ดวงใจภวินท์ - บทที่ 403 ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมพูดออกมาตรงๆ
บทที่ 403 ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมพูดออกมาตรงๆ
ชายหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นด้วยท่าทางคุณชายที่มีท่วงท่าสง่างาม พร้อมทั้งมีรอยยิ้มและจิตใจเมตตาอย่างอ่อนโยน
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ตอนที่มองเขานั้น ญาธิดารู้สึกเสียวสันหลังวาบ
เธอยกมุมปากขึ้น พร้อมทั้งยิ้มให้เขา และพูดเสียงแผ่วเบา “คุณภูผา ไม่ได้เจอกันมานานแล้วนะคะ”
เมื่อได้ยินการเรียกขานเช่นนี้ หัวคิ้วของภูผาขยับเล็กน้อย แต่ความรู้สึกที่แสดงออกทางสีหน้าก็ไม่ได้มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก
เขายิ้มให้ พร้อมทั้งเปลี่ยนน้ำเสียงในการเรียกขาน และกล่าวพูดอย่างชื่นชม “ไม่ได้เจอกันตั้งห้าปี วันนี้คุณญาธิดาสวยขึ้นเป็นกองจนโดดเด่นสะกดสายตาไปทั่วจริงๆ เลยครับ”
“คุณก็ชมเกินเหตุไปค่ะ แต่ว่าคุณภูผา ดูเหมือนอาการดีขึ้นมากนะคะ”
ระยะเวลาผ่านมาห้าปีแล้ว ทุกครั้งที่ได้เจอหน้ากัน เขาไม่ได้ซีดเซียวอ่อนแอตามความทรงจำของญาธิดาที่มีต่อภูผาเหมือนเมื่อก่อน เขาในเวลานี้ ถึงแม้ว่าจะนั่งอยู่บนรถเข็นก็ตาม แต่ผิวพรรณก็ตากแดดจนเป็นผิวสีแทน จนผลัดความรู้สึกอ่อนแอนั้นออกไปมาก จนมีความเป็นผู้ชายมากขึ้น
ทั้งสองคนต่างชื่นชมกันไปมาอยู่นาน ญาธิดาหลุบตามองเวลาที่ปรากฏอยู่บนโทรศัพท์ และมองมาทางภูผา พร้อมทั้งกระซิบแผ่วเบา “คุณชายรอง ฉันยังมีธุระต่อทางนั้น เกรงว่าต้องขอตัวก่อนแล้วค่ะ”
ภูผายิ้มให้พลางพูดทันที “เชิญตามสะดวกครับ”
หลังจากที่ทั้งสองคนพยักหน้าเพื่อสื่อความหมายให้เป็นที่เรียบร้อย ภูผาก็หมุนรถเข็นเพื่อผละออกทันที
สายตาของญาธิดาเหลือบมองอย่างไม่ตั้งใจ จึงมองเห็นขาที่อยู่ใต้ผ้าคลุมนั้นเริ่มขยับเล็กน้อย จู่ๆ ก็ยืนตะลึงจนแน่นิ่งไป
ขาทั้งสองข้างของภูผาไม่มีความรู้สึกไม่ใช่เหรอ? แล้วเมื่อกี้ขยับได้ยังไงกัน?
ญาธิดาแหงนหน้ามอง เพื่อมองซ้ำอีกครั้ง แต่กลับมองเห็นแผ่นหลังของชายหนุ่มที่เคลื่อนรถเข็นออกไป ซึ่งไม่มีความผิดปกใดๆ เกิดขึ้น
ญาธิดาขมวดคิ้ว และเกิดความสงสัยอยู่ในใจอย่างเต็มเปี่ยม เมื่อครู่เธอมองเห็นเต็มสองตาว่าขาของภูผาขยับจริงๆ ไม่ใช่ตาฝาดแน่!
หรือว่า…
“ธิดา!”
