ดวงใจภวินท์ - บทที่ 439 เขาเย็นชาไร้ความรู้สึก
บทที่ 439 เขาเย็นชาไร้ความรู้สึก
เมื่อภูผาออกไป อากาศเย็นเยือกภายในห้องก็ยังไม่หายไป กลับยิ่งมืดครึ้มและน่ากลัว
อีกฝั่งโอที่นิ่งด้วยความหวาดกลัวไปนานก็กลับคืนสติอีกครั้ง เขามองไปที่ภวินท์ ออกปากขอร้องด้วยความสั่นเคลือว่า “คุณภวินท์ เรื่องครั้งนี้คุณยกโทษให้ผมเถอะ ผมถูกคุณภูผายั่วยุให้ทำ……”
ภวินท์ได้ยินดังนั้นสีหน้าของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยน แต่กลับหันมองไปที่กล้าที่อยู่ด้านข้าง สั่งการเสียงเย็น “หน้าที่ก็คือหน้าที่”
กล้าพยักหน้าทันที เขายื่นมือออกไปดึงคอเสื้อด้านหลังของโอแล้วลากเขาออกจากห้องทำงาน
ทางฝั่งญาธิดาที่นั่งอยู่บนโซฟา เมื่อมองดูฉากเหตุการณ์ด้านนอกผ่านกระจก ไม่รู้ทำไมแผ่นหลังก็เกิดมีเหงื่อไหลออกมา
ภวินท์ในตอนนี้ สำหรับเธอแล้ว ดูเย็นชาราวกับคนแปลกหน้ายังไงอย่างนั้น เหมือนกับไม่ใช่คนเดียวกับคนที่ทานข้าวด้วยกัน ที่พนันกับเธอด้วยกันอย่างสนุกสนานเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เลย
อย่างรวดเร็ว พนักงานภายในห้องประชุมก็แยกย้ายออกไปเกือบหมดแล้ว ภายในห้องทั้งหมดก็เหลือเพียงภวินท์และพายุ
ภวินท์เปิดบัญชีอ่านดูลวกๆ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความหนาวเย็น ผ่านไปสักครู่หนึ่ง ก็โยนสมุดบัญชีไปบนโต๊ะ พูดอย่างเย็นชาว่า “ทำสำเนาสัก 2-3 ชุด จัดการส่งให้ทางคุณพ่อคุณแม่ชุดหนึ่งด้วย”
พายุพยักหน้ารับในทันที
ในขณะนี้ ในเมื่อพวกเขาทั้งสองฝ่ายต่างก็เปิดเผยหมดแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะปิดบังอะไรอีก และเรื่องนี้จะช้าหรือเร็วยังไงปกรณ์ก็ต้องรู้อยู่ดี
ขณะนั้นเอง หน้าประตูก็เกิดเสียงเคาะขึ้น จากนั้นไม่นานผู้ช่วยก็ผลักประตูเข้ามา “คุณภวินท์”
ผู้ช่วยสาวคนนั้นที่พึ่งพาญาธิดากับคุณบิ๊กมาตรงนี้ เธอก้าวเดินไปข้างหน้า และเหลือบมองมาทางห้องด้านฝั่งนี้ รายงานเสียงเบาว่า “คุณภวินท์ ตอนนี้มีผู้กำกับ 2 คนรอพบท่านค่ะ เดิมทีจะให้รออยู่ในห้องประชุม แต่ว่าทางนี้เกิดเหตุสุดวิสัย ก็เลยจัดให้พวกเขาไปรออยู่ที่ชั้นในของห้องค่ะ”
ภวินท์ได้ยินดังนั้น เงยหน้าขึ้นมองมาทางฝั่งนี้อย่างไม่รีบไม่ร้อน
ร่างกายของญาธิดาเกร็งแน่นขึ้นมา กำหมัดแน่นโดยที่ไม่รู้ตัว ฝ่ามือของเธอเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อที่ไหลซึมตลอดเวลา
ดวงตาที่ประกายเฉียบคมคู่นั้นของชายหนุ่ม ราวกับสามารถมองทะลุกระจกสีเทาและมุ่งตรงมาสบสายตากับเธอที่อยู่ฝั่งนี้ได้
ภวินท์คงไม่รู้หรอกใช่ไหมว่าเธอเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพวกนั้นหมดแล้ว?
