ดวงใจภวินท์ - บทที่ 420 ต้องเป็นคุณเท่านั้น
บทที่ 420 ต้องเป็นคุณเท่านั้น
ญาธิดาตัวแข็งทื่อมากกว่าเดิม เธอกัดฟันแน่น หัวสมองหมุนติ้วๆ
พอเธอแหงนหน้าขึ้น เพื่อมองหน้าภวินท์ พลันพูดเสียงเย็นชา “ทำไมต้องให้ฉันเป็นผู้กำกับเรื่องนี้ให้ได้”
ผู้กำกับที่ยอดเยี่ยมในเมือง J มีมากมาย เขาไม่จำเป็นต้องให้เธอถ่ายด้วยซ้ำ
ภวินท์หันหลังให้เล็กน้อย แววตาหม่นหมองลง และใช้สายตาสอดส่องร่างกายของหญิงสาว พลันพูดอย่างเฉยเมย “เพราะรู้สึกว่าคุณเหมาะสมที่สุดแล้วครับ”
เขาเคยเห็นผลงานของเธอ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เขาต้องการ อีกอย่าง นอกจากนี้แล้ว เขายังมีความคิดเห็นเรื่องส่วนตัวอีก
ซึ่งในเวลานี้งานถ่ายทำอีธาน เอลล่าใกล้จะอยู่ในช่วงท้าย ขอแค่อาการของเอลล่าไหว ภาพเซทสุดท้ายใกล้จะถ่ายทำเสร็จแล้วอยู่เร็ววัน ถึงเวลานั้น เขาจะใช้เรื่องการทำงานเป็นข้ออ้างเรื่องที่จะรั้งเธอซึ่งมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
มีบางเรื่องก่อนที่เขายังไม่ชัดเจนพอ เขาไม่มีวันจะปล่อยเธอให้กลับไปแน่
ญาธิดากำหมัดแน่น พลันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ต้องเป็นฉันให้ได้ใช่มั้ย?”
ดวงตาอันลึกซึ้งของภวินท์ ซึ่งเอ่ยปากพูดอย่างไม่มีความลังเลสักนิด “ต้องเป็นคุณโดยเฉพาะครับ”
พอประโยคนี้หลุดออกมาจากปาก ญาธิดารู้ว่า ตนเองไม่มีหนทางหนีทีไล่อีกแล้ว
เธอหยิบสัญญาฉบับนั้นขึ้นมาเปิดพลิกดูอีกครั้ง พลันสูดลมหายใจลึกๆ “ขอแค่ฉันถ่ายจบ คุณก็จะเอาวิดีโอให้ฉันใช่มั้ย?”
ภวินท์พยักหน้าหงึกหงัก พลันพูดตกปากรับคำ “อืม ไม่เก็บไฟล์เอาไว้ครับ”
เมื่อได้ยินเขาพูดจาออกมาเช่นนี้ ญาธิดากัดฟันแน่น จนหนักใจ พลันอ้าปากพูด “งั้นได้ งานนี้ฉันรับ”
ไม่ว่าภวินท์มีเป้าหมายอะไรอยู่ โดยภาพรวมแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเอาวิดีโอคลิปนั้นมาและทำลายให้สิ้นซาก มิเช่นนั้นคลิปวิดีโอนั่นจะกลายเป็นระเบิดเวลาลูกหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะระเบิดขึ้นมาเวลาไหน
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากความหุนหันพลันแล่น เธอไม่อยากเพราะความผิดพลาดเรื่องนี้อาจจะส่งผลกระทบไปถึงชีวิตทุกวันนี้และความสุขของอนาคต
ดังนั้น เธอจึงจำเป็นที่ต้องรับผิดชอบความผิดพลาดของตนเอง
จากนั้นจึงอ่านสัญญาทั้งหมดวนสองรอบ หลังจากมั่นใจแล้วว่าไม่มีข้อผิดพลาด ญาธิดาจึงหยิบปากกาขึ้นมาเซ็นชื่อกำกับของตนเองตรงบริเวณช่องรับเงิน
ภวินท์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อเห็นลักษณะท่าทางอันแน่วแน่ของเธอแล้ว จึงเลิกคิ้วขึ้นทันที