จู่ทางด้านหลังก็มีเสียงเรียก ญาธิดาได้สติกลับคืนมา จึงเบนศีรษะชะเง้อมอง จึงเห็นธีทัตกำลังเดินมุ่งหน้ามาทางนี้
ธีทัตยื่นมือออกมา เพื่อโอบหัวไหล่ของเธอตามธรรมชาติ “ไปคุยกับคุณย่าแล้วเป็นยังไงบ้างครับ?”
“ดีมากเลยค่ะ เราไปทางนั้นกันเถอะค่ะ”
ญาธิดาดึงธีทัตให้เดินมาทางมุมห้องทางด้านข้างที่มีคนน้อยหน่อย และหันกลับไปมองยังตำแหน่งตรงกลางของงาน ที่มีคนพลุกพล่าน ย่อมเป็นคุณย่าตระกูลสถิรานนท์กำลังถูกล้อมรอบอยู่ตรงกลางจนเห็นชัดถนัดตา
การมีลูกอย่างปกรณ์และหลานชายอย่างภวินท์คอยยืนปักหลักให้ คนที่เพิ่งมีชื่อเสียงแม้เพียงเล็กน้อยในเมืองJต่างก็อยากมาเข้าร่วมงาน
ที่นี่ ดูผิวเผินแล้วก็คืองานเลี้ยงฉลองครบรอบวันเกิดอายุครบเจ็ดสิบปีของคุณย่า ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเป็นโอกาสที่ดีในการเพิ่มศักยภาพในการเชื่อมต่อความสัมพันธ์ในแวดวงสังคมชั้นสูงของเมืองJ
ภวินท์กับนิวราที่ยืนอยู่เคียงข้างกัน เพื่อคอยต้อนรับขับสู้กับคนที่เข้ามาเสวนาด้วย ราวกับเป็นแบบฉบับคู่สามีภรรยาทั่วไป
ญาธิดาเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว พลันเกิดความรู้สึกไม่ถูกโฉลกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เธอหน้านิ่วคิ้วขมวด และเบนสายตาหนีทันที
ธีทัตที่อยู่ทางด้านข้างมีความอ่อนไหวจนสามารถจับความเปลี่ยนแปลงของเธอได้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งกระซิบพูด “ธิดา จากนี้ต่อไปคุณวางแผนจะทำอะไรต่อ?”
เขารู้ดีที่สุดแล้ว การที่ญาธิดามานั้น ไม่ใช่เพื่อมาอวยพรคุณย่าอย่างธรรมดาแน่ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ เธออยากจะมาคุยกับนิวรา
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ฉันคิดไว้แล้ว ครั้งนี้คุณก็อย่าเข้ามาแทรกแซง ฉันขอจัดการเองได้มั้ยคะ?”
เธอพูด พร้อมทั้งยื่นมือออกไป เพื่อนำมือวางอยู่หลังฝ่ามือของธีทัตอย่างแผ่วเบา
นัยน์ตาอันแน่วแน่ของหญิงสาวบวกกับความอบอุ่นในฝ่ามือของเธอซึ่งทำให้ธีทัตวางใจลงเยอะ เขาชะงักเล็กน้อย และพลิกฝ่ามือเพื่อกุมมือของเธอไว้ “ได้ครับ งั้นก็ตามที่คุณพูดเลยครับ”
ญาธิดาพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมทั้งยิ้มให้เขาเป็นการปลอบใจ
เรื่องเดินมาถึงตรงนี้แล้ว ระหว่างเธอกับนิวรา ก็ไม่มีความลับเรื่องส่วนตัวหรือความไว้หน้าที่ไม่สามารถพูดออกมาได้แล้ว ควรจะพูดกันอย่างเปิดเผยซึ่งๆ หน้าไปเลย
เวลาล่วงเลย ผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่า กลุ่มคนที่เข้ามาอวยพรถึงได้ค่อยๆ ลดลงเรื่อย
