ดวงใจภวินท์ - บทที่ 417 อยู่เป็นเพื่อนเขาอยู่สักพัก
บทที่ 417 อยู่เป็นเพื่อนเขาอยู่สักพัก
หลังจากผ่านการพักผ่อนรักษาตัวอยู่ตลอดช่วงบ่าย ร่างกายญาธิดาก็ไม่มีอาการบาดเจ็บมากนัก
เกรงว่าเธอจะเดินไปทั่วจนส่งผลกระทบกับการพักผ่อน ธีทัตจึงตั้งใจสั่งอาหารมากินในห้อง กิจกรรมต่างๆ ตอนกลางคืนต่างยกเลิกหมดแล้ว จนเปลี่ยนเป็นเกมเล็กๆ น้อยๆ ภายในห้องแทน
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ญาธิดาก็เล่นเกมบล็อกตัวต่อจิ๊กซอว์ของเล่นไม้เป็นเพื่อนพวกเขาอยู่สักพัก หลังจากนั้นก็มองเจ้าเด็กน้อยสองคนที่กำลังกระโดดโลดเต้นตามเกมเต้นตามลูกศร จนอารมณ์ดีขึ้นมากอย่างไม่รู้ตัว
“เดี๋ยวคืนนี้ผมจะพาอีธานกับเอลล่าไปนอนห้องผม คุณพักผ่อนให้สบายนะ รอพรุ่งนี้ถ้าคุณอยากกลับ เราก็จะกลับกันทันที”
ธีทัตพูด พร้อมทั้งหยิบกาน้ำเทน้ำชาร้อนๆ ให้เธอต่ออีกแก้วหนึ่งอย่างเอาอกเอาใจ
ตลอดทั้งคืน ธีทัตดูแลเธออย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ญาธิดาเห็นเต็มสองตา อบอุ่นหัวใจเหลือเกิน เธอพยักหน้าให้เขา พลันกระซิบพูดอย่างแผ่วเบา “ฉันแล้วแต่คุณทั้งหมดค่ะ”
ทั้งสองคนสบตากัน บรรยากาศกลมกลืนอย่างไม่รู้ตัว
นัยน์ตาธีทัตหม่นหมองเล็กน้อย มือที่วางอยู่บนหัวไหล่ของญาธิดาเกร็งขึ้นเล็กน้อยอย่างอดใจไม่ไหว พลันค่อยๆ เขยิบเข้าใกล้ญาธิดา และค่อยๆ เข้าใกล้ขึ้นเรื่อย…
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเป็นไปธรรมชาติ แต่จังหวะที่ริมฝีปากของชายหนุ่มใกล้จะสัมผัสริมฝีปากของญาธิดานั้น ญาธิดาตัวสั่นเทา พลันหงายหลังตามจิตใต้สำนึก เพื่อเว้นห่างระยะห่างของทั้งสองคน
วินาทีนั้น บรรยากาศอันอบอุ่นและกลมเกลียวพลันมลายหายไปทันที แต่กลับเป็นความเย็นเฉียบและความหนาวเหน็บเข้ามาแทนที่
ซึ่งเมื่อสบตาแววตาของธีทัตที่กำลังแน่นิ่งด้วยความสับสน ญาธิดามีปฏิกิริยาตอบสนองทันควัน ถึงได้ค้นพบว่าสิ่งเหล่านั้นที่ตนเองทำไปทั้งหมดมันเป็นปฏิกิริยาสะท้อนตอบสนองกลับ ซึ่งมันไม่ได้วิ่งผ่านหัวสมองสักนิด
เมื่อจับสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันตึงเครียด เธอสูดลมเข้าปอด จากนั้นก็คลี่ยิ้มเล็กน้อยและพูดอธิบายทันควัน “อีธานกับเอลล่าก็อยู่นะคะ ทำแบบนี้ดูไม่ค่อยดีมั้ยคะ…”
ธีทัตพยักหน้าเล็กน้อย พลันกระซิบพูด “ผมไม่ทันคิดให้ดีก่อน”
เขาพูด พร้อมทั้งยิ้มและกุมมือเธอเอาไว้ และกล่าวแกมหยอกล้อกลับ “มีเด็กสองคนอยู่ก็เหมือนกับมีก้างขวางคออยู่สองอัน”
