ดวงใจภวินท์ - บทที่ 397 ภาวะป่วยทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรง
บทที่ 397 ภาวะป่วยทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรง
เมื่อออกมาจากสวนซาฟารีแล้ว จึงมุ่งหน้าไปยังถนนเส้นไปโรงพยาบาลทันที ญาธิดานั่งอยู่ฝั่งข้างคนขับรถ และไม่พูดไม่จามาตลอดทาง
ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในระยะนี้ราวกับภาพยนตร์ที่มันฉายอยู่ในหัวสมองของเธออยู่เช่นนั้น
ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ เธอฉุกคิดถึงวันนั้นที่นิวรามาหาพร้อมทั้งพูดคำพูดเหล่านั้นกับเธอ ในเวลานั้น นิวราได้ตักเตือนเธอซึ่งมันมีความหมายอึมครึมไม่แน่ชัด และในวันนี้เอลล่าเกิดเรื่องขึ้นผู้ชายที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยมีลักษณะละม้ายคล้ายชยิน เรื่องนี้ทำให้เธอจำต้องเชื่อมโยงเข้าหากันอย่างไม่หยุดหย่อน
“ธิดา…”
เสียงอันสุขุมอ่อนโยนของชายหนุ่มกระซิบดังมาทางด้านข้าง ญาธิดาถึงค่อยๆ ดึงสติกลับมาได้ พร้อมทั้งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเริ่มหันศีรษะไปมองธีทัตทางด้านข้างด้วยความรู้สึกมึนงง
สีหน้าธีทัตฉายอาการเป็นห่วงจนไม่สามารถอดกลั้นออกมา จนเริ่มขยับริมฝีปาก ขณะขับรถก็ยังคอยพูดเกลี้ยกล่อมอย่างแผ่วเบา “วางใจเถอะ เอลล่าไม่เป็นไรหรอก”
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าญาธิดาก็ไร้การเคลื่อนไหวแต่อย่างใด เธอชัดเจนที่สุดแล้ว การทำเช่นนี้ ก็เป็นเพียงคำพูดปลอบโยนเท่านั้นเอง ซึ่งก็ไม่ได้เกิดผลประโยชน์ที่เป็นจริงได้แต่อย่างใด
ตอนที่เธอไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอย่างไรดีนั้น บลูธูทที่ตั้งค่าไว้ในรถก็ดังขึ้น อัญมณีโทรศัพท์เข้ามาหา
ธีทัตกดรับสายทันควัน อย่างไม่รีรอ “ฮัลโหล? เอลล่าเป็นยังไงบ้างคะ?”
ซึ่งเป็นเสียงของอัญมณีที่แสดงความวิตกกังวลออกมาทางนั้น “เอลล่าฟื้นแล้ว แต่ว่าอาการไม่ค่อยสู้ดีสักเท่าไหร่”
ญาธิดาที่นั่งอยู่ทางด้านข้างเมื่อได้ยินเข้า สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที พร้อมทั้งนั่งหลังตรงทันควัน และเริ่มซักไซ้ถามทันที “เธอ…เธอเป็นอะไร?”
อัญมณีที่อยู่ทางนั้นเกิดอาการลังเลอยู่ในขณะนั้น พร้อมทั้งพูดอย่างแผ่วเบา “ฉันก็พูดได้ไม่เต็มปาก ยังไงพวกคุณก็รีบกลับมาดูสักหน่อยเถอะนะ”
เมื่อได้ยินอัญมณีพูดออกมาเช่นนี้ หัวใจของญาธิดาก็บีบรัดเพิ่มมากขึ้นทันที เธอกำมือทั้งสองข้างไว้แน่น ซึ่งมีอาการร้อนรนจนหมดความอดทน ราวกับมดที่วิ่งพล่านอยู่บนปากหม้อร้อนๆ เช่นนั้น
ธีทัตเหยียบคันเร่ง เพื่อเพิ่มความเร็ว สักพัก รถยนต์ก็มาถึงประตูของโรงพยาบาล รถยังไม่ทันได้จอดสนิท ญาธิดาก็ผลักประตูออกและลงจากรถ จนวิ่งเหยาะๆ พุ่งตัวเข้ามาในโรงพยาบาลทันที
เธอวิ่งหอบแฮกมาอยู่หน้าประตูห้องพักผู้ป่วย เมื่อผลักประตูเข้าไป ก็เห็นอัญมณียืนอยู่ตรงประตูด้วยสีหน้าลำบากใจ
“ธิดา ในที่สุดแกก็กลับมาแล้ว!”
