ดวงใจภวินท์ - บทที่ 418 คำขอบคุณช่างมีราคาค่างวดถูกขนาดนี้เชียว
บทที่ 418 คำขอบคุณช่างมีราคาค่างวดถูกขนาดนี้เชียว
ญาธิดานั่งอยู่ข้างเตียง แผ่นหลังแข็งทื่อ นั่งไม่ติดสติสตางค์ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขนาดจะหายใจแรงๆ ก็ยังไม่กล้าเลย
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าครั้งนี้ภวินท์ได้เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อช่วยเธอ เธอก็เดินกลับไปตั้งนานแล้ว คงไม่อยู่รออยู่แม้สักครึ่งนาทีหรอก
สามนาทีให้หลัง ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลันหันหน้ามามองผู้ชายที่อยู่บนเตียง และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบไร้ความหวั่นไหวใดๆ “โอเคแล้วนะ ดึกมากแล้ว ฉันควรจะกลับได้แล้ว”
การอยู่เป็นเพื่อนเขามาหลายนาทีนี้ ถือว่าเต็มขีดจำกัดความอดทนของเธอแล้ว
ทว่าใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ ชายหนุ่มก็ยื่นมือข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บออกมา พลันคว้าข้อมือเธอเอาไว้แน่น พร้อมทั้งเอ่ยปากพูดโดยไม่มีการลังเลสักนิด “ญาธิดา ทำไมคำขอบคุณของคุณมันมีราคาค่างวดที่ถูกขนาดนี้เนี่ย แค่สามนาทีเองเนี่ยนะ?”
ญาธิดาขมวดคิ้วนิ่วหน้าทันที และพูดสวนกลับไม่ทันในเวลานั้น
จู่ๆ พลันมีเรี่ยวแรงดึงเธอมาจากทางด้านหลัง ร่างกายเธอเอียง จนพาดครึ่งตัวอยู่บนเตียง และล้มทับอยู่บนกลางแผงอกของภวินท์ ระยะห่างของทั้งสองคนกระชับขึ้นทันที พอญาธิดาแหงนหน้าขึ้น ก็รู้สึกถึงลมหายใจอันร้อนผ่าวของชายหนุ่มที่พ่นรดกลางหน้าผากของเธอ ซึ่งมันจั๊กจี้ จั๊กเดียมชะมัด
พอเธอแหงนหน้าขึ้น ก็สบตาดวงตาดำขลับคู่นั้นของเขาเข้าอย่างจัง หัวใจด้านในกลางแผงอกหยุดเต้น พลันเกิดความร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ระยะห่างแค่นี้ เป็นระยะห่างที่คลุมเครือมาก แค่เขาค่อยๆ ก้มหน้าลงมา ก็สามารถจุมพิตหน้าผากของเธอได้แล้ว
ทันใดนั้น เบื้องหน้าดำมืด ญาธิดารู้สึกมีสิ่งของอะไรบางอย่างมาบดบังสายตาของตนเอง ตามมาติดๆ เป็นริมฝีปากของชายหนุ่มที่ค่อยๆ สัมผัสริมฝีปากของเธออย่างแผ่วเบา
ในวินาทีนั้น มีสิ่งของบางอย่างที่เปลี่ยนเป็นความหมายลึกซึ้งขึ้นมาทันที ร่างกายญาธิดาแข็งทื่อ ราวกับถูกคนสะกดจุด จนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลย
ภวินท์ก้มศีรษะลง เพื่อมองหญิงสาวที่แสดงอาการตกตะลึงอยู่กลางอ้อมกอด มุมปากโค้งขึ้น รอยยิ้มในดวงตาเพิ่มมากขึ้นเยอะ
ระยะห่างแค่นี้ เป็นระยะห่างที่คลุมเครือมาก แค่เขาค่อยๆ ก้มหน้าลงมา ก็สามารถจุมพิตหน้าผากของเธอได้แล้ว
จังหวะที่ญาธิดายังไม่ทันตั้งสติกลับมาทัน เขาก้มศีรษะลง พร้อมทั้งประกบริมฝีปากเธออีกครั้ง ซึ่งไม่เหมือนกับครั้งที่แล้ว การจูบในครั้งนี้ช่างอ่อนโยนและอ้อยอิ่ง จนทำให้คนตกหลุมพรางในวังวนของศัตรู…
ชั่วขณะนี้ ซึ่งมาจากสัญชาตญาณโดยทั้งหมด โดยที่ไม่ความลังเลหรือความพะวงหน้าพะวงหลังสักนิด เขาก็แค่อยากจะจูบเธอในวินาทีนี้ ต้องการเธอ…
จังหวะที่มือของเขาเกร็งหัวไหล่ของเธออย่างเต็มที่ ญาธิดาถึงได้สติกลับมาทันที เธอเอื้อมมือออกมาดันแผงอกของชายหนุ่มตามจิตใต้สำนึก เพื่อต้องการจะสร้างระยะห่างของทั้งสองคน
“คุณ…ปล่อยฉันนะ!”
