ดวงใจภวินท์ - บทที่ 452 ไม่เคยพูดโกหกเธอแม้แต่คำเดียว
ญาธิดาครุ่นคิดไปมา จนเริ่มรู้สึกปวดหัว สุดท้ายจึงทำการปิดโทรศัพท์ แล้วนอกพักอยู่บนเตียง
ตอนนี้เรื่องที่เกี่ยวกับเธอยังไม่ทราบต้นสายปลายเหตุ เธอจะมีเวลาไปสนใจเรื่องคนอื่นได้อย่างไร
เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้ว จึงพลิกตัวไปมาจนถึงกลางดึก เธอจึงได้ผล็อยหลับไป
สองวันติด ๆ ที่ญาธิดาอยู่แต่ในบ้าน ไม่ได้ทำงาน นอกจากทานอาหารเดินเล่นกับลูก ๆ แล้ว เวลาที่เหลือของเธอนั้นก็จะอ่านหนังสือดูหนัง และก็ไม่อยากจะไปสนใจข่าวสารในโทรศัพท์อีก
จนกระทั่งวันที่สาม อยู่ ๆ เธอได้รับข้อความจากคิริน
“คืนนี้มีเวลาไหม วันนี้ผมว่าง เลี้ยงข้าวผมหน่อย อย่าลืมนะว่าคุณยังค้างหม้อไฟผมหนึ่งมื้อ!”
น้ำเสียงยังคงยิ้มแย้มผ่อนคลายเหมือนเดิม ยังส่งรูปอิโมจิหลายตัวมาด้วย ญาธิดามองดูแล้วเกิดความประหลาดใจ
คิรินยังคงเป็นเหมือนชายหนุ่มคนนั้นที่ชอบหยอกล้อเธอ หากบอกว่าเขาใกล้ชิดตัวเองเพราะมีวัตถุประสงค์ เธอยังคงไม่อยากจะเชื่อจริง ๆ แต่เหตุการณ์ของหนิงหนิงก็ดันเป็นเรื่องจริง……
เธอปิดโทรศัพท์ คว่ำหน้าจอลงบนโต๊ะ ไม่ตอบกลับข้อความ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ จู่ ๆ คิรินได้โทรศัพท์มา สายดังอยู่เรื่อย ๆ แต่ญาธิดาก็ไม่รับ
จนกระทั่งทานอาหารเย็นเสร็จ ญาธิดาถึงได้กลับมาที่ห้องนอนตัวเอง กำลังเตรียมตัวที่จะไปอาบน้ำ จู่ ๆ คุณปภาวีได้วิ่งขึ้นมาบนตึก
“ธิดา เมื่อกี้ที่แม่กำลังล้างจานอยู่นั้น เห็นมีรถจอดอยู่หนึ่งคัน จอดอยู่นานแล้ว ในนั้นรู้สึกว่ามีคน แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร!”
ญาธิดาได้ยินดังนั้น ก็รีบเดินไปที่หน้าต่างแล้วมองลงไป เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เห็นรถคันหนึ่งสีแชมเปญจอดอยู่ด้านล่าง เธอจ้องดูแล้วรู้สึกคุ้นตามาก
หากว่าเธอจำไม่ผิด นั่นคือรถของคิริน
เธอมองดูโทรศัพท์ที่ตัวเองปิดเสียงวางบนโต๊ะแวบหนึ่ง แล้วหยิบขึ้นมาดู ในนั้นมีโทรศัพท์หลายสิบสายที่ไม่ได้รับ นอกจากนี้ยังมีข้อความที่คิรินส่งมา
เธอจึงทำการเปิดดู “ญาธิดาออกมา พวกเราคุยกันหน่อย”
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ลังเลครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองคุณปภาวีที่อยู่ข้าง ๆ แล้วยิ้มให้กับเธอ จากนั้นกล่าวเบา ๆ “เพื่อนของหนูเองค่ะ แม่ไปพักผ่อนก่อนเถอะ หนูจะออกไปพบเขาหน่อย”
คุณปภาวียังคงรู้สึกไม่วางใจ แต่เธอพูดขนาดนี้แล้ว จึงไม่สามารถพูดอะไรได้อีก ได้แต่พยักหน้าแล้วก็เดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง
ญาธิดาสวมชุดคลุมแล้วก็เดินออกจากห้องนอน เดินออกไปที่ประตูใหญ่ เพิ่งจะถึงลานหน้าบ้าน ประตูรถก็เปิดออก ร่างชายหนุ่มผอมสูงได้เดินลงจากด้านในแล้วมุ่งเดินมาทางนี้