ญาธิดาคลี่ยิ้มมุมปาก แต่ในใจลึกๆ กลับไม่ได้มีความสุขสักนิดเธอหลุบตาลง เพื่อปกปิดความรู้สึกของตนเอง
มีแค่เธอที่รู้ดีอยู่แก่ใจ การที่เธอผลักเขาออกเมื่อครู่ ซึ่งมันไม่ใช่เพราะว่าอีธานเอลล่าอยู่ที่นี่ แต่เป็นเพราะว่านั้นเป็นอากัปกิริยาตามจิตใต้สำนึกของเธอเองต่างหาก…
นั่นก็สามารถพูดได้ว่า พูดกันตั้งแต่พื้นฐานแล้ว เธอไม่ได้ยอมรับเขาทั้งหมด
พอคิดได้เช่นนี้ ในหัวใจของเธอก็รู้สึกละอายใจกับธีทัตมากยิ่งขึ้นเยอะ
กิจกรรมสันทนาการต่างๆ หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ซึ่งผ่านไปรวดเร็ว ธีทัตก็พาอีธานกับเอลล่าไปอาบน้ำ ส่วนเธอนั้นกลับไปยังห้องนอนของตนเอง
พอประตูปิดลง ราวกับเป็นการปิดกั้นกับโลกภายนอก ญาธิดาครุ่นคิดมากมายอย่างไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัว
ในหัวสมองของเธอมีสิ่งที่ปรากฏขึ้นมากที่สุด นั่นก็คือใบหน้าของภวินท์!
เวลาผ่านไปสองชั่วโมงกว่า โดยไม่รู้ตัว ญาธิดาคิดหนักและหนักใจอยู่บนเตียง จนไม่มีความรู้สึกง่วงแม้สักนิด
เธอถึงขั้นอยากจะไปเยี่ยมภวินท์ เพื่อดูอาการบาดเจ็บของเขาเป็นอย่างไรบ้าง แล้วตกลงว่าอาการจะหนักหนาสาหัสเหมือนที่พายุพูดหรือไม่
ญาธิดายิ่งคิดก็ยิ่งไม่สบายใจ พอท้ายที่สุดแล้ว เธอก็ควบคุมความเป็นห่วงและความสงสัยที่อยู่ในใจไม่ได้ พลันลุกขึ้นจากเตียงอย่างเบาเสียง
อีธานกับเอลล่านอนหลับไปแล้ว ส่วนทางห้องของธีทัตก็เงียบสงัด ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งใส่เสื้อโค้ททับตัวหนึ่ง จากนั้นก็เดินย่องออกจากห้อง
เธอเดินออกมา ใช้เวลานานมาก และหาพนักงานอยู่หลายคนเพื่อสอบถามข่าวคราว ถึงได้ถามจนได้เลขห้องของภวินท์มา
ตอนที่หาห้องเจออย่างทุลักทุเล ญาธิดายืนอยู่หน้าประตู จู่ๆ ก็หมดความกล้าที่จะยกมือขึ้นมาเคาะประตู
ซึ่งเมื่อครู่ก่อนหน้านี้ เธอยังศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยม แต่คาดไม่ถึงเลยว่าพอเดินมาถึงหน้าประตูแล้ว ความกล้าหาญของเธอทั้งหมดพลันมลายหายไปชั่วพริบตาอย่างไร้ร่องรอยใดๆ
หลังจากลังเลอยู่นาน เธอก็ยกมือขึ้น พลันเคาะบานประตูอย่างแผ่วเบา หลังจากเคาะประตูอยู่หลายครั้งแล้ว จู่ๆ ด้านในประตูก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ถัดจากนั้น บานประตูก็มีคนเปิดออก
พายุยืนอยู่หน้าประตู พร้อมทั้งสอบถามด้วยสีหน้าเย็นชาดังเดิม “มีธุระอะไรครับ?”