ญาธิดาตื่นตระหนกทันที จนถึงขั้นลืมไปเสียสนิทว่ามือของภวินท์ได้รับบาดเจ็บ เธอใช้แรงผลักออก แต่มือกลับผลักไปโดนแขนข้างนั้นที่เขาได้รับบาดเจ็บมาอย่างบังเอิญ วินาทีนั้น ภวินท์ย่นคิ้วเข้ากัน พร้อมทั้งเปล่งเสียงโอดโอยออกจากริมฝีปาก
ญาธิดาตัวเกร็งทันที จนได้สติทันที พลันเกิดปฏิกิริยาตอบสนองทันควัน และไม่กล้าจะแสดงพฤติกรรมใดๆ ต่อ หัวใจเธอแขวนอยู่บนเส้นด้าย พลันเอ่ยปากอย่างอดไม่ได้ “โดนแขนคุณแล้วใช่มั้ย? เจ็บมากมั้ย?”
ภวินท์ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เมื่อได้ยินเธอพูดออกมาเช่นนี้ พลางเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาฉายรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย “เป็นห่วงผมเหรอ?”
ญาธิดามีสติอย่างทันท่วงที จึงเก็บอาการความเป็นห่วงเป็นใยที่แสดงบนสีหน้าทันควัน และรีบตอบปฏิเสธตามจิตใต้สำนึกทันที “ใครเป็นห่วงคุณ!”
“งั้นเหรอครับ?” ภวินท์หรี่ตามอง ราวกับมองเธอทะลุปรุโปร่งตั้งแต่แรกแล้ว พลันพูดสื่อความหมายอันลึกซึ้งอย่างอื่นขึ้นมาแทน “ทั้งที่ไม่เป็นห่วงผม แล้วทำไมคุณต้องหน้าแดงด้วย?”
เกรงว่าตัวเธอเองก็คงไม่รู้ แก้มของเธอรวมถึงใบหูต่างก็แดงแจ๋ ชมพูระเรื่อ น่ารักน่าชังชะมัด
เมื่อพูดประโยคนี้ออกไป ญาธิดาย่นคิ้วหากันฉับพลัน พลันสวนปฏิเสธทันควัน “เป็นไปไม่ได้!”
