตามองบนนั้น เขาทั้งยิ้มและพูดสบทบอีกประโยค “แน่นอนว่า ก็ต้องดูแลบำรุงตามปกติ และย่อมไปบำรุงผิวพรรณที่ศูนย์ความงามอยู่บ่อยครั้ง ถ้าคุณอยากรู้ว่าร้านไหน ก็พูดชมผมหน่อยสิ เดี๋ยวครั้งหน้าผมจะพาคุณไปด้วยกัน”
ญาธิดาแสยะยิ้ม พลางตอบปัดทันที “ช่างเถอะ”
ถ้าเธอชมเขาต่อ เกรงว่าคิรินคงจะลอยขึ้นฟ้าแล้วมั้ง
ทั้งสองคนพูดคุยต่อปากต่อคำไม่หยุด ตลอดทาง ภายในตัวรถไม่มีความเงียบงันเลย
ไม่นานนัก รถยนต์ก็มาถึงถนนเปลี่ยวเส้นหนึ่ง และจอดอยู่ด้านหน้าตึกเล็กๆ มีขนาดสามชั้นสีเทาปนสีฟ้าหลังหนึ่ง ป้ายประตูที่อยู่เหนือมีลักษณะสไตล์แบบค่อนข้างโบราณคร่ำครึ แถมยังทาด้วยขอบทอง สไตล์หรูหราวิจิตรบรรจง
ญาธิดาไม่คิดเลยว่าสถานที่เปลี่ยวขนาดนี้จะมีภัตตาคารที่สวยวิจิตรขนาดนี้ด้วย เธอเปิดประตูและลงจากรถ ยังไม่ทันได้ตั้งสติก็ถูกคิรินที่อยู่ด้านข้างคว้าเสื้อ ดึงเธอเดินเข้าไปด้านใน
เมื่อเดินเข้าไป การตกแต่งภายในยิ่งวิจิตรบรรจงมากขึ้น ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเดินมุ่งหน้าไปยังห้องรับรองที่อยู่ชั้นสามพร้อมกับคิริน โดยเดินผ่านฉากกั้น เดินไปนั่งลงยังโต๊ะที่อยู่ด้านหลัง
การตกแต่งทุกอย่างมีสไตล์มาก สามารถมองเห็นสไตล์ของเจ้าของร้านได้อย่างชัดเจน
ซึ่งไม่นานนัก ก็มีบริกรเดินยกกาน้ำชาเข้ามาเสิร์ฟ วางลงบนโต๊ะและพูดเสียงเบาว่า “นี่เป็นใบชาใหม่ของปีนี้ เจ้าของร้านตั้งใจเก็บเอาไว้ให้คุณโดยเฉพาะครับ”
คิรินยิ้มให้เขา “ขอบใจนะ”
ไม่นานนัก บริกรก็ถอยออกไป ภายในห้องเหลือแค่พวกเขาสองคน
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางช้อนตามองผู้ชายที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เอ่ยปากพูดด้วยท่าทางจริงจัง “คุณมาหาฉัน มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”
คิรินยักไหล่ขึ้น พร้อมทั้งพูดไปเรื่อย “คุณยังกล้าพูดอีกนะ ส่งดอกไม้ไปให้คุณก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่ง ผมรออยู่ตั้งหลายวันก็ไม่เห็นคุณติดต่อผม จนผมหมดปัญญาแล้ว เลยต้องถ่อออกมาหาคุณเองนี่แหละ”
มือเล็กๆ ทั้งสองข้างของญาธิดากำหมัดแน่น พร้อมทั้งซักถามต่อทันที “แล้วทำไมคุณต้องมาหาฉันด้วย เราสองคนก็ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย อีกอย่างทำไมคุณถึงรู้ว่าฉันอยู่ที่ไหน?”
อย่างมากที่สุดเธอเคยเป็นผู้ช่วยตำแหน่งเล็กๆ ที่เคยข่มขู่เขาเมื่อห้าปีก่อนเท่านั้น แล้วทำไมเขาถึงได้ให้ความสนใจกับเธอมากถึงเพียงนี้?
นัยน์ตาคิรินหม่นหมองลง ดวงตาดำขลับ ทว่ากลับเปล่งประกายขึ้นมา เขานั่งเล่นถ้วยชาที่อยู่ในมือ หลังจากชะงักไปชั่วครู่ถึงได้พูดทันที “ก็เพราะว่าคุณเป็นผู้หญิงคนเดียวที่กล้าข่มขู่ผมคิรินนะสิ”
ญาธิดาได้ยินแล้ว ถึงกลับตะลึงพรึงเพริดในทันที
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เขาก็พูดต่อ “ผมคิดว่าคุณเป็นเพื่อนของผมจริงๆ แล้วนะสิ”
นัยน์ตาเขาหม่นหมองลงเยอะ สีหน้าก็ไร้รอยยิ้มที่ดูไม่เป็นผู้เป็นคนในวันปกติทั่วไป คล้ายว่าเป็นการพูดจริงจัง
หัวใจญาธิดาบีบรัดแน่นขึ้นเยอะ และก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี
จู่ๆ เธอก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ พลางเงยหน้าชะเง้อมองเขา พร้อมทั้งถามกลับ “ดังนั้นตอนนั้นคุณเลยละเมิดสัญญาเหรอ?”
