ดวงใจภวินท์ - บทที่ 42 ทอดสะพานเพื่อให้ได้มา
พี่แนนเห็นลักษณะท่าทางของเธอแล้ว สีหน้ายิ่งย่ำแย่กว่าเดิม “ญาธิดา เรื่องมาถึงตอนนี้แล้วยังเสแสร้งอยู่อีกทำไม?”
การถูกเธอดุขนาดนี้ ญาธิดาเสียความมั่นใจไปทันที “พี่แนนคะ ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าพี่กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่…”
“ไม่รู้เหรอ? ได้สิ เดี๋ยวฉันจะเปิดให้หล่อนดู!” พี่แนนพูด พร้อมทั้งเปิดโทรศัพท์ให้ดู และเปิดกลุ่มแชทของบริษัทให้ดู และวางไว้บนโต๊ะทันที
ญาธิดาเลยหยิบโทรศัพท์มาด้วยความสงสัย เธอดูรูปเสร็จแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
เป็นรูปภาพที่เธออยู่กับภวินท์ตรงด้านหน้าคลับเฮ้าส์เมื่อคืนนี้ ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแอบถ่าย แต่ว่าก็ยังสามารถมองออกว่าเป็นภวินท์กับเธอ ในรูปภาพนั้นเป็นภาพที่เธอยื่นมือไปดึงชายเสื้อของผู้ชายเอาไว้ พูดอะไรสักอย่างที่ฟังไม่ชัดและสื่อความหมายเป็นนัย
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ทุกคนก็แค่ซุบซิบกันก็เท่านั้นเอง แต่ทว่าเธอดันไปโยงเอาคนที่เป็น CEO ของSTN Group –คุณภวินท์มานะสิ! รูปภาพหลายภาพนี้ย่อมกลายเป็นจุดเรียกความสนใจอย่างถล่มทลายภายในบริษัทตามธรรมชาติ
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่มีใครคาดคิดว่าเธอกับภวินท์จะถูกแอบถ่าย และยิ่งไม่คิดเลยว่ารูปภาพเหล่านี้จะถูกส่งต่อจนกระจายไปทั่วทั้งบริษัทแล้ว!
เธอวางโทรศัพท์ลง และสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นเบา ๆ “เมื่อวานนี้ฉันบังเอิญเจอท่านคุณภวินท์ แต่มันเป็นเรื่องโดยบังเอิญเท่านั้นเองเขาช่วยฉันแก้ไขปัญหาให้ค่ะ ตอนนั้นฉันอยากจะขอบคุณเขามาก… ไม่มีเรื่องอื่นเจือปนเลยค่ะ”
พูดจบ เธอก้มหน้าลง ด้วยความรู้สึกสับสน
เธอไม่ได้อยากจะพูดโกหก ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับภวินท์นั้นไม่สามารถเปิดเผยได้ ถ้าเกิดเปิดเผยออกมา ต้องส่งผลกระทบถึงภวินท์อย่างแน่นอน ดังนั้น ท่ามกลางความรู้สึกทั้งหมดเธอทำได้แค่พูดโกหกเท่านั้นเอง
พี่แนนได้ยินตามนั้น พลางจับจ้องมองเธอซ้ำแล้วซ้ำอีก สุดท้ายจึงเอ่ยปากสอบถามทันที “ไม่ได้ไปทอดสะพานทำเรื่องน่าอายใช่ไหม?”
ญาธิดาตอบอย่างมั่นใจ “ไม่ค่ะ”
พี่แนนพูดอย่างเคร่งเครียด “ในเมื่อไม่มีอะไร งั้นคุณก็หาวิธีในการจัดการอธิบายให้ชัดเจน ตอนนี้เรื่องนี้ได้ส่งผลกระทบหนักมากภายในบริษัท ฉันเองก็ไม่อยากได้ยินเรื่องซุบซิบนินทาของเพื่อนร่วมงานในแผนกเข้าหูอีกแล้ว มันส่งผลกระทบกับการทำงาน เข้าใจมั้ย?”