เมื่อเห็นว่าญาธิดาเข้ามาแล้ว อัญมณีราวกับมองเห็นคนที่ทำให้เธอหลุดพ้นจากความทุกข์ระทมแล้ว
“มีอะไรเหรอ?” ญาธิดาเลิกคิ้วขึ้น พร้อมทั้งแหงนหน้ามาทางเตียงนอน จึงค้นพบว่าผ้าห่มที่อยู่บนเตียงกลับนูนขึ้นมาเป็นก้อนกลมๆอีธานพาดตัวกับเตียงเพื่อคอยเฝ้าอยู่ข้างเตียง
อัญมณีเริ่มขยับริมฝีปากพูด หลังจากลังเลอยู่สักพัก พร้อมทั้งเอื้อมมือออกไปดึงญาธิดาออกมานอกห้องพักผู้ป่วย พร้อมทั้งปิดประตูเสร็จสรรพ และเหลือบมองธีทัตที่เดิมตามมาทีหลัง พลางเหลือบมองเธอซ้ำ ถึงได้ยอมเอ่ยปากพูด “เมื่อกี้นี้เอลล่าตื่นขึ้นมา ก็จัดการเอาตัวเองมุดอยู่ในผ้าห่ม และพูดว่ากลัว ฉันเกลี้ยกล่อมยังไงก็ไม่มีประโยชน์…”
ญาธิดาได้ยิน หัวใจเจ็บจี๊ดขึ้นอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดมันลามไปยันขั้วหัวใจ
ซึ่งมองจากสถานการณ์แล้ว การถูกงูกัดในครั้งนี้ เอลล่าคงต้องได้รับผลกระทบไม่ดีทางจิตใจแน่ๆ
เธอแสบจมูก น้ำตาก็ไหลพรั่งพรูออกมาทันที
ธีทัตที่มองเหตุการณ์อยู่ทางด้านข้าง จึงรีบพูดให้กำลังใจทันควัน “ธิดา อย่าเพิ่งรีบร้อนไป ปกติเอลล่าก็สนิทสนมกับคุณมากที่สุดคุณเข้าไปดูสักหน่อยว่ามีอาการเป็นยังไง และเราค่อยมาคำนึงถึงเรื่องที่เกิดขึ้นต่อจากนี้
เมื่อได้ยินเขาพูดออกมาเช่นนี้ ญาธิดาถึงได้พยักหน้าเล็กน้อย พร้อมทั้งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ฉันจะเข้าไปดูสักหน่อยว่าเธอเป็นยังไงบ้าง”
เธอพูด พร้อมทั้งยกมือขึ้น ปาดน้ำตาตรงหางตาออก พร้อมทั้งสงบสติอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติ ถึงได้สาวเท้าก้าวเดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย และหยุดลงตรงหน้าเตียงผู้ป่วย
อีธานเงยศีรษะเล็กๆ ขึ้นมา ใบหน้าปรากฏความอ่อนล้าเล็กน้อย เขายื่นมือเล็กๆ ออกไปคว้าชายเสื้อของญาธิดา พร้อมทั้งพูดจาเสียงออดอ้อนของเด็กเล็ก “คุณแม่ คุณแม่กลับมาแล้วเหรอครับ?”
ญาธิดาพยักหน้า พร้อมทั้งลูบศีรษะเล็กๆ ของเขาอย่างแผ่วเบาจากนั้นก็นั่งลงข้างเตียง พร้อมทั้งดึงผ้าห่มอย่างเบามือ
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งอ้าปากถามไถ่อย่างมีความอดทนมากพอ “เอลล่าลูกตื่นแล้วใช่มั้ยคะ?”