เขายกมือขึ้น เพื่อเซ็นชื่อลงในสัญญาสองฉบับ จากนั้นถึงได้ด้วยเสียงเรียบเฉย “ถึงเวลานั้นคุณบิ๊กจะเป็นผู้ช่วยผู้กำกับของคุณ มีเรื่องอะไรคุณก็สามารถติดต่อเขาได้โดยตรง”
ญาธิดาช้อนตาขึ้น พลันใช้สายตามองค้อนเขาอย่างเย็นชา น้ำเสียงตอบกลับอย่างแข็งกร้าว “ค่ะ คุณภวินท์”
พูดจบ เธอก็เก็บสัญญา และเดินออกจากห้องทำงานโดยไม่หันหน้ากลับมามองอีกเลย
ภวินท์นั่งอยู่บนเก้าอี้ พลางมองแผ่นหลังอันเย็นชาของหญิงสาวที่เดินออกไป จนเกิดความรู้สึกสับสนขึ้นในใจ
เธออาจจะแค้นเคืองเขา แต่ครั้งนี้ เขาจำต้องค้นหาความจริงให้เจอ
ห้านาทีผ่านไป ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น พายุผลักประตูเข้ามาและเดินเข้ามาด้านใน พร้อมทั้งกระซิบตักเตือน “คุณภวินท์ครับ ที่บ้านโทรศัพท์มาแล้วหลายครั้ง เหมือนจะมีเรื่องด่วนครับ”
เมื่อภวินท์ได้ จึงยกมือขึ้นนวดหัวคิ้ว ซึ่งพอจะคาดเดาได้ว่าเป็นเรื่องอะไร เขาก้มหน้าลง พลันมองแขนที่มีผ้าก๊อซพันเอาไว้ พลันพูดเสียงเรีบเฉย “กลับกันเถอะ”
สิ่งที่ควรเผชิญหน้ายังไงก็ต้องเผชิญหน้าอยู่ดี
เรื่องวันนั้นที่สนามม้ามันเกิดการแสดงขึ้นแบบนั้นออกมา จนทำให้คนหลายคนตกใจอยู่ไม่น้อย และก็มีข่าวลือแพร่สะพัดออกไปอยู่ไม่น้อยเช่นกัน แม้จะพูดว่าเขาให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์สกัดกั้นการข่าวคราวเอาไว้ แต่คนที่ควรจะรู้ก็รู้กันเกือบหมดแล้ว
สิ่งที่น่าแปลกใจไปกว่านั้นคือ เรื่องนี้มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกิน จนทำให้คนเกิดข้อสงสัยว่ามีคนเล่นตุกติก เขาได้ส่งคนไปตรวจสอบ จนค้นพบความผิดปกติบางอย่าง
เมื่อออกจากสตูดิโอของคุณบิ๊ก ใช้ระยะเวลาการเดินครึ่งชั่วโมงกว่า ภวินท์ก็มาถึงเรือนหอของเขากับนิวรา
ซึ่งตามที่คาดการณ์เอาไว้ เมื่อรถยนต์จอดสนิท พอเขาลงจากรถก็เห็นเบนท์ลีย์สีดำคันนั้นจอดอยู่ที่สนาม
สาวใช้ที่เข้ามาต้อนรับเป็นคนรับเสื้อโค้ตของภวินท์เอาไว้ จากนั้นก็พูดเตือนทันที “คุณภวินท์คะ คุณท่านกับคุณนายมาค่ะ”
เมื่อภวินท์ได้ยิน จึงพยักหน้าเล็กน้อย แต่ไม่ได้เสวนาอะไร พลันก้าวขาเรียวยาวเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าเดินไปยังตัวบ้านทันที
เพิ่งเดินเข้ามาอยู่ห้องโถง เขาก็มองเห็นปกรณ์กับมรกตนั่งอยู่บนโซฟา นิวรานั่งอยู่ทางด้านข้าง
“พี่วิน พี่กลับมาแล้ว!” ดวงตานิวราเปล่งประกาย พลันลุกขึ้นยืนเพื่อเป็นการต้อนรับ “มือพี่เป็นยังไงบ้างคะ…”
ภวินท์เลี่ยงมือของเธอที่ยื่นมาหาเล็กน้อย พลันเหลือบมองสีหน้าเย็นชาของปกรณ์ พลันกล่าวพูดเสียงเรียบเฉย “คุณพ่อ”
“หึ” ปกรณ์พึมพำในลำคอ สีหน้าเขียวปั๊ด “แกยังรู้ว่าต้องกลับบ้านด้วยเหรอ!”