ญาธิดาพยักหน้าตอบรับ “ฉันรู้แล้วค่ะ”
พูดจบ พี่แนนก็โบกมือไปมา “ไปเถอะ คุณออกไปเถอะ”
ญาธิดาออกมาจากห้องประชุมด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยว พลางเดินสาวเท้ากลับเข้าห้องทำงานของตนเอง ตอนนี้เอง เธอถึงได้คิดเข้าใจอะไรได้ ว่าทำไมเมื่อครู่ตอนที่เธอเข้าไปในห้องประชุมสายตาของทุกคนต่างจ้องมองเธอด้วยสายตาแปลกพิกลเช่นนั้น
ที่แท้ ทุกคนต่างรู้กันหมด มีแต่เธอที่ถูกปิดหูปิดตาอยู่คนเดียว
จู่ ๆ ญาธิดาฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และเปิดมือถือเพื่อดูกลุ่มทุกกลุ่มในบริษัท และกลุ่มในแผนก ซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ ภายในกลุ่มแชทนั้นเรื่องการคาดเดาระหว่างเธอกับภวินท์นั้นก็ดังระเบิด ยังมีคนพูดว่าว่าเธอทอดสะพานให้ ภวินท์เลยเอาใจเธอ ดังนั้นจึงเลื่อนตำแหน่งให้เธอโดยแหกกฎ
คำพูดซุบซิบนินทาของผู้คนมันช่างน่ากลัวมาก ญาธิดาเพิ่งจะสัมผัสถึงพลังของคำ ๆนี้เป็นครั้งแรก
ตอนที่เดินผ่านออฟฟิศธุรการนั้น เธอรู้สึกว่าบรรดาเพื่อนร่วมงานต่างแอบเหล่ตามองเธอ และมีเสียงกลั้นหัวเราะดังเล็ดลอดออกมา ซึ่งมันแสดงความหมายไม่ชัดเจนอยู่ในนั้น
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อยากสาวเท้าเดินผละหนีไป หนีไปจากสถานที่ ทว่าเวลานี้มีคนรั้งเธอเอาไว้
“ญาธิดา”
ญาธิดามองตามต้นเสียง จึงเห็นพิชญ์สินีกำลังถือเอกสารออกมาฉบับหนึ่ง ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างออฟฟิศทำงาน และจ้องมองเธอตาเขม็ง
เธอแสร้งปรับเสียงถามกลับอย่างสงบนิ่ง “คุณพิช มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?”
“มีสิ” พิชญ์สินีพลันยื่นเอกสารฉบับหนึ่งให้กับเพื่อนร่วมงานที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างไม่สนใจ จากนั้นก็มุ่งหน้ามาหาเธอ “ช่วงนี้ภารกิจภายในแผนกมันเยอะมากเลย ฉันต้องการให้คุณแบ่งงานด่วนไปช่วยหน่อย แต่ว่าตอนนี้ฉันเองก็ไม่แน่ใจ ภารกิจแรกของคุณคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว? ชุดของขวัญดำเนินการเรียบร้อยหรือยัง?”