ทุกคนต่างจับกลุ่มพูดคุยกัน พูดคุยสัพเพเหระและดื่มกันอย่างสนุกสนาน นอกจากการตกแต่งเพื่อเฉลิมฉลองแล้ว ตรงบริเวณจุดอื่นก็เหมือนกับงานเลี้ยงสังสรรค์ตามแบบฉบับทั่วไป
จู่ๆ ญาธิดาก็รู้สึกผิดหวังแทนคุณย่าอยู่บ้าง
เธอกัดฟัน พร้อมทั้งใช้สายตาเหลือบมองห้องโถงขนาดใหญ่ และเริ่มหาตัวนิวรา แต่มองวนดูแล้วรอบหนึ่ง ก็มองไม่เห็น
เธอลุกขึ้นยืน พร้อมทั้งมองธีทัตทางด้านข้าง พลางกระซิบพูด“ฉันไปเองค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงฉันนะคะ”
เธอพูดจบ พร้อมทั้งก้าวฝีเท้าผละออกมา
ธีทัตช้อนสายตา จึงมองเห็นแผ่นหลังที่สง่างามที่สะดุดสายตาของใครหลายคน สายตาหม่นหมองเล็กน้อย จนเกิดความวิตกกังวลขึ้นมาสักระยะอยู่ในใจ
เขาครุ่นคิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุด จึงควานหาโทรศัพท์ออกมา เพื่อกดโทรออก
ไม่นานนัก ก็มีคนรับสาย ซึ่งเป็นเสียงอัญมณีอยู่ปลายสาย “มีอะไรหรือเปล่าคะพี่ชาย?”
“แกอยู่ไหนแล้ว?”
ปลายสายเป็นเสียงของอัญมณี “ฉันกำลังอยู่บนทางที่จะไปนะสิ ก็คุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ วันนี้มีงานแสดง ฉันแสดงเสร็จยังไม่ทันเปลี่ยนเสื้อผ้าก็รีบแจ้นมา Amaya Hotelแล้วเนี่ย อีกประมาณยี่สิบกว่านาทีมั้งคะ!”
ธีทัตตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “อืม แกพยายามรีบมาให้เร็วหน่อย ธิดาไปหานางแล้ว”
“เธอไปหาผู้หญิงชั่วนั่นแล้วเหรอ! ทำไมพี่ไม่ห้ามเธอไว้สักหน่อยล่ะ!”
“พี่คะ รีบขับเร็วๆ หน่อย ฉันมีเรื่องด่วน!”
“ว๊าย!”
“……”
ซึ่งธีทัตยังไม่ได้พูดอะไร อัญมณีที่อยู่ปลายสายก็กรีดร้องดังออกมา จากนั้นก็ตัดสายทิ้งทันที
ธีทัตย่นคิ้วเข้าหากันอย่างหมดคำพูด พลางเก็บโทรศัพท์ลงอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมดังเดิม
ใช่ว่าเขาไม่อยากยื่นมือเข้าไปยุ่ง แต่ว่าครั้งนี้ธิดาตัดสินใจแล้วว่าต้องการไปคุยกับนิวรา เขาอยากจะห้ามก็ห้ามไว้ไม่อยู่ อีกอย่าง เขาในฐานะสามีในนามของเธอ ยิ่งไม่สามารถออกหน้าได้ มิเช่นนั้นจะต้องลากภวินท์เข้ามาผสมโรงด้วย เรื่องมันจะยิ่งสับสนอลหม่านขึ้นเรื่อย
เขาทำได้เพียงโทรศัพท์หาอัญมณี เพื่อให้เธอมาช่วยดูหน่อย ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็สามารถเกลี้ยกล่อมได้ทันท่วงที
ส่วนเรื่องอัญมณีจะรีบมาได้ทันเวลาที่เหมาะสมหรือไม่ ก็ต้องยกให้สวรรค์บันดาลแล้วแหละ
ญาธิดาเดินวนอยู่ในห้องโถงใหญ่หนึ่งรอบ แต่เธอก็ไม่เห็นแม้เงาของนิวรา
เธอเดินขึ้นบันได อย่างไม่ได้ตั้งใจ จนเดินมาถึงชั้นสอง พอหันหลังก็มองเห็นตัวคนเด่นชัดอยู่ตรงทางเดินตรงระเบียงเล็กของชั้นสอง
กระโปรงสีแดงสด สะดุดตาขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่นิวราจะเป็นใครไปได้อีกล่ะ?