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ฉันอยากมาเยี่ยมภวินท์หน่อยค่ะ”
เขาเอ่ยปากพูดตามระเบียบการทำงานทุกอย่าง “คุณภวินท์พักผ่อนแล้ว พรุ่งนี้คุณค่อยมาใหม่แล้วกันครับ”
พอญาธิดาได้ยิน จึงย่นคิ้วเข้าหากัน ซึ่งตอนแรกตนเองก็นึกว่าคงไม่ผ่านด่านไม่ต้อนรับแขกนี้แล้ว ใครจะรู้ว่าจู่ๆ ก็มีเสียงสดใสทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังขึ้นมาจากภายในห้อง “ให้เธอเข้ามา”
วินาทีนั้นหัวใจของญาธิดาบีบรัดแน่น เธอเก็บอาการความตื่นเต้นที่อยู่ในใจเอาไว้ พลางแหงนหน้ามองพายุ
พายุชะงักทันที ทำได้เพียงก้าวออก เพื่อสละตำแหน่งตรงประตูออก
ญาธิดาก้าวฝีเท้าเดินเข้าไปทันควัน แต่ใครจะรู้เพิ่งจะเดินเข้าไปสองก้าว พลันมีเสียงประตูปิดดัง “ปึง” มาจากทางด้านหลัง
ญาธิดาตกใจทันที ไม่คิดเลยว่าพายุจะทำเรื่องพรรค์นี้ออกมา
นั้นเท่ากับว่า ภายในห้องสวีทขนาดใหญ่ เหลือแค่เธอกับภวินท์อยู่สองคน
เมื่อคิดแบบนี้ ใจญาธิดาเต้นดั่งกลองเพล พลันรู้สึกไม่สบายใจอย่างไม่รู้ตัว เธอก้าวฝีเท้าเดินไปทางด้านหน้า พร้อมทั้งสำรวจโดยรอบอย่างระแวดระวัง ใครจะรู้ว่าเพิ่งเดินมาถึงประตูห้อง พอแหงนหน้าก็มองเห็นภวินท์นั่งอยู่บนเตียงแล้ว
ซึ่งบังเอิญที่ว่าเขาก็แหงนหน้าเหมือนกัน แววตาจับจ้องเธอเดินเข้ามาหา ทั้งสองประสานสายตากัน จนเกิดความรู้สับสน
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ภวินท์ก็พูดเสียงเข้ม “มานี่สิ”
แววตาของญาธิดาเหลือบมองแขนของเขาที่มีผ้าก๊อซพันอยู่เต็มอย่างรวดเร็ว จนหัวใจรัดแน่น พร้อมทั้งก้าวฝีเท้าเดินไปหา
ไม่ว่าจะพูดยังไง ตอนนี้ภวินท์ก็ถือว่าเป็นผู้มีพระคุณที่ได้ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ การที่เธอมาเยี่ยมเยียน ก็ถือว่ามีไมตรีจิตที่ดีก็พอแล้ว
ญาธิดาเดินเข้าห้อง และยืนอยู่ข้างเตียง พลางเหลือบมองแขนของเขาแวบหนึ่ง “แผลบนตัวคุณ สาหัสมั้ยคะ”
“อืม” ภวินท์ตอบรับอย่างเกียจคร้าน และไม่ได้อธิบายมากอะไรท่อนบนของเขาพิงบริเวณหัวเตียง ส่วนแขนก็วางไว้ด้านหน้าญาธิดาเพื่อเป็นการอวดให้เห็นอย่างเต็มที่
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งมองแขนของเขา ลำคอตีบตันพลันเอ่ยพูด “เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ขอบคุณมากนะคะ”
ถ้าไม่ใช่เขา วันนี้คนที่นอนพะงาบๆ หยอดน้ำข้าวต้มอยู่บนเตียงเกรงว่าต้องเป็นเธอแล้วแหละ
เมื่อสิ้นเสียงเธอพูด เสียงบ่นพึมพำของชายหนุ่มก็ดังขึ้น “คำขอบคุณ ดูไม่มีความจริงใจสักนิด”
เมื่อญาธิดาได้ ถึงกลับอึ้งกิมกี่ และเกิดอาการหงุดหงิดเล็กน้อย จึงสวนกลับอย่างรวดเร็ว “งั้นคุณยังต้องการอะไรหรือคะ?”