คิรินสวมชุดลำลองสีดำ สวมหมวกปิดหน้าปิดตา จากมุมของญาธิดา สามารถมองเห็นเพียงคางของเขาเท่านั้น
เดินมาที่ข้างประตูเหล็ก เขาเห็นญาธิดาจึงยกมือขึ้นดึงหมวกไปด้านหลัง เผยให้เห็นถึงใบหน้าที่รูปงามของเขา
คั่นด้วยประตูรั้วเหล็ก ญาธิดาหายใจเข้าลึก “มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะ”
คิรินเห็นว่าไม่มีทีท่าจะออกมา จึงอดยิ้มขึ้นไม่ได้ “นี่ผมมาเรือนจำเหรอ”
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึก นึกถึงคำพูดของภวินท์ จึงหันหน้ามองเขา แล้วกล่าวอย่างจริงจัง “มีเรื่องอะไร”
คิรินหยุดชะงัก สีหน้าเคร่งขรึมขึ้น หุบยิ้มแล้วกล่าว “เรื่องของหนิงหนิง ผมเพิ่งรู้เมื่อกี้”
“ตอนที่ผมแนะนำหนิงหนิงให้กับคุณนั้น ไม่รู้เลยว่าเธอได้เซ็นสัญญากับบริษัทพีพีมีเดีย”
ญาธิดาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หันมาเผชิญหน้ากับดวงตาที่งดงามคู่นั้นของเขา
“ผมได้คุยกับหนิงหนิงแล้ว เธอบอกว่าจะคิดไตร่ตรองดูอีกที เรื่องนี้เป็นผมเองที่สะเพร่าจริง ๆ หากต้องการจะให้ชี้แจ้งเรื่องที่เข้าใจผิด คุณมาหาผมได้เลย ผมเต็มใจออกหน้าแทน”
คิรินกล่าวอย่างจริงจัง ไม่เหมือนกับว่ากำลังโกหก
ญาธิดาลังเลครู่หนึ่ง หายใจเข้าลึกแล้วถามขึ้น “คุณไม่รู้เรื่องจริงเหรอ”
คิรินขยิบตา แล้วยกขวาขึ้นทันที ชูสามนิ้วขึ้นแล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าพเจ้าคิริน ขอสาบานกับญธิดาว่า ข้าพเจ้าไม่เคยพูดโกหกญาธิดาแม้แต่คำเดียว”
ญาธิดาแน่นหน้าอก จมูกฟืดฟัด น้ำตาคลอเบ้าตาอย่างไม่รู้ตัว
เธอทั้งอยากจะหัวเราะและร้องไห้ สุดท้ายจึงได้เปิดประตู เดินก้าวออกมา ยื่นมือมาดึงมือขวาของคิรินลง “ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้……”
“อย่างนั้นคุณเชื่อผมไหม”
คิรินหรี่ตาลง ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย มองดูหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า ที่ใต้ตามีรอยยิ้มเล็กน้อย
ญาธิดาเงยหน้าขึ้นมองคิริน ดวงตาแน่วแน่แล้วพยักหน้า
เดิมทีเธอกับคิรินประหนึ่งเส้นขนานที่ไม่สามารถบรรจบกัน แต่ต่อมาจู่ ๆ เธอค่อย ๆ พบว่า เมื่อโยนทิ้งรัศมีบนตัวของเขา เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ที่สามารถมีรัก มีเกลียด นอกจากเกียรติยศและความชื่นชมแล้ว เขาก็มีอารมณ์ความรู้สึกเช่นกัน
คิรินยกมือขึ้น ช่วยเธอเช็ดน้ำตาตรงหางตา แล้วกล่าวเบา ๆ “พรีเซนเตอร์ที่ผมเพิ่งเซ็นสัญญาไป ถูกเจรจาผ่านบริษัท ผมไม่รู้เรื่องด้วย ถึงแม้จะเซ็นสัญญาไปแล้ว แต่ดีที่ยังไม่เริ่มงาน ยกเลิกสัญญาก็ได้”
“ยกเลิกสัญญา” ญาธิดาหายใจเข้าลึก ๆ “อย่างนั้นต้องจ่ายค่าผิดสัญญามากมายไม่ใช่เหรอ”
ได้ยินดังนั้น คิรินยกยิ้มขึ้นแล้วขยิบตาใส่เธอ “ไม่เป็นไร ผมมีเงิน”
ญาธิดาทั้งโมโหทั้งหัวเราะ “มีเงินก็จะทำแบบนี้ไม่ได้ พรีเซนเตอร์นั้นคุณอย่าปฏิเสธเลย ขอเพียงคุณไม่ได้ทำเรื่องเหล่านั้นก็พอแล้ว”