สำหรับการจัดการของชุดของขวัญในวันหยุดนักขัตฤกษ์นั้น สำหรับเธอแล้วเป็นเพียงเรื่องงาน แต่สำหรับพนักงานคนอื่นในบริษัทแล้วมันคือโบนัส บรรดาเพื่อนร่วมงานที่อยู่ด้านข้างเมื่อได้ยินพิชญ์สินีเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว ทุกคนต่างแคะขี้หูตะแคงหูแอบฟังกันอย่างเต็มที่
ญาธิดาตอบกลับไปตามความจริง “ใกล้จะเรียบร้อยแล้วค่ะ ซึ่งได้รับการยืนยันมาแล้ว ได้ร่วมมือกับทางบริษัทพาวเวอร์ติ้ง เดี๋ยวฉันจะหาเวลาไปคุยรายละเอียดกับอีกฝ่าย ก็สามารถเซ็นสัญญาได้แล้วค่ะ”
เดิมพิชญ์สินีคิดว่าญาธิดาคงทำท่ายึกยักไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ ถึงอย่างไรภารกิจในครั้งนี้ก็ไม่ใช่ธรรมดา ทว่าไม่คิดเลยว่าญาธิดาจะไม่ได้พูดออกมาแบบนี้ อีกทั้งยังทำงานได้สำเร็จจนเกินครึ่งไปแล้ว
เธอตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้นอย่างเย็นชา “งั้นเหรอ? ท่านประธานของบริษัทพาวเวอร์ติ้งก็ไม่ใช่คนที่ต่อกรได้ง่ายดายขนาดนั้นนี่ งบประมาณของเรามีไม่มาก ซึ่งไม่รู้ว่าปีนี้คุณจะสร้างความเซอร์ไพรส์อะไรให้กับทุกคนได้หรือเปล่า”
ญาธิดาตอบกลับตามธรรมดา “ของขวัญเป็นโบนัสที่ให้แก่ทุกคน ส่วนเรื่องทุกคนจะเซอร์ไพรส์หรือเปล่าฉันไม่สามารถรับประกันได้ค่ะ แต่สิ่งที่สามารถรับประกันได้ก็คือ มันจะดีกว่าปีที่แล้วอย่างแน่นอนค่ะ”
ซึ่งสุดท้ายเธอได้ตัดสินใจเรื่องสิ่งของที่อยู่ในชุดของขวัญแล้ว รวมทั้งผลิตภัณฑ์อีกหลายอย่างที่มาแรงที่สุดในปีนี้ ทว่าสุดท้ายแล้วมันก็คือความหมายจากใจ เธอก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าทุกคนจะชอบกันทุกคน
พิชญ์สินีหัวเราะทันที และเอ่ยปากทันที “ธิดา คุณไม่ลองพูดให้พวกเราฟังหน่อย คุณไปทำภารกิจนี้คนเดียวได้ยังไง ให้พวกเราทุกคนได้เรียนรู้บ้างสิ”
คำพูดของเธอเช่นนี้ มีคนคอยพูดสนับสนุนอยู่ข้าง ๆ “ใช่สิ ให้ทุกคนได้เรียนรู้บ้างสิ!”
ท่ามกลางเสียงตอบรับ และมีเสียงแทรกสับสนไปหมดจนเสียงไม่เหมือนกัน “จะไปเรียนอะไร คงไปทอดสะพานทำเรื่องน่าบัดสีจนได้สิ่งที่ต้องการมานะสิ!”
เมื่อประโยคนี้พูดออกมา บรรดาเพื่อนร่วมงานที่อยู่ด้านข้างต่างหัวเราะกันอย่างครื้นเครง
ญาธิดายังคงยืนอยู่ที่เดิม และเข้าใจความหมายคำพูดของพวกเขาอย่างชัดเจน พวกเขากำลังพูดถากถางเธออยู่ และแอบพุ่งเป้าเรื่องที่ให้ท่าภวินท์
พิชญ์สินีได้ยินแล้ว แต่พยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ เธอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และแสร้งทำท่าสอบถามญาธิดา
“ธิดา จริงหรือเปล่า?”
ท่ามกลางสายตาของทุกคน แก้มญาธิดาร้อนผ่าวเดือดดาล ราวกับถูกคนตบหน้าเช่นนั้น เธอกัดริมฝีปากเอาไว้แน่น และลุกขึ้นทันที แล้วเดินจ้ำอ้าวมุ่งหน้าไปยังห้องทำงาน
เมื่อกลับมาถึงห้องทำงานแล้ว อารมณ์ของญาธิดาย่ำแย่ถึงขั้นต่ำสุด ทว่าก็ไม่มีวิธีอื่น
เธอไม่รู้ว่ารูปเหล่านั้นใครเป็นคนถ่ายเอาไว้ และไม่รู้ว่าใครเป็นคนเอามาปล่อย แม้ว่าตอนนี้เธอจะหาวิธีเข้าไปลบภาพเหล่านั้นออกก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี เพราะว่าวันนี้ทั้งบริษัท ทุกคนต่างรู้ต่างเห็น แล้วเธอจะมีวิธีอื่นอยู่อีกไหมล่ะ?