เมื่อมองเขาลักษณะท่าทางของเขาที่ถามหาความผิด ภวินท์เดินไปทางด้านหน้าอย่างไม่รีบไม่ร้อน พลันเอ่ยถามทันที “คุณพ่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ?”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นตัวแกเองยังไม่รู้เรื่องอีกเหรอ?” ปกรณ์เหล่ตามองแขนของเขา “แกพูดมาเองสิ มือแกไปโดนอะไรมา!”
เมื่อภวินท์ได้ยิน แววตาหม่นหมองลงกว่าเดิม พลันหันไปเหลือบมองนิวรา
นิวราทำหน้าใสซื่อ พลันหลุบตาและก้มหน้าลง และไม่พูดออกมาสักประโยค
ภวินท์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งตอบคำถามตามความเป็นจริง “เกิดอุบัติเหตุในสนามม้า ไม่ทันระวังจนเป็นแผลครับ”
ปกรณ์ชูมือขึ้นทุบโต๊ะ “อุบัติเหตุ? แล้วดันไปช่วยผู้หญิงที่ไม่เกี่ยวข้องกันคนหนึ่ง ล้มจนทำให้แขนตัวเองได้รับบาดเจ็บ เวลาแกทำเรื่องอะไรไม่มีหัวสมองเหรอไง! ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองJ คนไหนไม่รู้บ้างว่าแกไม่ดูดำดูดีกับเมียของตัวแกเอง แต่กลับไปหลงหัวปักหัวปำกับผู้หญิงนอกบ้านแทน!”
ภวินท์ขมวดคิ้ว เงียบงันอยู่ชั่วครู่ แต่ไม่ได้ตอบกลับ
ก่อนหน้าที่จะกลับมา เขาก็เดาได้อยู่แล้ว เรื่องนี้ปกรณ์ต้องไปได้ยินคนอื่นลือกันมาจนดังเข้าหู แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือ เรื่องนี้จะลือข่าวได้รวดเร็วปานนี้
เขาแหงนหน้าขึ้น และใช้สายตาเหล่มองนิวรา จนมีความคิดอยู่ในใจอยู่แล้ว
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เขาก็เอ่ยปากพูด “คุณพ่อ ผมแค่ทำในสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดก็เท่านั้นเอง”
เมื่อปกรณ์ได้ยิน ดวงตาราวกับตะขออันแหลมคมคู่นั้น “เรื่องที่ถูกต้อง? ภวินท์ แกอยากจะทำให้ฉันโมโหตายไปให้ได้เลยใช่มั้ย!”
เขาพูด พลันลุกขึ้นยืน พร้อมทั้งก้าวฝีเท้าเดินมุ่งหน้ามาหาภวินท์
เมื่อมรกตที่นั่งอยู่ด้านข้างเห็นภาพนั้นแล้ว พลันลุกขึ้นอย่างทันควัน และรีบคว้าแขนเขาเอาไว้ทันที พลางพูดเกลี้ยกล่อม “คุณคะ อย่าโกรธเลยค่ะ เรื่องที่วินทำก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดี อย่างน้อยเมื่อคนนอกมองมา ตระกูลสถิรานนท์ของเราก็มีคุณธรรมที่ดีงามนะคะ”
“คุณธรรมที่ดีงาม?” ปกรณ์บ่นพึมพำในลำคอ “เรื่องนี้มันถือว่าเขามีคุณธรรมที่ดีงามที่ไหนล่ะ สำส่อน เจ้าชู้ ไม่ดูดำดูดีครอบครัว! พวกนี้ต่างหากที่คนข้างนอกเขามองเห็นกัน!”