เมื่อได้ยินเสียงของเธอ เจ้าก้อนกลมๆ ที่อยู่ทางด้านล่างของผ้าห่มก็เริ่มขยับเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้กลับสักนิด
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งเอื้อมมือออกมาลูบลงบนผ้าห่มอย่างเบามือ พร้อมทั้งพูดเสียงอ่อนโยน “แม่กลับมาแล้วนะ จะไม่ออกมาดูหน้าจริงๆ เหรอคะ? มีแม่อยู่ หนูไม่ต้องกลัวนะ…”
เมื่อทั้งเอาใจพร้อมทั้งเกลี้ยกล่อมอยู่นาน ร่างกายเล็กๆ ใต้ผ้าห่มก็เริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาเล็กน้อย และค่อยๆ เปิดผ้าห่มออก จนเผยให้เห็นดวงตากลมโตคู่หนึ่งโผล่ออกมา
ดวงตาคู่นั้นฉายความใสซื่อบริสุทธิ์ และมีอาการหวาดกลัวออกมา น้ำตาคลอเบ้า เมื่อมองเห็นจนทำให้คนอื่นสามารถปวดใจสงสารตามกันเป็นแถว เธอเริ่มเอ่ยปากถามอย่างระแวดระวัง “คุณแม่คะ…ข้างนอกมีงูมั้ยคะ?”
เมื่อเห็นว่าลูกสาวสุดที่รักตกใจจนตกอยู่ในสภาพนี้ ในหัวใจของญาธิดาก็เกิดความรู้ปวดร้าวและรู้สึกละอายใจมันพลุ่งพล่านขึ้นมาเป็นระยะ พลางยื่นมือออกไปและสวมกอดเธอไว้ในอ้อมอกทันที พร้อมทั้งพูดเกลี้ยกล่อมไปด้วย “ไม่มีนะคะ แม่อยู่นี่แล้ว หนูไม่ต้องกลัวนะคะ”
เอลล่าขดตัวเหมือนก้อนแป้งกลมๆ การถูกญาธิดากอดไว้แน่นในอ้อมกอด แถมยังไม่กล้าขยับตัว ดวงตาคู่นั้นคอยมองสาดส่องด้านนอกอย่างระแวดระวัง
ญาธิดาอยู่คุยเป็นเพื่อนเอลล่าสักพัก สุดท้ายกล่อมเธอจนผล็อยหลับไป เธอถึงได้แอบถอนหายใจโล่งอก หลังจากฝากฝังอีธานไว้กับอัญมณีแล้ว จึงออกไปพบหมอพร้อมกับธีทัตทันที
ภายในห้องทำงานของคุณหมอ
คุณหมอแสดงสีหน้าเคร่งขรึม พร้อมทั้งแสดงอาการชะงักเล็กน้อย จากนั้นถึงได้แหงนหน้าเหลือบมองญาธิดาและธีทัตที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “สภาพของเอลล่าในเวลานี้ สามารถเรียกว่าภาวะป่วยทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรง ซึ่งมีความอ่อนไหวมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกภายนอก ถ้าได้รับผลกระทบกระเทือนทางจิตใจซ้ำอีกครั้ง เกรงว่าอาการจะยิ่งร้ายแรงขึ้นมาก”
พอญาธิดาได้ยิน หัวใจของเธอก็จุกอยู่ตรงคอทันที “งั้นคุณหมอคะ เรื่องนี้ควรจะรักษายังไงคะ!”