ญาธิดาสูดลมหายใจลึก พลันในใจก็เกิดความประหม่ามากขึ้น
สองวินาทีผ่านไป ภวินท์เธอถอนสายตาถอนสายตาอย่างช้าๆ สั่งการผู้ช่วยเสียงเรียบ “พาพวกเขาเข้ามาเถอะ”
ผู้ช่วยรับทราบ เธอเดินไปที่ประตูกระจกทันทีและกดสวิตช์ ยิ้มให้กับญาธิดากับคุณบิ๊กที่อยู่ภายในห้องอย่างอายๆ “ท่านผู้กำกับทั้ง 2 ท่านคะ ท่านประธานของพวกเราเพิ่งจะจัดการธุระทางนี้เสร็จเรียบร้อย เชิญพวกคุณมาทางนี้ค่ะ”
คุณบิ๊กพยักหน้า มองไปที่ญาธิดาทันที “ไปกันเถอะ”
ญาธิดาตื่นตระหนก พยักหน้าอย่างอึ้งๆ ก้าวขาเดินตามหลังคุณบิ๊ก ออกไปจากในห้อง
เมื่อเห็นพวกเขา สีหน้าของภวินท์เป็นปกติ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร “ขอโทษด้วย ที่ทำให้รอนาน ”
คุณบิ๊กยิ้ม “ไม่เป็นไรครับ คุณภวินท์ยุ่งอยู่กับงาน พวกเราเข้าใจได้”
ภวินท์พยักหน้าเบาๆ ก้มสายตาลงมองเวลาแล้วพูดเสียงเรียบ “เกรงว่าวันนี้จะไม่ทันแล้ว ยังมีการเตรียมการอื่นๆ ในภายหลัง การประชุมครั้งนี้พวกเราคงต้องเลื่อนออกไปเป็นวันอื่น พอถึงตอนนั้นเดี๋ยวผมไปออกกองหาพวกคุณเอง”
คุณบิ๊กพยักหน้าถี่ “แบบนี้ก็ดีครับ!”
เขาพูดจบ จู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังออกมาจากในกระเป๋ากางเกง เขาหยิบขึ้นมาดู แล้วรีบเดินออกไปรับสายโทรศัพท์อีกฝั่งหนึ่ง
ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับงานแน่ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างรวดเร็ว คุณบิ๊กก็วางสายโทรศัพท์ลง สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา “คุณภวินท์สตูดิโอทางนั้นเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย พวกเราจะต้องรีบไปครับ”
ภวินท์พยักหน้า “ไปเถอะ”
พอดีกับที่การประชุมได้มีการเลื่อนออกไป เขาอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ทำอะไร
คุณบิ๊กพยักหน้าพูดกับญาธิดาอยู่หนึ่งประโยค แล้วจากไปอย่างเร่งรีบ
ชั่วขณะหนึ่ง ภายในห้องก็เหลือเพียงภวินท์ ญาธิดาและพายุ
ภวินท์เงยหน้าขึ้น ดวงตาสีเข้มมองเธอโดยไม่พูดอะไร
ญาธิดาสบสายตากับเขา ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน ทั้งสองเผชิญหน้ากันอย่างเงียบๆ
ราวกับว่ารู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติ พายุเองก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาเดินถอยหลังออกจากห้องประชุมโดยไว แล้วจึงปิดประตู
ขณะนี้ ภายในห้องประชุมที่ใหญ่โตก็เหลือเพียงแค่พวกเขา 2 คน
ผ่านไปไม่กี่วินาที ภวินท์เปิดปากพูดก่อน “เห็นหมดแล้วเหรอ?”
ญาธิดาสูดลมหายใจลึก ภายในใจรู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร
ตามคาด เธอไม่สามารถซ่อนมันจากภวินท์ได้ แม้ว่าเธอไม่ได้ถามไม่ได้พูดอะไร เขาก็ยังรู้ว่าเธอที่อยู่ในห้องเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายนอกทั้งหมดอยู่ดี
ญาธิดารู้สึกเกร็ง พูดเสียงเรียบ “อืม เห็นหมดแล้ว”
ได้ยินดังนั้น ภวินท์ก็กระตุกมุมริมฝีปาก เขาชะงักไปชั่วขณะหนึ่งแล้วพูดเสียงเรียบ“ไปกันเถอะ เดี๋ยวฉันส่งเธอกลับ”
สายตาญาธิดาปรากฏถึงความสั่นไหว ปฏิเสธออกไปโดยทันทีว่า “ไม่ต้องหรอกค่ะ”
เมื่อได้ยินเสียงปฏิเสธอย่างรวบรัดของหญิงสาว ภวินท์ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองไปที่เธอแล้วชะงักไปครู่หนึ่ง เขาถามกลับ “ทำไม? กลัวฉันเหรอ?”
เขารู้สึกถึงระยะห่างและความเย็นชาที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันระหว่างพวกเขาได้อย่างชัดเจน
ความรู้สึกของญาธิดาก็นิ่งงัน เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงเงยหน้าขึ้นมองไปที่ภวินท์ ถามทีละคำทีละประโยคว่า “ภวินท์ ในสายตาของคุณ ทุกๆ อย่างต่างก็เป็นเบี้ยหมากได้หมดใช่หรือเปล่า?”