ทำไมเธอจะมาทำหน้าแดงใส่ต่อหน้าภวินท์ด้วยล่ะ! ถ้าเป็นญาธิดาเมื่อห้าปีก่อนบางทีก็อาจเป็นไปได้ แต่ตอนนี้เธอเลยช่วงวัยที่จะมาหน้าแดงหัวใจเต้นรัวไปตั้งนานแล้ว ซึ่งไม่มีความเป็นไปได้ที่จะมาหน้าแดงให้เขาเพราะเรื่องยิบย่อยแบบนี้
เมื่อได้ยินคำปฏิเสธของหญิงสาว ภวินท์ก็ไม่โกรธแต่กลับหัวเราะร่า “ผมจะบอกคุณให้ว่าตรงไหนมันแดงนะ”
เขาพูด พร้อมทั้งยื่นมือออกมาจับปลายคางของญาธิดาเอาไว้อย่างแผ่วเบา พลันประทับจูบแก้มและใบหูของเธอ
“ตรงนี้ ตรงนี้ แล้วก็ยังมีตรงนี้…”
วินาทีนั้น ญาธิดารู้สึกว่ามีกองเพลิงสุมอยู่ในร่างกาย มันร้อนผ่าวแผดเผาสติสัมปชัญญะของเธอ
บรรยากาศเปลี่ยนเป็นความหมายคลุมเครือขึ้นมาอย่างกะทันหัน พวกเขาราวกับกองเพลิงสองกอง ต่างก็ส่งผลต่อกัน แผดเผาพร้อมๆ กัน
ญาธิดากัดฟันไว้แน่น ซึ่งตอนแรกคิดว่าอาศัยสติสัมปชัญญะเศษเสี้ยวสุดท้ายในการผลักเขาออก แต่คำพูดทุกอย่างที่อยู่ตรงคอ จนแล้วจนรอดก็เปล่งเสียงไม่ออกแม้เพียงเล็กน้อย…
แสงจันทร์นวลผ่องนอกหน้าต่างสาดส่องเข้ามาภายในห้องผ่านหน้าต่าง เรือนร่างของทั้งสองคน พลิ้วไสวภายในห้องอย่างงดงาม
ญาธิดานอนฝัน ในฝันตนเองเอาแต่วิ่งหนีไม่หยุดหย่อน จนเหงื่อไหลทั่วตัว มีอาการเหงื่อไหลไคลย้อยเปียกชุ่ม เธอถึงหยุดฝีเท้าลง ในตอนท้าย ร่างกายเธออ่อนระทวย จนนอนอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวอันเย็นเฉียบ เพื่อสูดงับลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่…
พอตอนตื่นขึ้นมา ท้องฟ้าทางด้านนอกก็มืดสนิทมาก จังหวะที่เธอมองเห็นผู้ชายที่อยู่ด้านข้างนั้น ความง่วงเหงาหาวนอนทั้งหมดพลันหายวับไปกลับตาไม่เหลือร่องรอยในชั่วขณะนั้นทันที
ไม่คิดเลยว่า เธอกับภวินท์จะ…
ความรู้สึกสำนึกผิดและอารมณ์เสียมันตีขึ้นมาในหัวใจ ซึ่งภาพมันฉายแววขึ้นมาในหัวสมองอย่างรวดเร็วพร้อมกัน ซึ่งเป็นภาพของเธอกับภวินท์ที่เคลื่อนไหวอย่างเร่าร้อนดุเดือดเลือดพล่านต่างตกเป็นของกันและกัน
วินาทีนั้น เธอทั้งอายทั้งโกรธ จนอดไม่ได้ที่จะตบหน้าตัวเองแรงๆ สักสองที
ถ้าเธอดื่มหนักจนเมาแอ๋แล้วทำเรื่องพรรค์นี้ก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่เมื่อคืนนี้เธอกับภวินท์ต่างอยู่ในสภาวะมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนด้วยกันทั้งคู่ แล้วทำไมเธอถึงไม่อดใจเอาไว้ล่ะ?