ภวินท์กลับไม่ตอบ แต่หันหน้าไปมองแก้วน้ำที่อยู่ด้านข้างหัวเตียง
โดยที่ไม่รอให้ญาธิดาตั้งสติทันที เขาก็ยื่นมือของตนเองข้างที่มีผ้าก๊อซพันอยู่เต็มแขน ค่อยๆ เขยิบเข้าใกล้ช้าๆ และใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
แต่มือของเขาพันผ้าก๊อซทั้งมือ เรื่องไม่กระฉับกระเฉงไม่ต้องพูดถึง มือยังมีอาการสั่นเทาเล็กน้อย แทบไม่มีวิธีจะยกแก้วน้ำให้มั่นคงได้
หัวใจญาธิดาบีบรัดแน่น พร้อมทั้งยื่นมือออกมาทันควัน เพื่อยกแก้วน้ำขึ้นมา พร้อมทั้งเหลือบมองภวินท์ พลันกัดฟันพูด “ฉันป้อนเองส่วนคุณมีหน้าที่ดื่ม”
แม้ว่าเมื่อครู่ภวินท์จะไม่ได้พูดว่าอะไร แต่ความหมายก็แสดงออกมาอย่างชัดเจนมาก ถ้าเธอไม่เป็นคนออกตัวก่อน งั้นเธอก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วแหละ
ถัดมา เธอยกแก้วน้ำขึ้น และค่อยๆ วางตรงริมฝีปากของภวินท์อย่างช้าๆ
ภวินท์ไร้การปฏิเสธ แต่ก็ยอมดื่มน้ำสองอึกอย่างร่วมมือดี
บรรยากาศภายในห้อง กลับแปรเปลี่ยนเป็นคลุมเครือขึ้นมาทันที
รอยยิ้มฉายขึ้นในดวงตาภวินท์ฉาย หลังจากดื่มน้ำไปหลายอึกแล้ว เขาก็พูดเสียงเรียบเฉย “พอแล้วครับ”
พอญาธิดาได้ยิน ก็รู้สึกปลดปล่อยภาระอันหนักอึ้ง จึงรีบวางแก้วน้ำลงทางด้านข้างทันควัน พลันพูดต่อ “ฉันก็แค่อยากมาดูสักหน่อยว่าคุณอาการเป็นยังไงบ้าง ถ้าไม่มีอะไรอีก ฉันขอตัวก่อนนะ”
พลางมองสีหน้าของชายหนุ่มไร้การเปลี่ยนแปลง ญาธิดาหันหลังให้เพื่อเตรียมจะเดินออก แต่ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมา และคว้าข้อมือของเธอเอาไว้อย่างตรงจุดไม่มีผิดพลาด
ญาธิดาร่างกายสั่นเทา จึงหันหน้ากลับไปมองเขาทันควัน “คุณ…จะทำอะไร? ปล่อยนะ…”
เธอยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกชายหนุ่มดึงมานั่งทางด้านขอบเตียง ถัดจากนั้น ก็มีเสียงดังสดใสของชายหนุ่มค่อยๆ ดังข้างหู “ถ้าอยากจะขอบคุณผมจริงๆ งั้นก็อยู่เป็นเพื่อนผมสักครู่สิครับ”
ณ ชั่วเวลานี้ มีเธออยู่เคียงข้าง ก็พอเพียงแล้ว