“ไม่ได้ คุณสำคัญกว่าการเป็นพรีเซนเตอร์มาก อย่างน้อยก็ต้องให้คนบางคนได้เห็นว่า สายตาการมองคนของคุณนั้นไม่ผิด”
พลางพูดเขาพลางยื่นมือมาคล้องคอของเธอราวกับเพื่อนเกลอ แล้วพาเธอเดินมุ่งหน้าไปทางรถ “ป่ะ ไปทานหม้อไฟกัน”
ญาธิดาลังเลครู่หนึ่ง ยังไม่ทันเข้าใจความหมายในคำพูดของเขา ก็ถูกเขาลากมาที่ข้างรถแล้ว
ขึ้นรถเสร็จ เธอถึงได้เข้าใจความหมายในคำพูดของคิรินอย่างชัดเจน
เห็นทีคิรินจะรู้ว่าเรื่องที่ภวินท์เข้าใจเธอผิดแล้ว สาเหตุที่เขายกเลิกสัญญา ก็เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเธอ
ฉับพลัน ญาธิดาก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นในหัวใจ
เธอหันหน้าไปมองด้านข้างของคิริน แล้วยกยิ้มขึ้นนเบา ๆ
เพื่อนคนนี้ ไม่เสียแรงที่คบ
เธอยิ้ม มองเค้าแล้วกล่าว “ไปกันเถอะ ไปร้านหม้อไฟกัน”
หันหัวรถแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
และที่ไม่ไกลนัก มีรถยนต์สีดำจอดอยู่ในร่มเงาของต้นไม้ ถ้าไม่มองดูดี ๆ ก็จะดูไม่ออก ประหนึ่งกลมกลืนกับความมืดก็ไม่ปาน
คนบนรถคอยสังเกตสถานการณ์ฝั่งนี้อยู่ตลอดเวลา มองดูรถสีแชมเปญจากไป หนึ่งในชายหนุ่มได้เอ่ยปากกล่าวขึ้น “เห็นทีคืนนี้จะลงมือไม่ได้เสียแล้ว”
ไม่กี่วินาทีต่อมา มีเสียงดังมาจากเบาะด้านหลัง “ไม่รีบร้อน ต้องมีโอกาสอย่างแน่นอน”
มื้อของการทานหม้อไฟ ธิดากับคิรินคุยสนทนากันต่าง ๆ มากมาย ความห่างเหินของทั้งคู่ราวกับเพราะอาหารมื้อนี้ทำให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น
ท้ายที่สุด คิรินก็จากไปหลังส่งญาธิดากลับถึงบ้าน
วันรุ่งขึ้น ญาธิดาที่อยู่ในบ้านก็ได้รับสายโทรศัพท์จากหนิงหนิง
“คุณธิดา ฉันได้ยุติสัญญากับบริษัท พีพีมีเดียแล้วค่ะ”
“อะไรนะ” ญาธิดาตกใจ “เกิดอะไรขึ้น”
วันนั้นภูผาบอกต่อหน้าพวกเขาอย่างชัดเจนว่าจะให้เธอเป็นนางเอกไม่ใช่เหรอ ทำไม่จู่ ๆ จึงยุติการร่วมมือล่ะ
“คุณคิรินได้คุยกับฉันแล้ว เขาบอกว่าให้ฉันตัดสินใจเอง ไม่ว่าจะตัดสินใจแบบไหนก็จะไม่โทษฉัน ฉันจึงได้คิดไตร่ตรองดีแล้ว คิดว่าควรจะรับผิดชอบหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด ในเมื่อรับงานของพวกคุณแล้ว ฉันอยากจะถ่ายทำให้แล้วเสร็จค่ะ”
“แล้วทางบริษัท พีพีมีเดียล่ะ”
น้ำเสียงของหนิงหนิงแฝงด้วยความแน่วแน่ “พวกเขาไม่เห็นด้วย ฉันก็เลยยุติการร่วมมือค่ะ”
ได้ยินดังนั้น ญาธิดาก็รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างอธิบายไม่ถูก จมูกเธอสูดลมซี้ด ไม่ได้พูดอะไร
หนิงหนิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยิ้มแย้ม “คุณธิดา พวกเราจะเริ่มงานกันเมื่อไหร่คะ”
ญาธิดายกยิ้มขึ้น “ในเมื่อเธอกลับมา อย่างนั้นเริ่มพรุ่งนี้กันเลย”
“ค่ะ ตกลงตามนี้”
เมื่อวางสายลง ญาธิดารู้สึกว่าก้อนหินก้อนใหญ่ที่กดทับอยู่ในใจได้มลายหายไปแล้ว