“อันดับแรกคือรักษาแผลภายนอกให้ดีเสียก่อน จากนั้นก็เริ่มรักษาสภาพทางจิตใจ ทางที่ดีที่สุดคนในครอบครัวต้องอยู่เป็นเพื่อนให้มากๆ นะครับ พยายามใช้ความรักในการควบคุมอาการหวาดกลัว ซึ่งสามารถทำได้แค่นี้แหละครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ญาธิดาเงียบงันอยู่นาน และไม่พูดไม่จา
จู่ๆ หลังฝ่ามือก็รับรู้ถึงความอบอุ่น ชายหนุ่มยื่นฝ่ามือใหญ่ประกบหลังฝ่ามือของเธอ
เธอหันศีรษะไปมอง ก็สบตากับดวงตาสดใสคู่นั้นของธีทัต
เขาเอ่ยออกมา “วางใจเถอะ พวกเราต้องอยู่เป็นเพื่อนเอลล่าให้ผ่านความยากลำบากในครั้งนี้ไปให้ได้อย่างแน่นอน”
ญาธิดาพยักหน้า พร้อมทั้งเหลือบมองเขา และเกิดความรู้สึกมีพลังบวกเพิ่มมากขึ้นในหัวใจอย่างไม่รู้ตัว
เธอเองก็เชื่อมั่น ว่าเอลล่าจะต้องดีขึ้นมาอย่างค่อยๆ เป็นค่อยๆ อย่างแน่นอน
แต่หลังจากนั้นสามวันติด อาการกลับไม่ส่อไปในทางที่ดีนัก
เอลล่าไม่เพียงแต่หวาดกลัวกับโลกภายนอก ขนาดจำนวนอาหารที่กินเข้าไปก็เริ่มน้อยลงทุกที ไม่นานนัก แก้มอวบๆ ของสาวน้อยก็เริ่มผอมซูบลงมา ปลายคางแหลมตอบจนทำให้คนปวดใจตาม
กระทั่งเห็นเงาต้นไม้ที่อยู่นอกหน้าต่างในตอนกลางคืนอย่างไม่ตั้งใจ ก็ตกใจจนกรีดร้องดังลั่น จนซ่อนตัวอยู่ในผ้าห่มด้วยอาการสั่นเทาอยู่ร่ำไป
ญาธิดาเห็นภาพตำตา จนเกิดความรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจ แต่ไม่มีวิธีที่จะจัดการให้ดีขึ้น
ช่วงสายของวันที่สาม ญาธิดาก็มุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของคุณหมออีกครั้ง พร้อมทั้งสอบถามด้วยความวิตกกังวล “คุณหมอคะ ไม่มีวิธีอื่นจริงๆ เหรอคะ?”
“มีอีกหนึ่งวิธี ให้เพื่อนสนิทของเอลล่ามาอยู่เป็นเพื่อนกับเธอให้เยอะๆ พอเด็กเล็กดีใจขึ้นมา ก็จะลืมเรื่องอื่นไปอย่างง่ายดายเองครับ”
พอญาธิดาได้ยิน จึงย่นหัวคิ้วหากันอย่างไม่รู้ตัว
เพื่อนสนิทของเอลล่าก็อยู่ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งจะไปหาพวกเขาแล้วให้พวกเขามา มันดูไม่เป็นความจริงสักเท่าไหร่
ซึ่งสองวันนี้ เธอได้ลองให้อีธานพูดคุยกับเอลล่าเยอะๆ แต่อาการของเอลล่าก็ยังคงไม่สู้ดีเหมือนเดิม ดร.ยติภัทรกับปภาวีก็มาเยี่ยมเยียนตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เกิดผลอะไรเลย
หลังจากออกมาจากห้องทำงานของคุณหมอแล้ว ญาธิดาก็กลับมาที่ห้องพักผู้ป่วย พร้อมทั้งดึงเอลล่าให้อยู่ในอ้อมอก พร้อมทั้งพูดเสียงแผ่วเบา “ “เอลล่า หนูอยากไปที่ไหนมั้ย? แม่จะพาหนูไปเที่ยว”
เอลล่าส่ายหน้า และเอาหน้าซุกในอ้อมอกของเธอ ไม่ยอมขยับเขยื้อนอีกแล้ว
ญาธิดาปวดใจเล็กน้อย ตะลึงอยู่สักพัก จึงเอ่ยปากสอบถามด้วยความอดทนต่อ “งั้นมีคนที่อยากจะเจอมั้ยคะ?”
ถ้าเอลล่าอยากเจอเพื่อนที่ ใช่ว่าจะไม่มีวิธีนี่
ถ้ามันไม่ได้จริงๆ ก็สามารถวิดีโอคอลหากันได้
จู่ๆ ศีรษะขนปุกปุยที่มุดอยู่ในอ้อมอกของเธอก็เริ่มขยุกขยิกแล้ว พริบตาเดียว เอลล่าก็แหงนหน้าขึ้น มองเธอ และเอ่ยปากถามเธอด้วยความลังเลเล็กน้อย “คุณแม่คะ หนูอยากเจอคุณอาหล่อๆ คนนั้นได้มั้ยคะ?”
พอญาธิดาได้ยิน จึงขมวดคิ้วนิ่วหน้าทันที และไม่รู้ว่าควรจะพูดว่ายังไงดีในเวลานั้น
เธอไม่คิดเลยว่าในช่วงเวลานี้ คนที่เอลล่าอยากเจอที่สุด กลับเป็นเขาเสียนี่!