อาการหม่นหมองจนผ่านไปอีกวัน เมื่อถึงเวลาเลิกงานแล้ว ญาธิดาจงใจกลับบ้านหลังจากเวลาเลิกงานครึ่งชั่วโมง เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงช่วงเวลาเลิกงานพร้อมกัน และหลีกเลี่ยงการถูกทุกคนคอยชี้มาทางเธออีกด้วย
เมื่อมองว่าคนในบริษัทลดน้อยลงไปเยอะแล้ว ญาธิดาถึงได้เก็บของเตรียมตัวเลิกงาน เธอเพิ่งเดินออกมาจากลิฟต์ ก็เจอกับชมพู่ที่ทำงานอยู่ในแผนกเดียวกัน
ชมพู่เห็นเธอ ก็เอ่ยปากถามทันที “ธิดา นี่แกก็ทำโอทีเหรอ?”
ญาธิดาพยักหน้า “อื้อ มีงานยังทำไม่เสร็จ”
ประจวบเหมาะกับมีลิฟต์มาพอดี ชมพู่เลยลากเธอให้เข้าไปในลิฟต์พร้อมกัน ในลิฟต์มีเพียงพวกเธอสองคนเท่านั้น รอจนประตูลิฟต์ปิดตัวลง ชมพู่ก็อดถามไม่ได้ “ธิดา ที่ในกลุ่มเขาลือข่าวนั้นกัน คงไม่ใช่ความจริงใช่ไหม?”
ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ของญาธิดากับชมพู่ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว เวลานี้ก็จำต้องพูดออกไป เธอจึงอธิบายกลับไปเสียงเบา “ฉันก็แค่บังเอิญเจอท่านคุณภวินท์เท่านั้นเอง เขาช่วยฉันไว้ ไม่เหมือนคำพวกนั้นที่ในกลุ่มพูดหรอก แกก็อย่าไปคิดเยอะ”
ชมพู่ได้ยินแล้ว จึงพยักหน้าอย่างจริงจัง “ฉันไม่ได้คิดเยอะ แต่คนอื่นในบริษัทพวกเขาพูดมั่วกันไปหมดแล้ว ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป มันจะส่งผลกระทบไม่ดีกับแกนะ!”
“อีกทั้ง…”
ชมพู่ยังอยากพูดอะไร ทว่าเสียงกับขาดหายไป
ญาธิดาย่นคิ้ว พลางหันหน้ามาถามเธอแทน “อีกทั้งอะไร?”
“อีกทั้งเรื่องนี้ลือไปถึงหูบอร์ดผู้บริหารและพวกถือหุ้นของบริษัท เกรงว่าจะส่งผลกระทบไปถึงท่านคุณภวินท์ด้วยนะสิ…”
ญาธิดาได้ยินแล้ว หัวใจเต้น “ตึกตัก” ทันที ราวกับมีก้อนหินขนาดมหึมามันหล่นมาทับหัวใจเอาไว้
ถ้าเรื่องนี้มันส่งผลกระทบเฉพาะเธอก็ช่างเถอะ ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าจะส่งผลกระทบกับภวินท์ด้วย!
ถ้าเป็นเพราะว่าเรื่องนี้มันนำพาความยุ่งยากที่ไม่จำเป็นมาให้ภวินท์ด้วย ในใจเธอก็ไม่สามารถก้าวผ่านไปได้อย่างแน่นอน!