ญาธิดากัดฟันไว้แน่น พลันหันมามองผู้ชายที่กำลังนอนหลับสนิททางด้านข้าง ด้วยสภาพจิตใจผิดปกติ จึงลงจากเตียงอย่างเงียบเชียบไร้ร่องรอย
เสื้อผ้าของเธอกับภวินท์ถูกเขวี้ยงลงจนกองกับพื้นอย่างสะเปะสะปะ บนพื้นกระจัดการจายไปทั่ว ซึ่งไม่ต้องให้คนอื่นพูดอะไรมากความ มองความยุ่งเหยิงบนพื้นแค่พริบตาเดียว ก็พอเดาได้ถึงความเร่าร้อนที่เกิดขึ้นในที่เกิดเหตุ
ญาธิดากัดฟันแน่น อายจนอยากจะเอาหัวตัวเองมุดดินหนี เธอจัดการเก็บเสื้อผ้าของตนเองขึ้นมาจากพื้น จากนั้นก็เดินย่องด้วยเท้าเปล่าไปถึงตรงช่องทางเดินหน้าประตู หลังจากใส่เสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ค่อยๆ ผลักประตูออกไปอย่างเบามือ
เมื่อออกจากห้องแล้ว เธอถึงมีเวลาเหลือบมองนาฬิกาที่อยู่บนโทรศัพท์แวบหนึ่ง เวลาตีสี่ครึ่ง ซึ่งใกล้จะสว่างอยู่แล้ว
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งก้าวฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังห้องสวีทของตนเองทันที แต่ทุกย่างก้าวนั้น ขาทั้งสองข้างมันเจ็บปวดเหมือนถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
ญาธิดากัดฟันแน่น พลันรีบเร่งฝีเท้าเดินมาอยู่ประตูห้องสวีท หลังจากสแกนบัตรแล้ว พลันเดินย่องกลับเข้าห้องนอนตัวเองทันที
เมื่อกลับมาถึง เธอก็นอนยาวมาถึงแปดโมงกว่า จนอีธานกับเอลล่ามาเปิดประตู เธอถึงได้ตื่น
พอตื่นขึ้นมา ร่างกายของเธอเหมือนกระดูกกระเดี้ยวมันจะหลุดออกจากร่าง ทุกย่างก้าว ขาทั้งสองข้างสั่นเล็กน้อยจนไม่สามารถควบคุมได้
ตอนเวลากินข้าวเช้า ธีทัตสังเกตความผิดปกติ จึงรีบสอบถามทันควัน “ธิดา ขาคุณเป็นอะไรเหรอครับ?”
สีหน้าญาธิดาฉายความไม่เป็นธรรมชาติออกมาเล็กน้อย พลันตอบกลับตามน้ำไป “น่าจะเป็นเพราะว่าล้มมาเมื่อวานนี้ค่ะ สักสองสามวันก็น่าจะหายดี”
พอธีทัตได้ยิน จึงพยักหน้าเล็กน้อย และไม่ได้ซักไซ้ต่อ
เมื่อเห็นชายหนุ่มหันไปมองเด็กน้อยสองคนที่อยู่ทางด้านข้าง ญาธิดาถึงได้ถอนหายใจโล่งอก
เวลานี้เอง มือเธอที่ถือโทรศัพท์อยู่ก็สั่นขึ้นมากะทันหัน เพื่อเตือนว่ามีข้อความเข้า
เธอกดดูตามปกติ แต่พอเห็นชื่อที่บันทึกไว้บนหน้าจอว่าเป็น “ภวินท์” เวลานั้น แผ่นหลังของเธอแข็งทื่อตามจิตใต้สำนึกทันที
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งหันหลังให้ทันควัน เพื่อกดเปิดอ่าน
“หนีงั้นเหรอ? กลัวว่าผมจะกินคุณรึไง?”
หัวใจญาธิดาบีบรัดแน่น จนเกิดอาการตึงเครียดอยู่ไม่รู้ตัว
ถัดจากนั้น โทรศัพท์ก็สั่นอีกครั้ง ซึ่งเป็นข้อความที่สองที่ภวินท์ส่งมา
“วันนี้ช่วยหาเวลาว่างมาหาผมหน่อย ผมมีเรื่องต้องการจะคุยกับคุณ