เมื่อมรกตที่นั่งอยู่ด้านข้างเห็นภาพนั้นแล้ว พลันลุกขึ้นอย่างทันควัน และรีบคว้าแขนเขาเอาไว้ทันที พลางพูดเกลี้ยกล่อม “คุณคะ อย่าโกรธเลยค่ะ เรื่องที่วินทำก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดี อย่างน้อยเมื่อคนนอกมองมา ตระกูลสถิรานนท์ของเราก็มีคุณธรรมที่ดีงามนะคะ”
เขาพูด พร้อมทั้งหันหน้าไปมองภวินท์ “แกกับนิวแต่งงานมาสองปีกว่าแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่มีลูกหลานให้ตระกูลสถิรานนท์ของเราสักคน แถมเวลานี้ยังสร้างข่าวฉาวตั้งมากมายก่ายกอง! แกไม่อาย แต่ฉันอาย!”
คำพูดคำจาของปกรณ์ยิ่งไม่น่าฟังขึ้นเรื่อย ภวินท์ย่นคิ้วหากันแน่น ความรู้สึกทางสีหน้าไร้ความสะทกสะท้าน
จังหวะนี้เอง นิวราเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน “คุณพ่อคะ ครั้งนี้หนูก็มีความผิด หนูน่าจะเฝ้าอยู่ข้างกายภวินท์อยู่ตลอด ขอโทษค่ะ”
“เรื่องนี้หนูไม่เกี่ยว!” ปกรณ์พูดเสียงแข็งกร้าว “ถ้าเขาปฏิบัติตัวไม่ดีต่อหนู หนูก็บอกกับพ่อได้ตรงๆ พ่อจะไม่มีวันยกโทษให้เขาแน่นอน!”
ปกรณ์พูดต่ออีกหลายประโยค มรกตกับนิวราก็ยังคอยเป็นตัวตั้งตัวตีพูดเกลี้ยกล่อมอยู่ทางด้านข้างอยู่หลายครั้ง บรรยากาศถึงได้อบอุ่นขึ้นบ้าง
สุดท้าย ภวินท์ก็ช้อนสายตาขึ้น พลางเหลือบมองปกรณ์ พร้อมทั้งกระซิบพูด “คุณพ่อ คุณพ่อใจเย็นนะครับ ผมขอกลับขึ้นห้องก่อน”
เขาพูด พร้อมทั้งก้าวฝีเท้าออก เพื่อมุ่งหน้าเดินไปทางปากทางบันไดทันที
นิวราเห็นเหตุการณ์ จึงเอ่ยพูดทันควัน “พี่วิน นิวไปพร้อมพี่ด้วยค่ะ!”
ภวินท์ไม่ได้ปฏิเสธ จึงปล่อยให้เธอเดินตามหลังเขาอย่างอิสระ
เมื่อเดินเข้าห้องนอน ยามเมื่อบานประตูปิดลง นิวรายื่นมือออกมาคว้าแขนของภวินท์เอาไว้ตามธรรมชาติ พลันกระซิบพูด “พี่วิน นิวเองก็ไม่รู้ว่าคุณพ่อไปได้ยินมาจากไหน จนเขาก็มาหาอย่างกะทันหัน พี่ไม่ได้โกรธใช่มั้ย?”
เธอพูด พร้อมทั้งเหลือบมองภวินท์อย่างใสซื่อบริสุทธิ์
นัยน์ตาภวินท์ปรากฏความหนาวเหน็บออกมา และจัดการใช้มือดึงมือของเธอออกทันที เพื่อรักษาระยะห่างของคนสองคน พลันเอ่ยถามเสียงแข็งกร้าว “เธอไม่รู้จริงๆ เหรอ?”
ถ้าไม่ใช่ว่าเธอตั้งใจปล่อยข่าว แล้วปกรณ์จะรู้เรื่องเร็วขนาดนี้ได้ยังไงกัน?