แม้แต่เด็กอายุแค่ 5 ขวบก็ยังเป็นเบี้ยหมากได้
ตัวเธอในฐานะที่เป็นแม่คน ที่มีลูกวัย 5 ขวบสองคน ก็เข้าใจความรักความทะนุถนอมของคนเป็นพ่อแม่ที่มีต่อลูกดี แต่ภวินท์กลับสามารถเอาเด็กมาใช้เป็นเบี้ยหมากบีบบังคับให้โอรับสารภาพ
ภวินท์ได้ยินดังนั้น ดวงตาก็พลันเย็นขึ้นทันใด สายตาเขาจ้องมองที่เธอ ไม่ได้พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง
“ตกใจเหรอ?”
จู่ๆ ภวินท์ก็ก้าวไปข้างหน้า ก้มมองลงดูเธอแล้วถามว่า “คิดว่าฉันเย็นชาไร้หัวใจ โหดเหี้ยมเลือดเย็น ใช่ไหม?”
เวลานี้ตอนนี้ ความเยือกเย็นในดวงตาของญาธิดาก็ปรากฏอย่างชัดเจนว่าเป็นไปตามสิ่งที่เขาพูด
เขาเย็นชาจริงๆ ทรัพย์สินจำนวนนับไม่ถ้วนในมือของเขา แต่เขาก็ไม่มีที่ว่างสำหรับน้องชายต่างมารดาและครอบครัวของคนอื่นๆ ได้ เลือดเนื้อเชื้อไขของคนอื่น สำหรับเขาแล้ว เป็นเพียงบันไดที่นำไปสู่เป้าหมายในแต่ละขั้นแต่ละขั้นเท่านั้น
ผ่านไปสักครู่หนึ่ง ภวินท์พึมพำเสียงเย็นชา สายตาเคร่งขรึมขึ้น “ญาธิดา ฉันเป็นคนที่ไร้หัวใจคนหนึ่งมาโดยตลอด เธอเองน่าจะรู้ดี”
ญาธิดาสูดลมหายใจลึกจ้องสีหน้าที่ดูเย็นชาของชายหนุ่ม ทุกคำพูดต่างก็ติดอยู่ที่ลำคอ เธอพูดอะไรไม่ออก
ในขณะนั้นเอง ความปรารถนาที่อยากจะหนีออกจากเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
เธอก้าวถอยหลังไปสองก้าวทันที มองไปยังชายหนุ่มเบื้องหน้า สายตาก็ยิ่งเริ่มไม่คุ้นเคยมากขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ชายแบบนี้ เธอยังกล้าที่จะปล่อยให้อีธาน เอลล่าอยู่ข้างกายเขาได้ยังไงกัน? ถ้าเกิดวันใดวันหนึ่ง เมื่อเขาค้นพบความจริงแล้ว เธอก็นึกไม่ออกว่าเขาจะทำอะไร
ทางที่ดีที่สุดก็คือหนีออกให้ห่างจากเขา หนีไปให้ไกลที่สุด แล้วไม่กลับมาอีก!
ภวินท์สบสายตากับเธอ สัมผัสได้ถึงความกลัวและความเย็นชาภายในดวงตาของเธอ หัวใจก็หดเกร็งขึ้นมาอย่างกะทันหันหายใจไม่ออกอย่างบอกไม่ถูก
หัวสมองของเขาร้อนระอุ ยื่นมือออกไปแล้วกำข้อมือของหญิงสาวเอาไว้ เขาดึงเธอเข้าหาตัวเองทันที
ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองก็พลันแคบลง ญาธิดาเงยหน้าสบตากับสายตาคู่นั้นของชายหนุ่ม หัวใจของเธอเต้นอย่างบ้าคลั่งอยู่ภายในอกของเธอ
ภวินท์ขมวดคิ้วแน่น ริมฝีปากบางเฉียบเม้มเป็นเส้นเดียว “คิดว่าฉันไร้หัวใจอย่างนั้นเหรอ? คิดว่าฉันไม่ควรกำจัดพี่ชายน้องชายต่างแม่ของฉันให้สิ้นซากใช่ไหม? คิดว่าฉันไม่ควรเอาลูกชายของโอมาบีบบังคับให้เขายอมรับความผิดของตัวเองใช่หรือเปล่า?”
ญาธิดากัดริมฝีปากแน่น เธอพูดไม่ออก
ความจริงแล้ว ภายในใจของเธอเองก็คิดแบบนี้
อย่างรวดเร็ว ภวินท์ก็พูดต่อว่า “ญาธิดา แล้วเธอเองรู้จักภูผาคนนี้มากเท่าไหร่เชียว?