ญาธิดาก้าวฝีเดินมุ่งหน้าไปทางด้านหน้า ถึงได้ค้นพบว่าข้างกายของเธอยังมีผู้หญิงอยู่อีกสองคน ทั้งสามคนพูดคุยหยอกล้อต่อกระซิก โดยไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่
เธอก้าวเท้าเดินไปทางด้านหน้า ตอนที่เพิ่งเดินถึงบันไดระเบียงนั้น เหมือนนิวราหันกลับมาแบบฟูลเทิร์นหนึ่งรอบ จังหวะที่มองเห็นญาธิดานั้น สีหน้าของเธอก็หม่นหมองลง แววตาฉายความอิจฉาริษยาออกมาเล็กน้อย
ผู้หญิงสองคนที่อยู่ด้านข้างของเธอก็มองตามสายตาของเธอ พอเห็นว่าเป็นญาธิดา สีหน้าต่างเปลี่ยนเป็นมีความหมายอื่นอยู่ลึกๆ ขึ้นมาทันที
ญาธิดามองเห็นปฏิกิริยาของทั้งสามคนเต็มสองตา พลางก้าวเดินเข้าไปหา อย่างไม่รีบไม่ร้อน จากนั้นก็มองมาที่นิวราพร้อมทั้งกระซิบพูด “คุณนิวคะ ฉันมีเรื่องต้องคุยกับคุณค่ะ ไม่ทราบว่าคุณพอมีเวลามั้ยคะ”
พอนิวราได้ยิน พลันแสยะยิ้มออกมาทันที และหันไปมองผู้หญิงสองคนที่อยู่ด้านข้าง และเอ่ยขึ้น “พวกแกไปที่ห้องโถงใหญ่ก่อนเถอะ”
“นิว แกคนเดียวไหวมั้ย?”
ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ทางด้านข้างเหล่มองญาธิดาอย่างระแวดระวัง
นิวราย่นคิ้วหากัน พร้อมทั้งพูดจาเสียงแข็ง “พวกแกไปก่อนเถอะ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
ผู้หญิงทั้งสองคนต่างสบตากัน โดยที่ไม่กล้าพูดอะไรขึ้นมาอีก และเดินออกไปทันควัน
เวลานั้น ตรงระเบียงเล็กก็เหลือแค่พวกเธอสองคนเท่านั้น
นิวราค่อยๆ เชิดปลายคางเล็กน้อย สีหน้าทั้งเย็นชาและเคร่งขรึม ซึ่งแสดงท่าทางไม่ได้เห็นหัวญาธิดาเลย “แกอยากจะพูดอะไร?”
เมื่อครู่ตอนที่ญาธิดาพูดคุยกับคุณย่าในห้องโถงใหญ่นั้นเธอก็เห็นเต็มสองตา เธอคิดไม่ออกจริงๆ ทั้งๆ ที่มันผ่านไปห้าปีแล้ว ทำไมยายแก่หงำเหงือกนั่นถึงได้ไม่ลืมเลือนญาธิดาสักที! ซึ่งเมื่อย้อนกลับมาคิดดู หลายปีมานี้ยายแก่ปฏิบัติต่อเธอ ทั้งที่ไม่เคยแสดงความสนิทสนมแบบนี้มาก่อนเลย!
นิวรายิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ตอนแหงนหน้าขึ้นอีกครั้ง ก็มองญาธิดาด้วยสายตาที่ไม่มีการปกปิดความขยะแขยงที่เพิ่มขึ้นมากไว้สักนิด
ญาธิดาเห็นสภาพนั้น แต่ไม่กลับร้อนรนแต่อย่างใด พลันเผยอริมฝีปากอันงดงามขึ้น “คุณนิว คุณรู้สึกไม่ถูกชะตากับฉันแน่ๆ ใช่มั้ย?”