เรื่องละเมิดสัญญาของคิรินเธอเดินทางมายังสหรัฐอเมริกาหลายเดือนถึงจะรู้ เมื่อได้ยินข่าวพูดว่าคิรินกับภวินท์ไม่ค่อยถูกกัน ดังนั้นเลยละเมิดสัญญา แต่ตอนหลังเธอได้ยินธีทัตพูดว่าสาเหตุมาจากเธอ เธอเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และก็ไม่ได้คิดว่าเป็นความจริง
แต่ตอนนี้ เธอกลับเชื่อบ้างแล้ว
เรื่องละเมิดสัญญาของคิรินเธอเดินทางมายังสหรัฐอเมริกาหลายเดือนถึงจะรู้ เมื่อได้ยินข่าวพูดว่าคิรินกับภวินท์ไม่ค่อยถูกกัน ดังนั้นเลยละเมิดสัญญา แต่ตอนหลังเธอได้ยินธีทัตพูดว่าสาเหตุมาจากเธอ เธอเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และก็ไม่ได้คิดว่าเป็นความจริง
“คุณทำเพื่อฉันจริงๆ เหรอคะ?”
คิรินตะลึงสักพัก พร้อมทั้งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบเฉย “เพื่อคุณ และก็เพื่อแพรวาด้วย”
หัวใจญาธิดาหวั่นไหวเล็กน้อย
แม้ว่าลักษณะคิรินดูผิวเผินจะไม่สนใจสิ่งใด แต่ความจริงแล้วเขารักเดียวใจเดียวกว่าใครๆ อย่างน้อยเขาก็ปฏิบัติตัวเช่นนี้ กับแพรวาเสมอ
เธอยิ้มให้ พลางกระซิบพูด “แล้วทำไมตอนนั้นคุณไม่ยอมรับ”
คิรินยิ้มให้อย่างเบื่อหน่าย “ตอนนั้นคือตอนนั้น ส่วนตอนนี้นะเหรอ ปล่อยๆ ไปเถอะ”
ทั้งสองคนสบตาและยิ้มให้กัน จู่ๆ เรื่องบางอย่างที่ขวางกั้นระหว่างพวกเขาสองคนก็ค่อยๆ ละลายหายไปเรื่อย พอกลับมาพูดคุยกันอีกครั้ง จึงกลายเป็นความรู้สึกเหมือนเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอหน้าค่าตากันมาหลายปีจริงๆ
ทั้งสองคนพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกัน จู่ๆ คิรินก็เปลี่ยนเรื่อง พร้อมทั้งพูดอย่างเป็นทางการ “ความจริงแล้ว ครั้งนี้ที่ผมมาหาคุณ ก็มีเรื่องอื่นที่ต้องการจะพูดกับคุณด้วย”
“หือ? เรื่องอะไรคะ?”
คิรินเชิดปลายคางยิ้มให้เธอ ดวงตาเปล่งประกาย “ผมเคยดูผลงานของคุณ และก็รู้ว่าคุณเคยได้รับรางวัลมาก่อน ตอนนั้นก็ตั้งใจให้บริษัทคอยหาร่องรอยของคุณ ใครจะรู้ว่ากลับถูกคุณปฏิเสธทันที คุณไม่เคยคิดต้องการจะลองอย่างอื่นบ้างเหรอ?”
ญาธิดาได้ยิน จู่ๆ ถึงฉุกคิดได้ว่าพี่โอ๊ตตอนนั้นมีบริษัทหนึ่งได้ต้องการเซ็นสัญญากับเธอ ที่แท้ เรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับคิรินนี่เอง
เธอเลิกคิ้วขึ้น “งานอื่นที่ว่าคืออะไรเหรอคะ?”
คิรินยิ้มพร้อมทั้งพูด “ผมรู้สึกว่า คุณลองเปลี่ยนสไตล์ดูมั้ย เช่นเป็นผู้จัดการของผมประมาณนี้”
“ผู้จัดการ?”
“ครับ พี่เอสุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงแล้ว ได้ออกจากวงการเมื่อสองเดือนก่อนแล้ว ตอนนี้ข้างกายผม ขาดผู้จัดการอยู่คนหนึ่งอยู่พอดี ผมก็เลยนึกถึงคุณก่อนเป็นอันดับแรก ดังนั้นผมก็เลยให้คนไปตรวจสอบร่องรอยของคุณครับ”
คิรินพูด จู่ๆ ก็ยกยิ้วให้อย่างตื่นเต้น “ไม่คิดเลยว่าคุณเพิ่งกลับมาถึงเมืองJเมื่อไม่นานมานี้เอง นี่ช่างบังเอิญจริงๆ!”